ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 96 ฝนโถมหิมะบิน
นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยฉางอิ๋งเห็นเสิ่นจั้งเฟิงต่อสู้ …แม้ดูไปแล้วคงเป็นเพียงการซ้อมเท่านั้น ทว่าพละกำลังของแหลนหนักแน่นดังขุนเขา ทวนว่องไวทั้งรุนแรง ยามปะทะกันเต็มไปด้วยความดุดัน ทั้งที่อยู่ท่ามกลางฤดูร้อนอันร้อนระอุเช่นนี้ แต่ใบของต้นอู่ถงที่อยู่ข้างลานบ้านกลับกำลังปลิดปลิวร่วงลงมา มองดูประหนึ่งอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง!
เว่ยฉางอิ๋งไม่เหมือนกับคุณหนูมีตระกูลทั่วไป สมัยก่อนเจียงเจิงอาจารย์ของนางเป็นถือกำเนิดในตระกูลสำนักคุ้มภัย เขาจึงเคยพบเห็นสำนักคุ้มภัยในใต้หล้ามานักต่อนักแล้ว ดังนั้นศิษย์ที่เขาสอนสั่ง แม้จะอยู่แต่ในเย้าในเรือนร่ำเรียนเรื่องอาวุธจากในหนังสือและคำบอกเล่า ทว่าก็ยังมีสายตาที่เฉียบคม เพียงดูจากท่าทางที่หนักหน่วงก็รู้แล้วว่าแม้จะเป็นเพียงการฝึกซ้อม ทว่าทั้งสองฝ่ายล้วนใช้กำลังภายในที่จริงแท้ออกมา เว่ยฉางอิ๋งสงบนิ่งโดยไม่อาจควบคุมสีหน้าได้ และหยุดเดินโดยไม่รู้ รวมรวบสติและตั้งใจชมการต่อสู้อย่างละเอียด
ไม่รู้ว่าคนทั้งสองสู้กันมานานเท่าใดแล้ว แสงแดงในฤดูร้อนก็แรงนัก เห็นชัดว่าชุดจิ้นจวงที่เสิ่นจั้งเฟิงสวมอยู่มีรอยเปียกอยู่หลายแห่ง ตีนผมก็มีรอยเหงื่อไหลอาบหลายรอย ทว่ายังคงกระปรี้กระเปร่าและฮึกเหิมยิ่งนัก แหลนด้ามหนึ่งบางคราวฟาดลงมาประหนึ่งเขาไท่ซานกดลงมาบังเกิดเสียงดังนั้นประหนึ่งพายุและสายฟ้าฟาด บางคราวกลับบางเบาดังขนนกปลิดปลิวไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใด สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างน่าอัศจรรย์……ทั้งแหวก ตัด สกัด ปลุกปั่น พุ่งชน เบิกทาง ปาด ไม่มีท่าใดเลยที่เขาจะไม่ชำนาญอย่างล้นเหลือ ทั้งเข้ารุกทั้งเข้ารับ ผสมผสานกันอย่างเป็นธรรมชาติ
คนที่ต่อสู้อยู่กับเขาก็มีฝีมือไม่ธรรมดา ทวนปลายตุ้มดอกเหมยประหนึ่งงูแสนคล่องแคล่วที่เลื้อยออกจากถ้ำ เที่ยงตรงแต่ลึกลับกลับกรอกยากคาดเดาทิศทาง พู่สีแดงแสนงามที่มัดอยู่ที่ปลายทวดประหนึ่งย้อมสีออกมาให้เป็นดอกลำโพง ทุกชั่วยามคล้ายไม่เคยเบ่งบานออกมาเลย แต่ยามแหงนหน้ามองว่ามันอยู่ข้างหน้า ไหนเลยจึงไปอยู่เสียข้างหลัง …คนธรรมดาเช่นนางหวงยิ่งมองดูอย่างหูตาลายและแยกแยะทิศทางไม่ออกเสียตั้งนานแล้ว
กลับเป็นเว่ยฉางอิ๋งและพวกของฉินเกอสองสามคนที่พากันจ้องอยู่ไม่วางตาประหนึ่งสามารถมองเห็นทุกกระบวนท่าของทวนได้อย่างชัดเจน… เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ทวนปลายตุ้มดอกเหมยแม้จะลึกลับซับซ้อน ทว่าหากนับกันจริงๆ แล้วก็ยังเป็นเสิ่นจั้งเฟิงที่กำลังได้เปรียบอยู่ และสิ่งที่ทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเหนือคาดก็คือผู้ที่กำลังใช้ทวนอยู่นี้กลับเป็นกู้อี้หราน
กู้อี้หรานดำรงตำแหน่งราชองครักษ์อี้ซึ่งเป็นตำแหน่งท้ายสุดในราชองครักษ์ทั้งสาม แม้ราชองครักษ์ทั้งสามจะคัดเลือกจากบารมีของปู่และบิดาของคนผู้นั้น ทว่าหากมีความสามารถที่พิเศษจริงๆ แล้ว ก็หาใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง
ก่อนหน้านี้ ครั้งวันกลับบ้านหลังแต่งงาน เสิ่นจั้งเฟิงกลับบ้านไปพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋ง ได้พบกับกู้อี้หรานและกู้เวยของตระกูลกู้แห่งหงโจว ครานั้นเสิ่นจั้งเฟิงเคยเอ่ยว่าในบรรดาราชองครักษ์ทั้งสามกู้อี้หรานเป็นคนที่มีวาสนาเรื่องคนมากเป็นพิเศษ ทั้งยังบอกอีกว่าพวกเขาสองสามคนซึ่งเป็นคนที่ประลองต่อหน้าพระพักตร์และมักจะได้ลำดับต้นๆ นั้นล้วนมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน…โดยเฉพาะกู้อี้หรานที่อยู่ร่วมกับทุกๆ คนได้อย่างดียิ่ง
ครั้งนั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ยังถามกระเซ้าสามีว่า วาสนาเรื่องคนของเขาเองเล่า ดีหรือไม่? แต่ในใจก็เคยคิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงประลองยุทธได้ที่หนึ่งทุกปี คาดว่าคงมีสหายรู้ใจอยู่จำนวนมาก และคงจะไม่ขาดคนริษยาด้วยเช่นกัน คำถามนี้เสิ่นจั้งเฟิงเองก็เพียงเอ่ยยิ้มหลบเลี่ยงไป ยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าการคาดเดาของเว่ยฉางอิ๋งเป็นเรื่องจริง
ทว่าหากพิจารณาว่าการที่กู้อี้หรานเป็นคนมีวาสนาเรื่องคนก็เพราะเขาดำรงตำแหน่งราชองครักษ์อี้อยู่เสมอมา นิสัยของกู้อี้หรานก็จะต้องไม่เลวด้วยเช่นกัน ทว่าลำดับในการประลองหน้าพระพักตร์คงจะอยู่เพียงระดับกลาง อย่างน้อยก็ไม่ไปยั่วให้พวกที่คิดเล็กคิดน้อยริษยาเอา
ไม่คิดว่าแม้เวลานี้ดูไปแล้วกู้อี้หรานจะเสียเปรียบ ทว่าเพลงยุทธก็ยังคงไม่ลนลาน ในสายตาของคนไม่ใคร่ชำนาญนักจึงมองเห็นว่าทั้งสองคนล้วนประมือกันอย่างเต็มที่ ยากแยะแยกได้ว่าใครได้หรือเสียเปรียบ
เว่ยฉางอิ๋งจึงเกิดความสงสัยเรื่องการจัดอันดับวรยุทธภายในราชองครักษ์ว่าเป็นเรื่องเช่นใดกันแน่ แต่ทันใดนั้น กลับเห็นว่ากู้อี้หรานร้องตะโกนออกมาหนหนึ่ง ทวนปลายตุ้มดอกเหมยบุกเข้ามาอย่างรุนแรง ปลายทวนสั่นไหวคล้ายวาดวงทวนน้อยใหญ่ออกมาได้เจ็ดวง ตัวทวนดังงูเหลือม พุ่งตรงเข้าใส่อกของเสิ่นจั้งเฟิงอย่างเหี้ยมโหด! เสิ่นจั้งเฟิงวางแหลนในแนวนอนรับเอาไว้ มองเห็นเป็นแหลนหนึ่งด้ามกระทบอยู่กับปลายทวนที่กำลังโบยบิน แต่กลับเห็นว่าปลายทวนนั้นพลันมีเสียงแกร็กลั่นออกมาครั้งหนึ่ง แล้วมีเสียงพุๆๆๆ ดังออกมาติดต่อกัน มีเข็มเรียวเล็กกลุ่มหนึ่งออกมาจากตุ้มดอกเหมยและแน่นขนัดเหมือนห่าฝน …แม้จะมีส่วนหนึ่งที่ถูกแหลนซึ่งเสิ่นจั้งเฟิงกันไว้ตรงหน้าอกบังเอาไว้ได้ แต่กลับมีจำนวนมากกว่านั้นที่กระจายออกไปบนและล่าง พุ่งตรงมาที่คอและท้องน้อยของเสิ่นจั้งเฟิง!
เว่ยฉางอิ๋งไม่คาดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น จึงพลั้งร้อง “อ่ะ” ออกไปคำหนึ่ง และกำลังจะวิ่งไปช่วยเขาตามสัญชาตญาณ!
นางเพิ่งจะยกชายกระโปรงขึ้นมาได้เล็กน้อย กลับเห็นว่าเข็มดอกเหมยเข้ามาใกล้ตัวเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว แต่เขากลับไม่หลบไม่ถอย เพียงแต่หมุนสะบัดชุดจิ้งจวง เมื่อเข็มสัมผัสถูกเสื้อผ้าก็พลันร่วงลงดินไปสิ้น ยามเข็มตกลงกระทบหินคราม เสียงปิ๊งๆ เบาๆ ยังคงดังอยู่นานไม่หยุด เห็นได้ว่าเข็มที่ซ่อนอยู่ในทวนนี้มีจำนวนมากมายเพียงใด
เว่ยฉางอิ๋งเอามือทาบอก มองไปยังเสิ่นจั้งเฟิงที่ปลอดภัยดีและค่อยเก็บแหลนกลับไป นางรู้สึกแต่เพียงว่าหัวใจเต้นรัวดังสายพิน และพูดสิ่งใดไม่ออกไปชั่วขณะ!
ยามนี้ มีเสียงร้องไชโยโห่ร้องยกใหญ่ดังมาจากข้างลานบ้าน “เยี่ยม! เพลงทวนเกล็ดหิมะปลิวของน้องจื่อหมิงนับวันยิ่งลึกล้ำ! สามารถประมือกับน้องย้าวเหยี่ยจนถึงเพลานี้จึงเพิ่งใช้ ‘ฝนโถมหิมะบิน’ นี่ออกมา!”
“แต่น่าเสียดายว่าเข็มที่ซ่อนอยู่ภายในทวนยังคงเล็กและเบาเกินไปสักหน่อย แรงส่งก็ยังไม่พอ แม้ ‘ฝนโถมหิมะบิน’ จะมีถูกซัดออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ทว่าเมื่อพบกับกำลังภายในที่แข็งแกร่งของน้องย้าวเหยี่ยแล้ว ในขณะที่ไม่ทันตั้งรับ เพียงต้องกับกำลังภาย ในเข็มเล็กๆ ก็พลันร่วงลงพื้นแล้ว จึงไม่อาจโจมตีได้สำเร็จ” ยังมีคนให้คำวิจารณ์ด้วยน้ำเสียงเสียดายเสียอีก
คนเหล่านี้วิเคราะห์เรื่องที่ทวนหัวตุ้มดอกเหมยของกู้อี้หรานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันโดยมิได้มีท่าทีตื่นตระหนกใดๆ แต่กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเสียด้วยซ้ำ เห็นชัดว่าแม้สิ่งนี้จะเป็นไม้ตายของกู้อี้หราน แต่ก็คงจะเคยใช้มาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อกู้อี้หรานพ่ายต่อเสิ่นจั้งเฟิงก็ยิ่งไม่มีสิ่งใดให้ต้องประหลาดใจอีก จึงวิพากษ์วิจารณ์ไปส่งเดชสองสามประโยค แต่กลับถูกเว่ยฉางอิ๋งที่ร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนหน้านี้ดึงดูดความสนใจไปแทน
แม้แต่ไม้ตาย กู้อี้หรานก็ยังนำมาใช้ในสนามแล้ว แต่กลับจนปัญญาจะจัดการกับเสิ่นจั้งเฟิง จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนพลางเก็บทวนไป แล้วเอาฝ่ามือกุมหมัดแสดงความเคารพกับเสิ่นจั้งเฟิงที่ก็เก็บแหลนกลับไปหลังจากที่ปัดเข็มดอกเหมยจนร่วงลงเช่นกัน บ่าวและสาวใช้กลุ่มหนึ่งที่มีท่าทีกระดี๊กระด๊าล้วนมีสีหน้าตื่นตกใจ แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งซึ่งสวมเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับมากมายก็ยังมีใบหน้าซีดขาว มีหนึ่งทาบอก อีกมือหนึ่งยกชายประโปรงขึ้นน้อยๆ อยู่ห่างจากบ่าวไพร่ที่อยู่ข้างหลังไปสองก้าว เห็นชัดว่าเมื่อครู่นี้คงจะวิ่งออกมาด้วยความร้อนรนใจ แต่เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงปลอดภัยดีแล้วจึงได้หยุดเท้าเสีย
เสิ่นจั้งเฟิงรีบเอ่ยเบาๆ กับกู้อี้หรานไปสองสามคำ ไม่รอให้เขาตอบมาก็ก้าวเท้ากว้างๆ ไปหาภรรยา กู้อี้หรานอยู่ข้างหลังเขาและคารวะเว่ยฉางอิ๋งอยู่ไกลๆ อย่างถ่อมตน แล้วหันหลังเดินไปทางที่พวกพ้องยืนอยู่
เมื่อเข้ามาใกล้ๆ จึงมองเห็นชัดว่าชุดจิ้งจวงสีนวลจันทร์ทั้งตัวของเสิ่นจั้งเฟิงความจริงแล้วเปียกปอนไปหมดเสียตั้งนานแล้ว หลายแห่งบนเสื้อถึงขนาดมีดอกเกลือสีขาวซึมออกมา ตีนผมข้างหูยังมีเหงื่อไหลย้อยลงมาตลอด ตัวทั้งตัวประหนึ่งถูกตักขึ้นมาจากน้ำเช่นนั้น มุมตีนผมที่ถูกเหงื่อจนเปียกชุ่มยิ่งทำให้ดูดำขลับเหมือนหมึก ดวงตาที่เฉียบคมก็ยิ่งคมกริบยิ่งขึ้น เพียงแต่เมื่อเข้ามาถึงตรงหน้าภรรยาความเฉียบคมอันนี้กลับเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนในทันใด แล้วเอ่ยอย่างสงสารว่า “เมื่อครู่ตกใจแล้ว? ข้าไม่เป็นไร ข้าเคยรับ ‘ฝนโถมหิมะบิน’ ของพี่จื่อหมิงมาหลายคราแล้ว รู้แต่แรกแล้วว่าท้ายสุดนี้เขาจะต้องใช้ไม้นี้แน่”
เว่ยฉางอิ๋งยังคงใจเต้นตึกตักจนตอนนี้ สีหน้ายังคงซีดขาว ยังไม่มีสีเลือดกลับมาในทันใด ทว่าก็ค่อยๆ สงบลงบ้างแล้ว เพียงแต่พอเอ่ยปากพูดก็ยังคงสั่นอยู่น้อยๆ นางกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ แขนของเจ้าบาดเจ็บ…”
หลิวยิ้วเจ้าก็ยังสามารถอาศัยการประลองหน้าพระพักตร์แสร้งทำพลั้งมือ จนเกือบจะสังหารเผยไค่ แล้วผู้ใดจะรู้ว่ากู้อี้หรานจะไม่เอาอย่างบ้าง?
เสิ่นจั้งเฟิงยื่นนิ้วไปเอาปอยผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งกลับไปเหน็บที่หลังหูนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “นั่นเป็นเพียงแค่เรื่องไม่ตั้งใจจริงๆ …ไว้กลางคืนข้าจะบอกกับเจ้า เจ้าดูสิยามนี้ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่างกลัวไปเลย ฮื้อ?”
แล้วบอกอีกว่า “วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พี่จื่อหมิงเท่านั้น สหายสนิทหลายคนของข้าในวัง ทั้งยังมีคนที่จะมาเป็นดองกับเราในภายหน้าก็ล้วนมาด้วย เดิมทีนึกว่าข้าล้มป่วย จึงมาเยี่ยมเป็นพิเศษ พอดีมาพบว่าแหลนอันใหม่ส่งมาแล้ว จึงอยู่ทดสอบด้วยกัน ช่วยข้าลองมือ ในเมื่อเจ้าออกมาแล้ว มิสู้ไปพบพวกเขาสักหน่อย?”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะกลัวว่าตนเองยังคงรู้สึกเคลือบแคลงอยู่ หากกลับไปข้างหลังเพียงลำพังจิตใจก็ยังคงกังวลยากสงบลงได้ กลับไม่สู้มาทักทายทำความรู้จักกับทุกคนสักหน่อย จะยิ่งทำให้จิตใจสงบลงง่ายขึ้น เมื่อครู่นี้ความสนใจของนางล้วนถูกเสิ่นจั้งเฟิงที่อยู่ในสนามดึงดูดไปหมด จึงไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อยว่าข้างสนามยังมีคนคอยชมการต่อสู้อยู่ด้วย เวลานี้จึงมีเวลาว่างเหลียวมองดูสักหน่อย เห็นแต่เพียงหัวคนที่อยู่เบียดเสียดกัน ซึ่งต่อให้ตัดพวกเด็กรับใช้ของทุกคนออกไปแล้ว นับดูก็คงจะมีเกือบสิบคน
เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจะส่งเสียงร้องออกไป แล้วเวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงก็ยังปลีกตัวออกมาจากกลุ่มสหายเพื่อมาปลอบตน และมีคนในกลุ่มนั้นกำลังชี้ชวนดูมาทางนี้ คล้ายกำลังหัวเราะสองสามีภรรยา เว่ยฉางอิ๋งอดจะหน้าแดงขึ้นมาไมได้ จึงจัดแจงเสื้อกระโปรงกล่าวว่า “ข้านึกว่าเจ้ากำลังดูแหลนอยู่ข้างหน้า จึงไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ไปทั้งเช่นนี้ได้หรือ?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มกล่าวว่า “อิ๋งเอ๋อร์หน้าตางดงาม สวมใส่สิ่งใดก็ดีไปหมด ไม่มีทางเสียมารยาทได้ที่ใด”
จากนั้นเขาจึงจูงนางไปด้วยกัน เมื่อมาถึงใกล้ๆ เว่ยฉางอิ๋งเหลือบมองไปเห็นว่าในกลุ่มมีชายผู้หนึ่งสวมชุดสีแดงเข้มกำลังโบกพัดพับและบีบให้ตนต้องขยับไปทางขวาเพื่อให้เกิดที่ว่างกว้างๆ ทันใดนั้น หนังหัวนางก็ชาขึ้นมาขนานใหญ่ …กู้หน่ายเจิง เหตุใดเจ้าหมอนี่ก็มาด้วย?
ทว่ากู้หน่ายเจิงกลับไม่ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ชอบเขา เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงพานางเดินเข้ามาใกล้ ก็ยังรีบหุบพับด้วยท่าทีดีใจยิ่ง แล้วเป็นฝ่ายไปทักทายอย่างสนิทสนมเสียเต็มประดาว่า “น้องสะใภ้มาแล้ว? เมื่อครู่นี้ไอ้เจ้าตวนมู่อู๋ยิวยังนินทาเจ้าอยู่เลยว่าจะต้องตกใจแทบแย่ และคงจะหลบไปข้างหลังเสียแล้ว! ข้าก็บอกแล้วอย่างไรว่าคราก่อนที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ น้องสะใภ้ถึงกับสามารถปกป้องหนุ่มหน้าละอ่อนที่คอยเรียกผึ้งภมรอย่างเจ้าย้าวเหยี่ยจนมาถึงฝูหรงโจวได้อย่างปลอดภัย ทั้งฝีมือและความอาจหาญจักต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่! แล้วเหตุใดจะมาตกอกตกใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นในวันนี้ได้? ไอ้เจ้าตวนมู่อู๋ยิวชอบดูแคลนสตรี ภายหลังน้องสะใภ้เห็นเขามา แม้แต่น้ำชาก็อย่าได้ให้ดื่มสักคำเชียว!”
ห่างจากเขาไปไม่ไกล ตวนมู่อู๋ยิวที่อีกไม่นานกำลังจะกลายมาเป็นว่าที่น้องเขยของเว่ยฉางอิ๋งกำลังมีสีหน้าเขียวคล้ำ พลางจ้องไปที่เขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราดจนเหมือนจะพ่นไฟออกมา แล้วเอ่ยอย่างเย็นยะเยือกว่า “ที่ข้าพูดคือ ‘พี่สะใภ้เว่ยคล้ายจะตกใจ’ เรื่องอื่นล้วนเป็นท่านพูดเอง!”
“ที่ข้าพูดก็มิใช่ความหมายของเจ้ารึ?” หากจะว่ากันเรื่องวิวาทะ แม้แต่เว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นคนมีเหตุมีผล ตวนมู่อู๋ยิวก็ยังพูดไม่ชนะเลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกู้หน่ายเจิงที่แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งที่รังแกเว่ยฉางเฟิงมาแต่เล็กก็ยังพยายามหลบเลี่ยงเลย ทันใดนั้นพัดของกู้หน่ายเจิงก็กางออก และโบกไปสองครั้งอย่างสุดแรง เขาเชิดจมูกขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะหยันไม่หยุด กล่าวว่า “ข้าดูแคลนคนชนิดนี้เป็นที่สุด พูดครึ่งเก็บไว้ครึ่ง ความหมายที่เก็บเอาไว้อีกครึ่ง แม้แต่คนหูหนวกก็ยังฟังออกว่าหมายถึงสิ่งใด แต่พอเอามาถามเจ้ากลับกลายว่าเป็นตายก็ไม่ยอมรับ! กล้าพูดก็ต้องกล้ารับ …หรือว่าตวนมู่ เจ้ามีหน้าตาดังหญิงพรหมจรรย์ เมื่อเทียบกับจิตใจแล้ว เจ้าก็ยังเหมือนแม่นางน้อยด้วย…”
“กู้หน่ายเจิง!” เดิมทีตวนมู่อู๋ยิวก็เป็นคนโกรธง่ายอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ทนปากของกู้หน่ายเจิงได้ เกรงว่าคงมีแต่สองพี่น้องบ้านฮั่วเท่านั้นแล้ว เมื่อเขาได้ยินคำก็บันดาลโทสะขึ้นมายกใหญ่ กระโดดโหยงขึ้นมาดังสายฟ้าฟาด แล้วร้องเรียกให้คนยกอาวุธที่ตนถนัดเข้ามา “เจ้าบังอาจกล้าลบหลู่ข้า! วันนี้เจ้ากับเข้ามาสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง ไม่ตายไม่เลิกรา!”
เมื่อมองเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะลุกลามกลายเป็นความแค้นใหญ่หลวงถึงขั้นเป็นตาย เจ้าบ้านเช่นเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องเข้าไปห้ามปราม ในใจของเว่ยฉางอิ๋งเต็มไปด้วยความคับแค้น! เมื่อครู่ตนเพิ่งถูก ‘ฝนโถมหิมะบิน’ ของกู้อี้หรานทำเอาขวัญกระเจิงไปไหนต่อไหน กว่าจะกลับมาสงบได้ …แต่กลับต้องมาพบกับไอ้เจ้ากู้หน่ายเจิงผู้นี้อีก!
เมื่อคิดว่าตอนเช้าไปที่คฤหาสน์จี้ เพิ่งขุ่นเคืองจี้ชวี่ปิ้งและถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวหลอกล่อให้สัญญา เว่ยฉางอิ๋งสงสัยจากใจจริงว่าความจริงแล้วกู้หน่ายเจิงเป็นผู้สืบทอดตัวจริงที่จี้ชวี่ปิ้งแอบรับเอาไว้อย่างลับๆ เพียงแต่คนภายนอกไม่เคยรู้มาก่อนเท่านั้น …เวลานี้เขามาสร้างความลำบากใจให้ตนเองต่อจากจี้ชวี้ปิ้งอาจารย์ของเขา และตวนมู่ซินเหมี่ยวศิษย์น้องของเขาเป็นการเฉพาะใช่หรือไม่?! คงมิใช่ว่าตนเองเคยมีความแค้นกับพวกหมอเทวดาทั้งตระกูลมาแต่ชาติปางก่อนหรอกนะ? !
___________________________________