ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1544 เกิดเรื่องแล้ว
ตอนที่ 1544 เกิดเรื่องแล้ว
…………….
เขาหมื่นเมรัยยังคงกำลังพังทลายลงไม่หยุด มีเพียงตำแหน่งของตาน้ำตรงกลางเท่านั้น ที่คล้ายว่าถูกเกราะกำบังชั้นหนึ่งโอบอ้อมเอาไว้ ไม่เป็นอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
มีเพียงแค่เสียงเคาะที่ลอยมาอย่างไม่หยุดหย่อนนั่นเท่านั้น แปลกประหลาดลึกลับ ทำให้หัวใจคนหนาวสั่น
“ค่ายกลกระสวยสวรรค์นี้เริ่มสูญเสียการควบคุมแล้ว กลัวว่าพวกเราคง…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสีหน้าซีดขาว
เขาคือปรมาจารย์ ย่อมยิ่งกว่าชัดแจ้งถึงสถานการณ์ในยามนี้ว่า ที่แท้แล้วอันตรายมากเพียงใด
หากเป็นค่ายกลใหญ่อื่นๆ ในสำนักก็ช่างมันเถิด พวกเขาเพียงโจมตีด้วยพลังทั้งหมด บางทียังมีโอกาสเอาชนะได้หลายส่วน
แต่ค่ายกลกระสวยสวรรค์นี้ แตกต่างจากพวกมันโดยสิ้นเชิง!
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้น แสงสีขาวสายหนึ่งก็กะพริบวาบผ่านห้วงความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว!
“ม้วนคัมภีร์อักษรเทวา!”
เขาผินหน้าอย่างรวดเร็ว มองไปทางผู้อาวุโสฮวาเฟิง
“ค่ายกลกระสวยสวรรค์ในปีนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักหลงเหลือเอาไว้ บางที่ในม้วนคัมภีร์อักษรเทวา อาจจะมีวิธีคลี่คลาย!”
แทบจะเป็นในชั่วพริบตา ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็เข้าใจความหมายของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน
“เจ้าหมายถึง…แผนผังค่ายกลที่ท่านผู้นั้นทิ้งเอาไว้เมื่อปีนั้นหรือ?”
ดวงตาเขาพลันวาวโรจน์ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้น ประกายแสงสายนั้นก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“แต่…แผนผังค่ายกลของค่ายกลกระสวยสวรรค์ อย่างน้อยก็มีร้อยกว่าม้วน อีกทั้งแต่ละม้วนล้วนซับซ้อนเป็นที่สุด! ภายในช่วงเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ พวกเราจะเข้าใจมันทั้งหมด แล้วนำมาใช้คลี่คลายสถานณ์คับขันตรงหน้าได้อย่างใด?”
นี่เป็นคนเขลาเล่าความฝันอย่างแท้จริง!
หลายปีมาแล้ว สิ่งของเหล่าที่เจ้าสำนักผู้ก่อตั้งทิ้งเอาไว้ ล้วนถูกสำนักเก็บรักษาเอาไว้อย่างระมัดระวัง จะไม่หยิบออกมาให้ใครเห็นได้โดยง่าย
ด้านหนึ่งเป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสุดยอดสมบัติอย่างแท้จริง อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่สามารถทำความเข้าใจในสิ่งของระดับนี้ได้ ก็มีไม่มาก
พูดให้ไม่เข้าหูหน่อยก็คือ ปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชาเช่นผู้อาวุโสฮวาเฟิง ล้วนต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ทำคุณูปการให้กับสำนัก ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปอ่านสักคราหนึ่ง
อีกทั้งในหนึ่งปีครึ่งปี ก็ไม่อาจเข้าใจเนื้อหาภายในนั้นได้อย่างครบถ้วนแม้เพียงหนึ่งม้วน!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย
สีหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพลันเคร่งขรึมขึ้นมาในชั่วพริบตา
ไปคิดถึงเรื่องเหล่านี้ในเวลานี้ สายเกินไปแล้วจริงๆ
แต่…
หรือพวกจะทำได้แค่เพียงมองทุกสิ่งเกิดขึ้นอยู่เต็มสองตาเช่นนี้จริงๆ
ครืน!
ขณะพูด เขาหมื่นเมรัยยังพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง
เส้นสายเหล่านั้นที่บนค่ายกลกระสวยสวรรค์ ถูกขุมพลังไร้ลักษณ์สายหนึ่งเคลื่อนขยับ เวลานี้เริ่มโกลาหลขึ้นมาแล้ว
ลำแสงแล่นริ้ว ขุมพลังพลันระเบิดออก!
ยอดเขาอันตระหง่านสูงชัน ทลายออกเป็นเสี่ยงๆ
หินผาที่แข็งแกร่ง กลายเป็นผุยผง
ระหว่างฟ้าดิน ฝุ่นละอองปลิวว่อน ขมุกขมัวทั่วทั้งผืน
สีรัตติการยิ่งมายิ่งเข้ม ราวกับเป็นอสูรยักษ์ตนหนึ่ง กลืนกินทุกสิ่งเข้าไป!
…
ทะเลทรายจันทราสีชาด
จันทร์เพ็ญสีโลหิตดวงหนึ่ง ลอยสูงอยู่กลางฟ้าราตรี
แสงจันทร์โรยส่อง ให้ทะเลทรายรกร้างไร้ขอบเขต คลุมไว้ด้วยสีแดงเข้มบางๆ ชั้นหนึ่ง
ส่วนลึกของทะเลทราย น้ำทะเลสาบสีมรกตสั่นกระเพื่อม วิเวกวังเวง
ในตอนที่จันทร์โลหิตขึ้นถึงครึ่งฟ้า เหนือผิวทะเลสาบ ยิ่งสะท้อนเป็นสีแดงชาดอ่อนๆ ออกมาทั้งผืน ประกายคลื่นแพรวพราย
ทันใดนั้น ที่กลางทะเลสาบปรากฏรอยแยกสายหนึ่งขึ้น
รอยแยกนั้นยิ่งเปิดยิ่งใหญ่ เส้นทางสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
เงาร่างเล็กๆ สายหนึ่ง เดินออกมาจากตรงกลางอย่างแช่มช้า
ร่างสวมชุดเสื้อแพร ผิวหิมะตาสีม่วง
ขนตางามงอนดกหนา เงาบางๆ ใต้เปลือกตา ราวกับว่าทั้งตัวของเขา ล้วนเพิ่มกลิ่นอายเย็นชาเข้ามาหลายส่วน
ลมรัตติการปัดผ่าน พัดให้ระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้น ยังม้วนเอาผมสั้นสีม่วงของเขาขึ้นมาด้วย
เป็นตู๋กูโม่เป่า!
เขายืนนิ่งอยู่บนทะเลสาบ มองขึ้นไปฟ้า นัยน์ตามีประกายมิดหม่นสายหนึ่งวาบผ่าน
หลายปีมานี้ มีเพียงแค่ยามราตรีจันทร์โลหิตเท่านั้น พวกเขาถึงจะสามารถหลุดพ้นจากกรงขังนั่นชั่วคราว ได้เป็นอิสระอยู่ครู่หนึ่ง
แต่คืนวันเช่นนี้ ผ่านไปนานวันเข้า พวกเขาก็ระอาไปนานแล้ว
เวลานี้เขาเสี่ยงอันตรายเป็นตาย หลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง ถึงได้คืนวันอันเอื่อยเฉื่อยเหล่านี้
แต่เมื่อออกจากทะเลทราบผืนนี้แล้ว เขาก็ยังคงไม่อาจใช้พลังปราณศักดิ์สิทธิ์ได้ตามใจ
ไม่อย่างนั้น จะเป็นอันตรายใหญ่หลวง!
“ผ่านไปนานปานนี้แล้ว พวกเขายังไม่มา น่าจะยังไม่รู้”
เงาร่างกึ่งโปร่งใสสายหนึ่งทะยานออกมาจากใต้ผิวทะเลสาบ เป็นผู้อาวุโสลำดับห้า
ตู๋กูโม่เป่าเก็บสายตากลับ สายศีรษะเล็กน้อย
“ไม่แน่”
ถึงอย่างไรเขาก็ลงมือในอาณาจักรเสิ่นซวี่ แม้จะใช้วิธีทีการปิดบังไปไม่น้อยแล้ว แต่…
คนเหล่านั้นก็รับมือด้วยไม่ง่าย
เวลานี้ไม่เคลื่อนไหว บางทีอาจเป็นเพียงการลอบสังเกตอยู่ในที่ลับก็เป็นได้
หรือบางที พวกเขายังมีความคิดอื่น
ผู้อาวุโสลำดับห้าขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ช่วงนี้ เพื่อที่จะเก็บซ่อนลมปราณ เจ้าทำกระทั่งบังคับให้ร่างศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่การหลับใหล ต่อให้พวกเขามีความสามารถทะลุฟ้า ก็หาหลักฐานมาไม่ได้แม้แต่น้อย”
ไม่มีหลักฐาน พวกเขาก็ล้วนทำอันใดมิได้แล้ว
ปีนั้นแม้พวกเขาจะถูกจองจำอยู่ในกรงขังนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทิ้งทางถอยเอาไว้เลย
อย่างน้อยที่สุด หากคนเหล่านั้นบุกรุกเข้ามาในทะเลทรายจันทราสีชาดตามอำเภอใจ พวกเขาก็ล้วนสามารถตอบโต้ได้โดยไร้เงื่อนไข
“โชคดีที่ยามเจรจาในปีนั้น หลานเซียวเหลือวิธีการนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้น…พวกเราคงจะเป็นฝ่ายถูกกระทำทุกแห่งหนอย่างแท้จริง”
ผู้อาวุโสลำดับห้าถอนหายใจ
ตู๋กูโม่เป่าพยักหน้าเล็กน้อย หันหน้าไปถาม
“เขาในเวลานี้ฟื้นตัวเป็นอย่างใดบ้าง?”
ก่อนหน้านี้หลังจากเขาช่วยเหลือหลานเซียวสุดกำลัง ก็เข้าสู่การหลับใหล วันนี้ถึงจะตื่นขึ้นมา
ผู้อาวุโสลำดับห้ายกยิ้มขึ้นมา
“วางใจ มีใบหน้าอัปลักษณ์ถึงเพียงนั้น เขาไม่ยอมตายไปเช่นนั้นหรอก สองวันมานี้ฟื้นตัวได้ประมาณหนึ่งแล้ว เมื่อนับเวลาดูแล้ว ก็ควรจะใกล้ตื่นแล้ว”
“ว่าใครหน้าอัปลักษณ์?”
เสียงเกียจคร้านสายหนึ่งลอยเข้ามา
ทั้งสองคนหันศีรษะไป ก็เห็นหลานเซียวเดินออกมาจากใต้ทะเลสาบ
เงามายาของเขามองดูแล้วมั่นคงเป็นอย่างมาก ปราณรอบกายก็เกือบจะฟื้นคืนกลับไปถึงระดับก่อหน้านี้
ทว่าใบหน้านั้น…
อย่างไม่เหนือความคาดหมาย เปลี่ยนไปเป็นอีกใบหน้าหนึ่งแล้ว
รูปโฉมหล่อเหลา สง่างามโดดเด่น
เขาอมยิ้มมองไปยังตู๋กูโม่เป่า พลางเอ่ยหยอกล้อ
“ในวันธรรมดาเย็นชากับข้า พอถึงเวลาสำคัญ ก็ยังใส่ใจข้าอย่างมากเลยนะ!”
ผู้อาวุโสลำดับห้ายกมุมปาก
เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ก็รนหาที่ตายอีกแล้ว
แม่น้ำขุนเขาเปลี่ยนง่าย นิสัยเดิมเปลี่ยนยากอย่างที่คิดเอาไว้
ตู๋กูโม่เป่ามองเขาอย่างสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเตือนเสียงเย็นชา
“ใบหน้าของเจ้าในเวลานี้ เป็นของศิษย์น้องสิบสองของเจ้า”
สีหน้าของหลานเซียวพลันเปลี่ยน!
เขารีบร้อนก้มหน้าลงไปมองปราดหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องน่าเวทนาเสียงหนึ่ง
บนผิวน้ำ สะท้อนใบหน้าที่หล่อเหลาดวงหนึ่ง
ไม่แปลกใจที่เมื่อครู่เขารู้สึกว่าคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นของเดรัจฉานนั่น!
“เจ้าก็ไม่รีบบอก!”
วาจายังไม่ทันจบ เงาร่างของหลานเซียว ก็หายไปที่ใต้ทะเลสาบอีกครั้ง
คนล้วนไปแล้ว ยังไม่ลืมก่นด่าอย่างคับแค้นประโยคหนึ่ง
“ล้วนเป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว เจ้ายังจำได้ชัดเจนถึงเพียงนี้! เจ้าคนนิสัยเสียนี่!”
ตู๋กูโม่เป่าสีหน้านิ่งเฉย
“เป็นสมองเจ้าที่ขี้ลืมมากเกินไป”
หลานเซียวไม่ได้ปะทะฝีปากกลับอีก
คาดว่ากำลังยุ่งอยู่กับการฉีกใบหน้านั้น
ผู้อาวุโสลำดับห้ายกนิ้วโป้งขึ้นมา
“เป็นเจ้าที่เก่งกาจอย่างที่คิดเอาไว้”
ตู๋กูโม่เป่าขยับหัวคิ้วเล็กน้อย
“ข้าหลับไปนานเท่าใดแล้ว”
กะประมาณดูแล้ว ก็เป็นเวลากลับสำนักแล้ว
ผู้อาวุโสลำดับห้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย
“ที่ก็เป็นเวลาไม่นาน ประมาณ…”
ซ่า!
วาจายังไม่ทับจบ เสียงสายหนึ่งจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล!
ทั้งสองคนพลันระแวดระวังขึ้นมา!
ตู๋กูโม่เป่าสีหน้าเยียบเย็น คิดจะขยับมือ!
ผู้อาวุโสลำดับห้าทอดมองไกลออกไป รีบร้อนเอ่ย
“เดี๋ยวก่อน! เป็นหงอวี่น้อย!”
หัวคิ้วตู๋กูโม่เป่าพลันขมวดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาส่งมู่หงอวี่ไปยังสำนักหลิงเซียว เหตุใดเวลานี้นางก็กลับมาแล้วเล่า
ทันใดนั้น สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน!
เกิดเรื่องแล้ว!
…………….