ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1541 ราคา / ตอนที่ 1542 พังทลาย
ตอนที่ 1541 ราคา / ตอนที่ 1542 พังทลาย
…………….
ตอนที่ 1541 ราคา
มู่หงอวี่ถอนหายใจออกมาอีกคำรบ
“ข้าไม่รับประกันนะว่ามันจะได้ผล แต่ตอนนี้ข้าคิดออกแค่วิธีเดียวเท่านั้น”
หลินจือเฟยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“ได้ ข้าจะช่วยเจ้า”
เขาผายมือไป
“เชิญตามข้ามา”
ระหว่างพูด เขาก็มุ่งหน้านำไปยังปากถ้ำที่อยู่ข้างกัน
มู่หงอวี่รีบตามหลังไปติดๆ
…
ภายในถ้ำขมุกขมัวไม่น้อย ทั้งยังเงียบสงัดยิ่ง
ทว่าไม่ช้า มู่หงอวี่ก็พบว่าข้างในนี้ต่างจากถ้ำอื่นๆ
หลังหลินจือเฟยที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเดินมาได้ระยะหนึ่ง พื้นดินที่อยู่เบื้องหน้าเขาพลันปรากฏแสงสว่างจ้า
แสสว่างสายนั้นทำให้ภายถ้ำสว่างจ้า และด้วยเพราะมันอยู่ห่างจากปากทางเข้าถ้ำ จึงมิถูกคนภายนอกจับสังเกตได้
มู่หงอวี่ก้มศีรษะมองอย่างประหลาดใจ พบว่าด้านล่างมีค่ายกลขนาดเล็กจิ๋วอันหนึ่ง
“ข้าตั้งใจกางค่ายกลพวกนี้เอาไว้กันไม่ให้คนนอกบุกรุกเข้ามา”
หลินจือเฟยเดินไปพลาง อธิบายไปพลาง
“เจ้าเดินตามฝีเท้าข้าไว้นะ อย่าได้เดินผิดเชียว”
“ได้”
มู่หงอวี่ตอบรับไปพลาง ตามฝีเท้าของหลินจือเฟยอย่างระมัดระวังไปพลาง
หลังจากเดินเข้ามาข้างในได้สักพักหนึ่งแล้ว ในที่สุดหลินจือเฟยก็หยุดฝีเท้าลง
“ถึงแล้ว”
มู่หงอวี่หยุดฝีเท้าตามเขา ก่อนจะปรายตามองไปด้านหน้า
ภาพฉากที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้นางเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ
นี่เป็นถ้ำที่มีช่องโพรงว่างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง หากสังเกตจากรอยบนกำแพงหินก็จะดูออกว่าเพิ่งถูกขุดขยายมาได้ไม่นาน
“ก่อนหน้านี้ถ้ำเล็กไปหน่อย ข้าเลยขยายให้กว้างขึ้นสักหน่อย”
หลินจือเฟยเอ่ยอย่างเรียบนิ่งพลางชี้ไปยังพื้นดินที่อยู่ด้านหน้า
“ท้ายที่สุดก็เพียงพอให้ใช้แก้ขัดแล้วกัน”
มู่หงอวี่ถึงกับหยุดหายใจ
สิ่งที่อยู่บนพื้นดินไม่ใช่ของอื่นใด แต่เป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนยิ่ง!
ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือ นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้าย!
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายอันนี้ยังไม่เคยผ่านการใช้งานจริง ดังนั้นตอนนี้ข้าเองก็ไม่กล้ายืนยันว่ามันจะส่งเจ้าไปอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้จริงหรือเปล่า”
หลินจือเฟยนิ่วหน้า
ความจริงแล้วเขาลอบเตรียมการมาเป็นเวลานานมาก
แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์แข็งแกร่ง แต่คิดจะสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายคนเดียวเช่นนี้นับว่าค่อนข้างลำบากทีเดียว
เขาไม่ได้คาดคิดจริงๆ ว่าความวุ่นวายจะมาเยือนตัวไวขนาดนี้
“มิเป็นไร ข้าอยู่ในร่างซวีหยวน ต่อให้ค่ายกลนี้เกิดปัญหาขึ้นมาจริง กรณีแย่ที่สุดข้าก็สามารถหลบหนีออกมาได้”
มู่หงอวี่โบกมือหยอย บนดวงหน้าไร้ซึ่งแววกังวล
ตั้งแต่ผ่านการฝึกทรหดที่โหดเหี้ยมเกินมนุษย์มนาในทะเลทรายจันทราสีชาดมา ทักษะการต่อสู้ของนางก็พัฒนาขึ้นมาเยอะมาก
แต่สำหรับนางแล้ว กลับไม่มีความกังวลเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย
พูดไปพลาง นางก็ก้าวไปด้านหน้า ก่อนจะขึ้นไปยืนบนค่ายกลเคลื่อนย้าย!
หลินจือเฟยมองนางตาเขม็ง
“ระวังตัวด้วย”
พูดจบ เขาก็เปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที!
แสงสว่างทอประกายเจิดจ้า ทันใดนั้น เงาร่างของมู่หงอวี่ก็หายวับไปจากพื้นดิน!
…
เวลาเคลื่อนคล้อยไปเรื่อยๆ
ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านนอกเขตเขาหมื่นเมรัยหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาในทุกๆ วัน
ทว่าซั่งกวนจิ้งและเมิ้งเหล่า พร้อมด้วยผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนทั้งสามคนกลับอยู่ที่นี่ทุกวัน
ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
เกล็ดหิมะบนเขาหมื่นเมรัยหลอมละลายไปจนหมดแล้ว เหลือแต่เพียงบริเวณใกล้ตาน้ำเท่านั้น
โชคไม่ดี จนกระทั่งตอนนี้ ภายในตาน้ำยังคงนิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปลง ไร้ซึ่งแรงกระเพื่อมใดปรากฏ
ความกังวลในใจของทุกคนยังคงเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน
…
ภายใต้ตาน้ำใสสะอาดสดชื่น เงาร่างทั้งสองเข้าใกล้ชิดกัน
เปลวเพลิงสีทองและเปลวเพลิงสีดำแผดเผาร่างของฉู่หลิวเยว่อย่างเงียบเชียบ เกล็ดน้ำแข็งบนร่างของนางแทบจะละลายไปจนหมดแล้ว
ทว่า สองตาของนางยังคงปิดแน่น มิได้ลืมขึ้นมาอีกเลยตั้งแต่ต้น
อีกทั้งบนร่างของหรงซิวเองก็เต็มไปด้วยรอยแผลที่ถูกกรีด คราบเลือดไหลหยดเป็นดวง!
ตอนที่ 1542 พังทลาย
บนร่างของเขาปรากฏรอยแผลปริแตกขึ้นมาไม่หยุด ทว่าบาดแผลเหล่านี้กลับสมานกันด้วยความรวดเร็วอันน่าสะเทือนใจ
ราวกับแทรกเข้ามาอยู่ท่ามกลางวังวนอันแปลกพิกลชนิดหนึ่ง
เพียงแต่กระบวนการนี้ สำหรับหรงซิวแล้ว ชัดแจ้งว่าเป็นความทรมานอันต่อเนื่องยาวนานฉากหนึ่ง
เขามองคนในอ้อมอกปราดหนึ่ง
แม้จะยังไม่ได้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่บนร่างก็ไม่มีบาดแผลหลงเหลืออยู่แล้ว ปราณเย็นเยียบเหล่านั้นเองก็ถอดถอนออกจากภายในร่างของนางทีละเล็กละน้อยเช่นกัน
เขาผ่อนลมหายใจอยู่ภายในใจครึ่งหนึ่ง โอบช่วงเอวอันเล็กบางของนางเอาไว้มั่น แล้วนำคนมาไว้ที่กลางอกอย่างแนบแน่น
เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ร่างกายของนางก็ค่อยๆ ฟื้นคืนความอบอุ่นขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
หรงซิวกระตุ้นพละกำลังภายในร่าง กุมมือของนางแน่น นำปราณเยียบเย็นที่เหลือ กำจัดไปเสียจนสิ้นซาก
ทุกสารทิศเงียบงันไร้เสียง ราวกับกีดกั้นสรรพเสียงทั้งหมดจากด้านนอกออกไป
มองขึ้นไปด้านบน เป็นระลอกน้ำอันอึมครึม
มองลงไปด้านล่าง เป็นก้อนศิลาที่แตกเป็นหลายเสี่ยง
ตรงกลางเป็นริ้วแสงสีเงินล่องไสวจำนวนนับไม่ถ้วน
นั่นคืออานุภาพของค่ายกลกระสวยสวรรค์!
บางทีอาจเป็นเพราะถูกอานุภาพขุมนี้ดูดซับเอาไว้ ก้อนศิลาที่ด้านล่างแม้จะปรากฏรอยแตกหลายสาย แต่ก็หยุดแผ่รอยแขนงลงชั่วคราวแล้ว
อีกทั้ง เกล็ดน้ำแข็งที่ลอยตลบอยู่โดยรอบ ส่วนมากก็ล้วนเลือนหายไปแล้วในเวลานี้
เหลืออยู่แค่เพียงเหนือก้อนศิลานั้น เป็นชั้นบางๆ ชั้นหนึ่ง ดำรงอยู่อย่างดื้อดึง
…
เหนือเนินเขาครึ่งทาง หลัวเยี่ยนหมิงและหลัวเยี่ยนหลินนั่งประจันหน้ากัน
ระหว่างทั้งสองคน มีกระดานหมากล้อมกระดานหนึ่งวางเอาไว้อยู่
หัวคิ้วของหลัวเยี่ยนหมิงขมวดมุ่น บนหน้าผากก็มีเม็ดเหงื่ออันเล็กละเอียดผุดพราย
เขากำลังจดจ้องกระดานหมากล้อมนี้อยู่ มองมาเป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ แล้ว กลับยังไม่ลงหมาก
“การระแวดระวังเกินพอดี ก็คือความโลเล”
หลัวเยี่ยนหลินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอ่ยอย่างแช่มช้า
ในใจของหลัวเยี่ยนหมิงยิ่งเคร่งเครียด คลึงเม็ดหมากล้อมในมืออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ลงหมากอย่างลังเล
หลัวเยี่ยนหลินแทบจะในทันที ก็ลงมากอย่างรวดเร็ว
แปะ
“เจ้าแพ้แล้ว”
ท่าทีของหลัวเยี่ยนหมิงซึมเซาลงไปในทันที สีหน้ากระดากอาย
“พี่สี่ ข้าไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว”
อันที่จริงเขารู้ว่า พี่สี่จงใจอ่อนข้อให้เขาแล้ว
น่าเสียดาย ไหวพริบพรสวรรค์ของเขาไม่เพียงพอ สุดท้ายก็ไม่อาจเทียบเคียงกับพี่สี่ได้
“เจ้านั้นขยันและสุขุมมาตั้งแต่เด็ก เพียงจุดนี้ลำพัง ก็เอาชนะเหนือผู้คนไปไม่น้อยแล้ว ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ไม่อาจสอบเข้ามาในสำนักหลิงเซียวได้”
หลัวเยี่ยนหลินหัวเราะเสียงหนึ่ง ทีท่าที่มีต่อเขากลับเปิดเผยเป็นอย่างมาก
เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“หมากตานี้ เจ้ากลับไปพิเคราะห์ด้วยตนเองให้ดีๆ สักหน่อย”
“ขอรับ”
หลัวเยี่ยนหมิงตอบรับเสียงหนึ่งอย่างนอบน้อม แต่ถึงอย่างไรที่ระหว่างคิ้ว กลับยังแฝงไว้ด้วยแววเดียวดายอยู่หลายส่วน
“เป็นอันใดหรือ”
เมื่อตระหนักได้ว่าอารมณ์ของเขาไม่ถูกต้องอยู่บ้าง หลัวเยี่ยนหลินจึงเอ่ยถามเพิ่มสองประโยค
หลัวเยี่ยนหมิงนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน แล้วถึงได้ช้อนตาขึ้นเอ่ยถาม
“พี่สี่ ที่จริงข้าก็รู้ ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ของข้า แม้จะพยายามอีก ขยันอีก ก็เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ไม่อาจก้าวข้ามความสำเร็จในด้านนี้ของ่ทานได้ กระทั่งผู้คนมากมายในสำนัก ก็ล้วนมีพรสวรรค์ดีกว่าข้า ท่านว่า…ข้าวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ ยังมีความหมายหรือ?”
สิ่งที่ทำให้หลัวเยี่ยนหมิงประหลาดใจก็คือ พี่สี่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวอย่างที่คาดเดาเอาไว้ กลับยกยิ้มขึ้นมา
“ที่จิตใจของเจ้าไม่สงบในช่วงนี้ เพราะกำลังคิดเรื่องนี้หรือ”
หลัวเยี่ยนหมิงหยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่กลัดกลุ้ม
อันที่จริงอารมณ์ประเภทนี้ รังควานเขามาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
เข้ามาในสำนักหลิงเซียวหลายเดือนแล้ว ตอนแรกเริ่มเขายังมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่าอย่างเนิบช้า เขาก็ค้นพบ แท้จริงแล้วตนไม่ได้โดเด่นถึงเพียงนั้น
แม้เขาจะเป็นคนสุขุม แต่ก็มักจะชอบนำเรื่องราวมาใส่ใจจนเคยชิน นี่ถึงได้คิดไม่ตกอยู่บ้าง
“ที่จริงนี่เป็นเรื่องปกติมาก อัจฉริยะระดับหัวกะทิของทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่ เกือบจะล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว แต่อันดับหนึ่ง มีเพียงแค่คนเดียว อย่างไรก็ต้องมีการแบ่งสรรสูงต่ำดีเลว พรสวรรค์ของเจ้านับได้ว่าอยู่ในกลุ่มคนชั้นยอดกลุ่มนั้นแล้วแน่นอน ขอแค่เพียงยืนหยัดบำเพ็ญ ช้าเร็วก็ย่อมมีวันที่ได้ออกหน้าวันนั้น”
หลัวเยี่ยนหมิงลังเลเล็กน้อย
เหตุผลเหล่านี้เขาไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่การจะย่อยมันได้อย่างแท้จริง กลับจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนความคิดอย่างยิ่งใหญ่
หลัวเยี่ยนหลินเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ที่จริงข้ากลับรู้สึกว่า โชคของเจ้านับว่าไม่เลวแล้ว ในพวกเจ้ากลุ่มนี้ ผู้ที่พรสวรรค์ดีที่สุด น่าจะเป็นหลินจือเฟยคนนั้นกระมัง”
หลัวเยี่ยนหมิงพยักหน้าเล็กน้อย
“หากว่าข้าประชันกับเขา ความเป็นไปได้ในการเอาชนะ…น่าจะมีเพียงสามส่วน”
พูดถึงตรงนี้ อารมณ์ของเขาก็หม่นหมองอยู่บ้าง
เดิมเขาคิดว่าทั้งสองคนจะประชันเสมอกัน แต่ต่อมาก็พบว่า พรสวรรค์ของหลินจือเฟยเหนือกว่าเขาไปไกล
ถ้าหลินจือเฟยมีชาติกำเนิดเหมือนกันกับเขา เกรงว่าคงจะ…
“สามส่วน…เพียงพอแล้ว!”
หลัวเยี่ยนหลินพลันหัวเราะเสียงหนึ่ง หยัดกายยืนขึ้น เดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ
“ตอนที่ข้ามาสำนักหลิงเซียวในปีนั้น คู่มือก็คือพวกบ้าซั่งกวนเยว่และหรงซิวสองคนนั้น! เจ้าควรจะเฉลิมฉลองที่ก่อนหน้านี้ซั่งกวนเยว่ปิดบังฐานะ ติดตามเพียงผู้อาวุโสวั่นเจิงบำเพ็ญเพียรหมอเทวดาเท่านั้น ไม่อย่างนั้น…”
หลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“พี่สี่ ก่อนหน้านี้ท่านก็รู้จักนาง พรสวรรค์ในด้านปรมาจารย์ของนาง แท้จริงแล้วแข็งแกร่งมากเท่าใดหรือ”
ในด้านจอมยุทธ์และหมอเทวดาของซั่งกวนเยว่ ล้วนมีพรสวรรค์ชั้นสูง จุดนี้พวกเขาเข้าใจเป็นอย่างมากแล้ว
เหลือเพียงในด้านปรมาจารย์นี้เท่านั้น ที่นางไม่เคยแสดงออกมาต่อหน้าผู้คนอย่างแท้จริง
สีหน้าของหลัวเยี่ยนหลินค่อนข้างจะซับซ้อน ยังแฝงไว้ด้วยความกล้ำกลืนอยู่หลายส่วนอย่างเลือนราง
สุดท้าย เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยถาม
“ข้าบอกกับเจ้าได้เพียงเรื่องหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฝางโจวถึงไม่มีประตูใหญ่”
“เพราะว่านางทำลายมันไปแล้วสามครา แค่ภายในเวลาหนึ่งเดือน! อีกทั้งเพราะร่องรอยสายหนึ่งที่เหลือทิ้งไว้ตรงข้างประตู ส่งผลให้ค่ายกลเสียหาย เหล่าผู้อาวุโสจึงต้องสร้างค่ายกลใหม่ขึ้นมาอันหนึ่ง!”
เหล่าผู้อาวุโสโมโหเสียจนไม่ไหว สุดท้ายก็ขุ่นเคืองไปเช่นนั้น รื้อประตูพังบานนั้นออกไปเสียเลย
“แต่ เจ้าคิดจริงหรือว่า วิธีการทำลายค่ายกลของสำนัก เป็นหรงซิวที่สอนนาง”
หลัวเยี่ยนหมิงปากอ้าตาค้าง
“เจ้าหนุ่ม อัจฉริยะบนโลกนี้มีมากมาย การมาสงสัยในตนเองอยู่ที่นี่ ไม่สู้การไปยกระดับความสามารถให้มากขึ้นสักหน่อย!”
หลัวเยี่ยนหมิงนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน พยักหน้าน้อยๆ อย่างหนักแน่น จากนั้นก็มองไปยังทิศของเขาหมื่นเมรัยโดยไม่รู้ตัว
“เช่นนั้น…พี่สี่ ในเมื่อพวกเขาทั้งสองเก่งกาจเช่นนี้ ครั้งนี้…”
ดวงตาของหลัวเยี่ยนหลินหรี่ลงเล็กน้อย
“หรงซิวไม่ทำเรื่องไร้การควบคุม ส่วนซั่งกวนเยว่…นางจะเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมยิ่งอาวรณ์เป็นธรรมดา”
เขาไม่รู้สึกว่า สองคนนั้นจะไปหาที่ตาย
หลัวเยี่ยนหมิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“แต่…พรุ่งนี้ก็จะหนึ่งเดือนแล้ว ถึงตอนนั้นค่ายกลกระสวยสวรรค์ ยิ่งจะบดขยี้เขาหมื่นเมรัยจนย่อยยับ หากพวกเขายังไม่ออกมา…”
แววตาของหลัวเยี่ยนหลินพลันเปลี่ยนไป
“ช่วงนี้ หลินจือเฟยและมู่หงอวี่ คล้ายว่าจะไม่ได้ออกมาเลยใช่หรือไม่”
“หือ อ้อ ถูกต้องขอรับ”
หลัวเยี่ยนหมิงมองไปตามสายตาของเขา
หลักจากตั้งแต่เห็นหลินจือเฟยและมู่หงอวี่เข้าไปในถ้ำภูเขาด้วยกันในวันนั้น ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของทั้งสองคนอีกจริงๆ
แต่ช่วงนี้สำนักวุ่นวายครั้งใหญ่ ทุกคนล้วนอกสั่นขวัญแขวน ย่อมไม่ค่อยมีคนใส่ใจเรื่องนี้
ความคิดของหลัวเยี่ยนหลินพลันแล่นพล่าน สุดท้ายก็ยังเอ่ยว่า
“วันนี้เย็นมากแล้ว เจ้ากลับไป…”
ครืน!
วาจาหนึ่งประโยคยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ได้ยินว่าทิศของเขาหมื่นเมรัย จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งลอยมา!
ทั้งสองคนหัวใจกระตุกวาบ พลันหันมองไปทางนั้น!
เวลานี้ก็เย็นย่ำแล้ว อัสดงลับลงประจิม แสงสีแสดอุ่นส่องกระทบชั้นเมฆ สะท้อนสีสายันณ์ผืนหนึ่งไปครึ่งท้องฟ้า
ทว่าเขาหมื่นเมรัย ตั้งแต่ตำแหน่งครึ่งไหล่เขาลงมา จู่ๆ ก็พังทลายลงอย่างต่อในฉับพลัน!
…………….