ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1463 แสดงฝีมือได้ไม่เลว
ตอนที่ 1463 แสดงฝีมือได้ไม่เลว
แสดงให้ดูอีกรอบหรือ?
ต่อให้เขายังคงมีแรงเหลือพอเหวี่ยงกระบี่ได้อีกรอบ เสี่ยวหลิวผู้นั้นก็คงไม่มีแรงชีวิตจะรับกระบี่ที่สองไหวหรอกหนา!
“ฉู่เยว่! เจ้าอย่าคิดรังแกคนเกินไปกว่านี้!”
ก่อนเหยาปินจะทันได้เอ่ยปาก ไป๋หลีฉุนก็เอ่ยตำหนิขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดัน!
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปมองไป๋หลีฉุนที่โมโหจนหน้าดำหน้าแดงพลางกะพริบตาปริบๆ
“ท่านประมุขไป๋หลี ข้าแค่อธิบายให้ทุกคนเข้าใจเท่านั้นเอง จะเป็นการรังแกคนเกินไปได้อย่างใด?”
ทันใดนั้น นางก็แสดงสีหน้าราวกับเข้าใจถึงอันใดบางอย่าง
“อ้อ… หรือว่าท่านหมายถึงเรื่องที่ข้าทำเขาบาดเจ็บน่ะหรือ? แต่… เดิมทีพวกเราก็กำลังประลองหาคนแพ้คนชนะกันอยู่นี่นา? อีกอย่าง… พวกเราเพิ่งจะออกกระบวนท่าไปแค่ท่าเดียวเท่านั้นหนา…”
สีหน้าของนางไร้เดียงสานัก ราวกับว่ายังคงสับสนงุนงงอยู่ไม่น้อย
“คิก…”
ท่ามกลางฝูงชนที่เงียบกริบพลันแว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบาลอยมาตามลม จากนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าการหัวเราะครานี้ เป็นเหมือนกับการเปิดกลไกก็มิปาน
บรรยากาศที่เดิมทีเย็นเยียบแลหนักอึ้งพลันเบาบางลง คนจำนวนมากต่างหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่แลลอบส่งสายตากันไปมา
กระบวนท่าเดียว!
ไม่น่าใช่กระบวนท่าเดียวหรอกกระมัง!
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ได้ชักกระบี่ออกมาสักรอบ!
มากไปกว่านั้นคือพวกเขายังไม่ทันทำอันใดเลยด้วยซ้ำ!
พูดมาถึงตรงนี้แล้ว เจ้าคนที่ชื่อเสี่ยวหลิวผู้นั้นช่างน่าผิดหวังนัก!
ขนาดพึ่งไข่มุกเทพสองเม็ดของไป๋หลีฉุนแล้วยังเอาชนะไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกโจมตีเสียจนหมดสภาพอีก!
ไป๋หลีฉุนไม่เพียงแต่เสียหน้าโดยไม่รู้ตัว กลับกันเขายังมีหน้ามายืนโมโหอยู่ที่นี่อีกหรือ?
ช่างเป็นเรื่องชวนหัวร่อเสียจริง!
เดิมทีทุกคนต่างคิดว่า เขาถูกพาตัวมาถึงที่นี่ได้ ความสามารถแลพรสวรรค์คงต้องยอดเยี่ยมเหนือชั้น
มาตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นพวกขี้แพ้ที่ยังเอาตัวแทบไม่รอดเลยเสียด้วยซ้ำ
ไม่รู้จริงๆ ว่าไป๋หลีฉุนคิดอันใดอยู่?
ฝูงชนต่างมิได้พูดอันใดออกมา ทั่วทั้งบริเวณต่างก็เงียบสงัด
ทว่าความคิดของฝูงชนจะมากจะน้อยก็ล้วนแสดงให้เห็นผ่านทางสีหน้า
ไป๋หลีฉุนไหนเลยจะมองไม่เห็น?
อายุปูนนี้แล้ว เขาแทบมองไม่เห็นสีหน้าแลแววเยาะเย้ยจากผู้อื่น ทั้งยังไม่รู้สึกถึงพวกมันด้วย!
คนเหล่านั้นปรายตามองเจียงจื่อหยวนที่ล้มบนพื้น จากนั้นเหลือบไปมองไป๋หลีฉุนด้วยสายตาแฝงความนัยล้ำลึก
ไป๋หลีฉุนรู้สึกร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่!
ดวงหน้าของเขาแดงก่ำ ลำคอรู้สึกตีบตัน รู้สึกอับจนคำพูดมิรู้จะเอ่ยตอบอย่างใดไปชั่วขณะ
การประลองเล่า!
แล้วการต่อสู้ล่ะ!
อีกอย่างการต่อสู้ครานี้มันสำคัญยิ่งเลยนะ!
เขามิอาจยืมมือผู้อื่นลงมือจัดการให้หรอกหนา!
เลือดภายในร่างไป๋หลีฉุนไหลเวียนเร็วรี่ หัวใจของเขาเต้นตึกตักราวกับมีกลองรัว ข้างขมับของเขาเต้น ‘ตุบตุบ’ จนแทบทำให้เขาเกรี้ยวกราดขึ้นมาอยู่รอมร่อ!
เขาเหลือบมองเจียงจื่อหยวนแวบหนึ่ง ใจโมโหเสียจนปวดตุบ
“ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก!”
หากมิใช่เพราะมีสายตาของคนจำนวนมากจับจ้อง เขาก็คงเข้าไปประคองคนให้ลุกขึ้นด้วยตัวเองตั้งนานแล้ว
ทว่าคำพูดสองประโยคเมื่อครู่ของหรงซิวทำเขารู้สึกระแวดระวังนัก จึงมิกล้าทำอันใดที่เป็นการล่วงเกินมากไปกว่านี้ จึงทำได้เพียงยืนมองอยู่เช่นนี้
ในใจของเจียงจื่อหยวนเองก็ระทมทุกข์ยิ่ง!
ไหนเลยนางจะรู้ว่าฉู่เยว่ผู้นี้แท้จริงแล้วน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้!
ทันทีที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อชิ้นนั้นออกโรง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ราบเป็นหน้ากลองไม่เหลือชิ้นดี!
จะยังมาพูดเรื่องแพ้ชนะอันใดอีก!?
ผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพกลับมาแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ที่เป็นจอมยุทธ์ระดับแปดต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเช่นนี้…
นี่ชวนให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าการลงมือสังหารนางเสียอีก!
เริ่มแรกนางภาคภูมิใจในตัวเองเท่าใด มาบัดนี้ก็มีความโกรธเกรี้ยวมากเท่านั้น!
นางพยายามดิ้นรนลุกขึ้นและกดบาดแผลเอาไว้ ทว่ามันกลับส่งความเจ็บปวดเสียจนนางแทบหน้ามืด
เมื่อเห็นคราบเลือดที่หยดลงบนพื้นเป็นจุดเป็นดวง นางก็ตื่นตะลึงยิ่ง ความเกลียดชังที่มีต่อเด็กหนุ่มเบื้องหน้านางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ฉู่เยว่ผู้นี้…
จงใจกักตัวนางเอาไว้อย่างนั้นหรือ?
ในตอนนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่พลันก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
เจียงจื่อหยวนตกใจเสียจนตัวโยน ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ด้วยไม่ได้ดูให้ดี นางจึงล้มลงกับพื้น
บาดแผลบนร่างเปิดฉีกมากกว่าเดิม ร่างเประเปื้อนไปด้วยจุดดำด่าง ดูไปแล้วน่าเวทนาแลน่าสังเวชนัก
“เจ้า! เจ้าคิดจะทำอันใดอีก!”
เนื่องจากความตึงเครียดและความหวาดกลัว เสียงของเจียงจื่อหยวนจึงแหลมเสียดหูนัก
ฉู่หลิวเยว่ปรายตามองนางด้วยความประหลาดใจ
“ข้าแค่จะมาถามว่าเจ้าอยากยอมแพ้หรือยัง เหตุใดเจ้าถึงกังวลขนาดนี้เล่า?”
“ข้า…”
ใบหน้าของเจียงจื่อหยวนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงแกมขาว รู้สึกว่าตัวเองอับอายขายขี้หน้าจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
บ้าไปแล้วจริงๆ!
เขารู้สึกรังเกียจจริงๆ ที่ได้เห็นรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของเจียงจื่อหยวน!
ในอดีต เจียงจื่อหยวนทั้งมีความมั่นใจ ใจกว้าง และเป็นที่รัก
เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้เล่า?
มีผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดมากมายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ และตัวตนของพวกเขาก็ใช่ว่าจะต่ำต้อย เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหัวเราะเยาะเขาลับหลังอย่างใด! ไหนจะพระราชวังเมฆาสวรรค์อีก!!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หรงซิว แต่เห็นบุรุษผู้นั้นพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ และเกียจคร้าน
ริมฝีปากสีเข้มของเขายกขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังยิ้ม
ยิ้มหรือ?
ในเวลานี้หรงซิวยังยิ้มออกอยู่อีกหรือ?
เขาไม่คิดว่าสิ่งนี้จะทำให้พระราชวังเมฆาสวรรค์เสียหน้าเลยหรือ!?
“โอรสสวรรค์ เจ้าพูดอันใดออกมาสักหน่อยสิ!”
ไป๋หลีฉุนคุมท่าทีของตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาเอ่ยปากขึ้นมาพลางขมวดคิ้ว
หรงซิวเอนศีรษะหันไปมอง
สีหน้าของเขาอ่อนโยนนัก ทว่าแววตากลับเย็นเยียบ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ท่านประมุขอยากให้ข้าพูดอันใดหรือ?”
พูดอันใดน่ะหรือ?
ก็ต้องช่วยพูดแทนเจียงจื่อหยวนอย่างใดเล่า!
ในใจไป๋หลีฉุนโมโหเสียจนเก็บท่าทีไว้ไม่อยู่
เห็นได้ชัดเลยว่าหรงซิวจงใจทำเช่นนี้!
“แน่นอนว่าพูด พูดเกี่ยวกับการประลองครานี้อย่างใดเล่า!”
ไป๋หลีฉุนเอ่ยเตือนอย่างคลุมเครือ
ขอเพียงหรงซิวเอ่ยปาก ก็ย่อมใช้แทนจุดยืนของพระราชวังเมฆาสวรรค์ได้
ฉู่เยว่เองก็คงไม่สามารถทำเกินไปกว่านี้ได้แน่!
หรงซิวแสดงสีหน้าราวกับเข้าใจถึงอันใดบางอย่างเป็นเชิงว่ารับรู้ถึงคำใบ้ของเขา
เขาเบนสายตาไปมองบนลานประลอง
“ฉู่เยว่…”
เขาเอ่ยปากอย่างเอื่อยเฉื่อย สุ้มเสียงทุ้มต่ำนัก ทว่าเปี่ยมไปด้วยความนุ่มลึก ชวนให้รู้สึกใจสั่นได้อย่างง่ายดาย
ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันเงี่ยหูฟัง
จากนั้น ก็ได้ยินเสียงหรงซิวหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า
“แสดงฝีมือได้ไม่เลว”
…
ทั่วสี่ทิศบังเกิดความเงียบสงัด
สีหน้าของไป๋หลีฉุนพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา
เจียงจื่อหยวนรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงหัวก็มิปานจนแทบสิ้นสติสมประดี
เดิมนางคิดว่าหรงซิวจะเปิดปากช่วยพูดให้พวกเขา แต่ แต่ว่า…
เขากลับเอ่ยปากชมฉู่เยว่เสียอย่างนั้น!?
“โอรสสวรรค์!”
ไป๋หลีฉุนระงับโทสะในใจอย่างสุดความสามารถ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ราวกับว่ามีกองไฟลุกโชนอยู่ภายใน
“เสี่ยวหลิวเป็นคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์ของข้า เจ้า…”
“ท่านประมุข ท่านเพิ่งออกจากการปิดด่าน จึงเกรงว่ามีบางเรื่องที่ยังไม่ได้รับรู้”
หรงซิวเอ่ยตัดบทเขาทันควัน พลางเอ่ยแกมหัวเราะแผ่วเบา
“ตั้งแต่แรกเริ่มจนบัดนี้ สำนักและวังของข้าล้วนยืนอยู่ฝั่งศิษย์น้องฉู่เยว่ ตอนนี้นางชนะแล้ว ทั้งยังได้พิสูจน์ความสามารถและความบริสุทธิ์ของตนแล้ว นี่ยัง… ไม่เพียงพอที่จะได้รับคำเชยชมอีกหรือ?”
หรงซิวเอ่ยอย่างเนิบนาบ
ไป๋หลีฉุนพลันสำลักออกมาคราหนึ่ง
เขารู้อยู่แล้ว
เขาต้องรู้อยู่แล้วเป็นแน่!
ก่อนหน้านี้เจียงจื่อหยวนเคยบอกเขาว่าหรงซิวนั้นเอาใจใส่ฉู่เยว่ผู้นี้ยิ่งนัก!
หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องพวกนั้นแล้ว ก็รู้สึกไม่ชอบใจในตัวฉู่เยว่นัก มาบัดนี้ เขาก็บังเกิดความรู้สึกอยากทำลายศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายให้สิ้นซาก
สิ่งที่เขาอยากทำตอนนี้คือระบายความโกรธใส่เจียงจื่อหยวน เขาจะได้ลืมเรื่องพวกนี้เสียให้สิ้น!
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่า… ตั้งแต่ต้นจนจบ หรงซิวก็สร้างกำแพงกั้นระหว่างพวกเขามาโดยตลอด
พวกเขาอับอายขายขี้หน้านั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว เกี่ยวข้องอันใดกับเขากัน?
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมา หางตาแลหางคิ้ววาดเป็นเส้นโค้ง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
จากนั้น นางก็ปรายตามองเจียงจื่อหยวนพลางเลิกคิ้วน้อยๆ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ยอมแพ้สินะ?”
ว่าพลาง นางก็สาวเท้าก้าวใกล้หนึ่งก้าว
ฝีเท้าก้าวนี้ราวกับว่ามันเหยียบลงบนหัวใจของเจียงจื่อหยวนอย่างแรงก็มิปาน
ลมหายใจของนางติดขัด ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงสนั่นหวั่นไหว
“ข้ายอมแพ้แล้ว!”