ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 95 แหวน
เมื่อขึ้นรถม้า เสิ่นจั้งเฟิงเห็นเว่ยฉางอิ๋งยังคงมีท่าทีหวาดผวาอยู่ จึงกระเซ้านางไปว่า “มิใช่บอกว่าไม่ทะเลาะไม่รู้จักรึ? ไยเจ้าจึงดูหวาดผวาต่อคุณหนูตวนมู่เช่นนี้?”
“เจ้ายังจะพูดอีก!” เว่ยฉางอิ๋งตีเขาไม่หนักไม่เบาไปหนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่ามันเรื่องใด? เดิมทีกำลังทะเลาะทั้งยังลงไม้ลงมืออยู่กับนาง พูดวกไปวนมาก็ถูกนางพูดเสียจนกลายเป็นเรื่องดีไปเสียได้”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างขบขันว่า “เป็นเรื่องดีก็ดีแล้วนี่ ทว่าข้าได้ยินคำที่คุณหนูตวนมู่ผู้นั้นกำชับเจ้าที่ตรงประตู…พวกเจ้าคงมิได้นินทาข้าอยู่ข้างในหรอกนะ?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “นินทาเจ้าทำสิ่งใดกัน? นางก็พูดจาไปเกินจริงเช่นนั้น นับว่าข้ามองออกแล้ว!”
แล้วถอนหายใจว่า “วันนี้ถูกนางเล่นงานไม่เบาเลย! นางยังบอกอย่างจริงจังอีกว่าอีกสองวันจะมาเยี่ยมเราที่บ้าน เจ้าว่าข้าควรทำเช่นใด?”
“หากเจ้ามีเวลาว่างก็พบนางสักประเดี๋ยว หากไม่ว่างก็ให้คนที่ประตูพานางไปพบพี่สะใภ้รองก็พอแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้เรื่องเครื่องหยก จึงหัวเราะพลางช่วยนางออกความเห็น กล่าวว่า “แต่ไรมาพี่สะใภ้รองก็เกรงอกเกรงใจคุณหนูตวนมู่ผู้นี้อย่างมาก”
เมื่อถูกเตือนสติ เว่ยฉางอิ๋งจึงตื่นตัวขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “จริงด้วย นางยังเป็นน้องสาวร่วมตระกูลของพี่สะใภ้กรองด้วยนี่ เช่นนั้นข้ายิ่งไม่อาจไม่ต้อนรับนางให้ดี หาไม่แล้วจะเป็นการทำให้พี่สะใภ้รองเสียหน้า” ทำให้ตวนมู่เยี่ยนอวี่เสียหนากลับมิเป็นไร เพียงแต่ฮูหยินซูย้ำหนักย้ำหนาว่าบุตรหลานและสะใภ้ตระกูลเสิ่นล้วนต้องปรองดอง ปรองดองและปรองดองกัน
หากให้ตวนมู่เยี่ยนอวี๋จับได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ต้อนรับตวนมู่ซินเหมี่ยวที่มาเยี่ยมนางถึงบ้าน…พี่สะใภ้รองผู้นี้ก็จะไม่มีวันยอมปล่อยโอกาสใส่ไฟนางไปแน่ๆ พอถึงยามนั้น… ฮูหยินซูจะพอใจหรือ?
ครานี้เว่ยฉางอิ๋งยืนกรานจะพาเสิ่นจั้งเฟิงมาให้จี้ชวี่ปิ้งตรวจดูอาการ นางจึงสามารถประจบแม่สามีได้คราหนึ่ง ปรากฏว่าพอหันกลับมาก็ทำให้แม่สามีนึกว่านางจงใจเพิกเฉยต่อญาติฝั่งมารดาของพี่สะใภ้รอง… นี่มันไม่คุ้มกันเลย!
เว่ยฉางอิ๋งถอดถอนใจคำหนึ่ง “ช่างเถิด ยอมล่มจมเพื่อกันภัย ดีชั่วข้าก็มิใช่ว่าจ่ายไม่ได้!”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ย่อมล่มจมเพื่อกันภัยอันใด?”
“ไม่บอกเจ้า!” เว่ยฉางอิ๋งมองเขาอย่างระแวงหนหนึ่ง แล้วชี้นิ้วไปแตะที่ริมฝีปากเขา แค่นเสียงหึๆ กล่าวว่า “เจ้ากลับไปก็ห้ามเอ่ยถึง…และยิ่งห้ามถามถึงด้วย! รู้แล้วหรือไม่?”
เสิ่นจั้งเฟิงตอบอืมไปคำหนึ่ง แล้วขยับเข้าไปข้างหนูนาง แล้วเอ่ยอย่างว่าง่ายว่า “คืนนี้หากเจ้าว่าง่ายๆ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เจ้า!”
“อยากถูกตีรึ!” เว่ยฉางอิ๋งเอื้อมมือไปที่เอวคิดจะหยิกเขา แต่กลับถูกเสิ่นจั้งเฟิงกดเอาไว้และจับมือนาง พลางยิ้มกล่าวว่า “ห้ามต่อรอง เจ้าคอยดูก็แล้วกัน!”
ทั้งสองคนกระเซ้าเย้าหยอกกันบนรถจนกลับไปถึงจวนและไปพบฮูหยินซูที่เรือนหลักพร้อมกัน
พอฮูหยินซูเห็นสีหน้าพวกเขาก็รู้ว่าไม่มีปัญหาใด พลันสบายใจในทันใด ทั้งยังเอ่ยถามด้วยสีหน้าสดใสว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ว่าอย่างไร?”
“เรียนท่านแม่ ท่านหมอเทวดาบอกว่าท่านพี่ฟื้นตัวได้เร็วยิ่งนักเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงว่าก่อนนี้ตนขี่ช้างจับตั๊กแตนและท่าทีที่จี้ชวี่ปิ้งสะบัดแขนเสื้อจากไป ก็อดจะหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ พลางเอ่ยไปอย่างขัดเขิน
ฮูหยินซูกลับไม่ได้ประหลาดใจ พลันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านหมอเทวดาจี้เอ่ยปากเอง พวกเราแม่ลูกทั้งสองคนก็ล้วนวางใจได้แล้ว” จากนั้นก็เอ็ดเสิ่นจั้งเฟิงด้วยเสียงเข้มว่า “เจ้าดูซิ ก็มิใช่ว่าไปเพียงหนเดียวรึ? ท่านหมอเทวดาจี้จะกินเจ้าหรือไร? ยามนี้กลับมาแล้ว พวกเราวางใจได้แล้ว เจ้าอยากจะไปฝึกแหลนอะไรนั่น หรืออยากทำสิ่งใด ผู้ใดยังจะรั้งเจ้าเอาไว้อีก?”
เมื่อผ่านประสบการณ์ตรงมาแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงก็ตระหนักว่าเรื่องใดที่มารดาและภรรยาเห็นว่าดีงามแล้ว ตนอย่าได้คิดการต่อต้านเป็นเด็ดขาด จึงยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “ขอรับ”
ฮูหยินซูเห็นว่าบุตรชายรับคำแล้วจึงพอใจ แล้วมอบน้ำใจกลับไปโดยเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องที่เก๋อซุ่นมาหาที่บ้านซึ่งเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถึงคราก่อน “เวลานี้งานแต่งของน้องชายสี่ของพวกเจ้าก็ผ่านไปแล้ว ก่อนหน้านี้อาหญิงใหญ่ฝั่งมารดาเจ้าส่งคนมา มิใช่เรียกเจ้าไปเยี่ยมหรอกรึ? เจ้าวุ่นหน้าวุ่นหลังจนหลายวันมานี้ก็ยังไม่ว่างไปกระมัง? จักต้องเร่งหาวันไป อย่าให้นางนึกว่าบ้านเราจงใจเพิกเฉยต่อนางเอาได้”
เว่ยฉางอิ๋งยินดีอยู่ในใจ รีบกล่าวขอบคุณในความเอาใจใส่ของแม่สามี และยกยอไปอีกสองสามคำ เมื่อทำให้ฮูหยินซูปลื้มอกปลื้มใจแล้วจึงขอตัวออกไปพร้อมกับเสิ่นจั้งเฟิงและกลับมาที่เรือนจินถง
เมื่อเข้าประตูเรือนมา เว่ยฉางอิ๋งบอกให้เสิ่นจั้งเฟิงไปที่ห้องหนังสือเล็ก ส่วนตัวเองวิ่งปรี่เข้าไปภายในห้องแล้วสั่งให้คนยกสินติดตัวออกมาตรวจนับ เมื่อมองเห็นไข่มุกและอัญมณีอยู่เต็มหีบจึงเอ่ยอย่างเคืองโกรธว่า “ของเหล่านี้ของข้าล้วนดีๆ ทั้งนั้น ก่อนออกเรือท่านย่าและท่านแม่บรรจงเลือกมาให้ด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ ยามนี้ต้องเอาไปให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวทำลาย หากไม่เอ่ยถึงว่าข้าเสียดายของ ลำพังแค่หัวใจรักของท่านย่าและท่านแม่ที่เลือกสรรมาให้ข้า ก็นับว่าข้าติดค้างพวกนางแล้ว แต่ก่อนหน้านี้กลับไม่ลืมหูลืมตาไปรับปากนางเสียแล้ว แล้วจะทำเยี่ยงใดดีเล่า?”
เพราะได้ยินว่าพอเว่ยฉางอิ๋งกลับมาก็รื้อค้นเครื่องประดับออกมา นางเฮ่อรู้สึกสงสัยจึงเขามาดูด้วย เมื่อได้ยินคำก็ตื่นตกใจ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวสิ่งใดเจ้าคะ? เอาให้ผู้ใดทำลาย? และไปรับปากผู้ใดมาเจ้าคะ?”
พวกของนางหวง และฉินเกอแต่ละคนพากันเล่าเรื่องราวพัลวันกันไปหมด นางเฮ่อจึงถามว่า “ตวนมู่ซินเหมี่ยวผู้นี้ก็คือคุณหนูตวนมู่แปด ซึ่งเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของท่านหมอเทวดาจี้ผู้นั้นใช่หรือไม่?”
นางหวงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “หากมิใช่นาง ก็มิต้องมาปวดหัวเช่นยามนี้แล้ว”
คำสั่งของแม่เฒ่าซ่งก็คือพยายามผูกมัดจิตใจจี้ชวี่ปิ้งเอาไว้ทุกวิถีทาง ซึ่งนางหวงก็จัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทั้งบุตรชาย สะใภ้ หลานชาย หลานสาวก็ล้วนตามติดจี้ชวี่ปิ้ง สำหรับตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่จี้ชวี่ปิ้งยอมรับและรับเอาไว้อย่างเป็นทางการนั้น นางหวงเองก็คอยเกรงอกเกรงใจและกระตือรือร้นกับนางมาโดยตลอด …เรื่องนี้หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูผู้ดีท่านอื่น มีหรือนางหวงจะยอมให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวมาสามหาวกับเว่ยฉางอิ๋งได้?
เมื่อนางเฮ่อรู้เรื่องเข้าก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ถึงฮูหยินผู้เฒ่าจะกำชับให้พวกเราพยายามผูกมัดจิตใจท่านหมอเทวดาจี้ แต่คุณหนูตวนมู่แปดผู้นี้ก็หาได้เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนายท่านใหญ่ที่ใดไม่ เมื่อฮูหยินน้อยได้พบคุณหนูผู้นี้คราแรกก็มิได้รู้จักนิสัยใจคอของนาง จึงถูกนางเล่นงานส่งเดชจนหาทางลงไม่ได้และทำได้เพียงต้องรับปากไป แต่พี่หวงท่านก็มิใช่ไม่รู้จักนิสัยของนาง ไยจึงปล่อยให้นางวางแผนจัดการฮูหยินน้อยของเราได้เล่า?”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางเฮ่อแสดงความไม่พอใจต่อนางหวงนับแต่คนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกหน นางหวงรีบชี้แจ้งว่า “น้องเฮ่อเจ้าไม่รู้ คุณหนูตวนมู่แปดหลงใหลวิชาแพทย์อย่างหนัก หากวันนี้นางไม่เห็นกำไลที่ข้อมือของฮูหยินน้อยก็แล้วไป แต่ในเมื่อเห็นแล้ว เมื่อฮูหยินน้อยไม่ยอมรับปากนาง นางก็จะต้องตามรังควานมาถึงบ้านเป็นแน่”
แล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “คุณหนูตวนมู่แปดทำกำไลของตนจนสำเร็จนั้นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะภายหลังนางหาเครื่องหยกที่เหมาะสมไปอาบน้ำยาไม่ได้นางจึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ข้าน้อยกลับไปเฟิ่งโจวหนหนึ่งจึงลืมเรื่องนี้เสียสนิท หากรู้แต่แรก วันนี้ก็จะเตือนฮูหยินน้อยให้เปลี่ยนไปใส่กำไลอื่น ก็คงไม่มีเรื่องเช่นนี้แล้ว”
“ช้าก่อน! คุณหนูตวนมู่แปดผู้นี้เคยทำกำไลยาสำเร็จมาแล้วอันหนึ่งหรือ?” นางเฮ่อกล่าวทั้งดวงตาเป็นประกาย “เช่นนั้นไยไม่หาเหตุผลให้นางเอากำไลยานั้นมาวางเป็นประกันไว้เล่า? เมื่อเป็นดังนี้แล้วต่อให้นางทำให้เครื่องประดับของฮูหยินน้อยเสียหาย ดีชั่วอย่างไรพวกเราก็จะไม่เสียเปรียบ!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็พลันยินดีขึ้นมา แต่แล้วก็กล่าวอย่างลำบากใจว่า “เครื่องประดับที่ท่านย่าและพี่สาวของนางทิ้งไว้ให้นางก็ทำจนพังไปหมด และทำสำเร็จก็เพียงกำไลคู่หนึ่งเท่านั้น แล้วจะยอมมอบให้เราได้อย่างไร?”
“หากกำไลอันนั้นเป็นจริงดังคำพี่หวง ว่าสามารถสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย แม้แต่พี่หวงก็ยังต้องตรวจสอบกำไลนั่นอย่างละเอียดและยังต้องใช้ตัวยาจะตรวจสอบออกมาได้ ของที่ดีเช่นนี้ ต่อให้เอาเครื่องหยกน้ำงามสองสามชิ้นแลกมาก็ยังคุ้มค่า” นางเฮ่อกล่าว “ฟังพี่หวงว่าเวลานี้คุณหนูตวนมู่แปดผู้นั้นกำลังหากเครื่องหยกชิ้นใหม่เอาไปทดลองอยู่ ฮูหยินน้อยก็คิดเสียว่าเอาไปแลกกับนาง และบอกว่าเพราะฮูหยินน้อยเองก็ไม่ชอบเครื่องหยกนัก ในสินติดตัวจึงมีเพียงไม่กี่ชิ้น แต่สามารถให้คนกลับไปลองสอบถามกับฮูหยินผู้เฒ่าที่เฟิ่งโจวได้ ดังนั้นต้องเอากำไลอันนั้นไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าดูตรงหน้าเสียก่อน และได้รับความยินยอมจากฮูหยินผู้เฒ่าจึงจะได้”
“นี่กลับไม่ได้” เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันตอบ นางหวงก็ขัดคำขึ้นมา “ของเช่นกำไลยานี้ หากฮูหยินน้อยใคร่จะรู้และไม่อยากเสียหน้า เพียงเอาไปให้คุณหนูตวนมู่แปดทำสักอักสองอัน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ต่อให้พังเสียหายก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด และล้วนผลักเรื่องนี้ไว้ที่ตัวคุณหนูตวนมู่แปด แต่หากไปรบกวนถึงฮูหยินผู้เฒ่าและเรื่องเกิดแพร่งพรายออกไป คนจะพากันว่าฮูหยินน้อยของพวกเราคิดทำการใหญ่ใดน่ะสิ!” นางกดเสียงลงต่ำ “กำไลยานี้ก็หาใช่ของที่ทำให้อายุวัฒนะอันใดไม่!”
ไม่คิดว่าคำพูดนี้กลับเตือนสติเว่ยฉางอิ๋ง นางรีบถามว่า “ท่านอาหวง ก่อนหน้านี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวบอกว่ากำไลยานี้ทำออกมาด้วยการเอาไปแช่ในน้ำยาใช่หรือไม่?”
นางหวงบอกว่า “หากพูดให้ง่ายๆ ก็เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่ความจริงแล้วยุ่งยากนัก นั่นเพราะ…”
เว่ยฉางอิ๋งไม่มีแก่ใจฟังจนจบ จึงโพล่งถามไปทันใดว่า “ในเมื่อเอาไปแช่ในยาพิษได้ แล้วจักไม่อาจเอาไปแช่ยาอายุวัฒนะได้หรือ?” เช่นนั้นก็จักกลายเป็นของที่ตนเองสามารถนำมาใส่ได้… ไม่แน่ว่าทางบิดาของนางก็อาจจะใช้ได้ด้วย
นางหวงเอ่ยเลื่อนลอยว่า “วิธีนี้เป็นคุณหนูตวนมู่แปดคิดค้นออกมาเอง แม้แต่ท่านหมอเทวดาจี้ก็เพียงสอบถามดูเป็นครั้งคราวเท่านั้น ส่วนว่าทำออกมาจริงๆ อย่างไรนั้น ข้าน้อยยิ่งไม่รู้เลยเจ้าค่ะ จักทำเป็นของที่ทำร้ายคนได้เท่านั้นหรือไม่ก็ยังไม่ทราบจริงๆ เจ้าค่ะ…”
“รอจนนางมาแล้วข้าจะถามดู” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยกับตัวเอง “หากสามารถทำเป็นของที่มีประโยชนต่อคนได้ หากจะสิ้นเปลืองไปสักหน่อยก็ยัง…เอ่ย ค่อยว่ากันเถิด” คนมั่งมีเช่นนางเองก็ยังไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากเต็มคำ เพราะอย่างไรเสียหากต้องแลกมาด้วยกำไลเช่นของตวนมู่ซินเหมี่ยวเองอันนั้นก็น่ากลัวเกินไป…
ว่าแล้วนายบ่าวจึงพากันเลือกอยู่สักพัก สุดท้ายตัดสินใจเอาแหวนทองคำบริสุทธิ์ฝังอัญมณีวงหนึ่งมาใช่ตบตาตวนมู่ซินเหมี่ยว –อัญมณีที่ฝังอยู่บนแหวนนี้พอดีเป็นหยกชั้นเลิศชิ้นหนึ่ง ทว่าถูกตัดแต่งให้ราบเรียบและมีขนาดครึ่งหนึ่งของเล็บนิ้วก้อย ทว่าก็มีสีเขียวสดใสรื่นตารื่นใจนัก
นางเฮ่อกล่าวอย่างปวดใจว่า “หยกเพียงชิ้นเล็กๆ นี้ ก็มีราคามหาศาลแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ก็ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า? หากนำไปมอบให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นสินน้ำใจก็ช่างมันเถิด แต่กลับรู้ว่านางจะเอาไปทดลอง หากสำเร็จก็นำกลับมา ล้มเหลวแล้วก็จะไม่มีแล้ว จึงไม่ได้เป็นสินน้ำใจหรือไม่เป็นสินน้ำใจอันใด… แต่เมื่อพูดย้อนกลับมา ศิษย์ของจี้ชวี่ปิ้งจะรู้ว่าสิ่งใดคือน้ำใจก็คงจะไม่ใคร่เป็นไปได้”
ได้ยินว่านางเอ่ยถึงจี้ชวี่ปิ้งก็ยังคงขัดเคืองอยู่ไม่จางหาย นางหวงคิดจะพูดบางสิ่งแต่ก็กลับสงบปากไว้ เอ่ยเพียงแต่ว่า “สมัยก่อนนั้น ท่านหมอเทวดาจี้เคยประสบกับความยากลำบากมามาก จึงอดจะมีนิสัยประหลาดสักหน่อยไม่ได้ หาได้จงใจทำใส่ฮูหยินน้อยไม่ ฮูหยินน้อยเปิดใจกว้างสักนิด อย่าได้ถือสาท่านหมอเทวดาเลยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้สึกว่าการไปวิพากษ์วิจารณ์คนมีนิสัยเช่นจี้ชวี่ปิ้งนี้ก็เสียเวลาเปล่า จึงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แหวนวงนี้เพียงนำไปขึ้นเงาก็จะใช้ได้แล้ว ข้ากลับเป็นกังวลว่าหากตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่พอใจ แล้วยังคงตามรังควานไม่แล้วไม่เลิกจะทำเช่นใดเล่า?”
นางหวงเม้มปาก กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยสามารถตบตาคุณหนูตวนมู่แปดไปได้ครานี้ หากคุณหนูตวนมู่แปดยังตามรังควานอีก คราหน้าก็ให้ฮูหยินน้อยบอกว่าเมื่อฮูหยินน้อยปรึกษาเรื่องนี้กับพวกเราเป็นการส่วนตัว ก็ถูกฮูหยินของพวกเราพบเข้า ฮูหยินของพวกเราเอ่ยถามอย่างตำหนิว่าเอายาซึมเข้าไปในเครื่องประดับเพราะต้องการจะทำร้ายคนในบ้านนี้หรือ ดังนั้นฮูหยินน้อยจึงไม่กล้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งตะลึงงัน จากนั้นจึงโอดครวญว่า “ท่านอาเตือนข้าเร็วกว่านี้สักหน่อย ว่าเรายังมีท่านแม่เป็นข้ออ้างได้อีกนี่!”
“…แต่ครานั้นฮูหยินน้อยก็รับปากคุณหนูตวนมู่แปดไปแล้วนี่เจ้าคะ”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ “ก็ใช่ โทษท่านอาไม่ได้ เป็นข้าเองที่ไม่ยอมเสียหน้า แล้วกลับไปเจอกับคนที่ยอมเสียหน้าได้ เมื่อไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงใดต่อกัน และอีกฝ่ายมาตามพินอบพิเทาเอาอกเอาใจไม่ปล่อย เมื่อข้ารู้สึกขัดเขินขึ้นมา ต่อให้ไม่อยากเสียท่าก็คงยากจริงๆ!”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมา นางเฮ่อปลอบไปว่า “ฮูหยินน้อยมีวาสนาดียิ่งมาแต่ไร ไม่แน่ว่าเมื่อคุณหนูตวนมู่แปดรับแหวนวงนี้ไป ก็อาจทำสำเร็จก็เป็นได้นะเจ้าคะ?”
“หากเป็นดังนั้นก็ดี” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางส่งแหวนให้นางเฮ่อแยกเก็บเอาไว้ แล้วเรียกให้คนจัดเก็บของเก็บเข้าที่เสีย
รอจนภายในห้องกลับคืนสู่สภาพเดิม เว่ยฉางอิ๋งอยากรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะอยู่ในห้องหนังสือเล็กตลอดเวลาหรือไม่จึงเรียกเจวี๋ยเกอที่อยู่ข้างนอกเข้ามาสอบถาม เจวี๋ยเกอเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่นี้ข้างหน้ามารายงานว่ามีคนนำแหลนของคุณชายมาส่งแล้ว คุณชายจึงไปข้างหน้าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าก็จะไปดูด้วย” เดิมทียังคิดจะอยู่สอบถามนางหวงโดยลำพัง แต่เมื่อได้ยินคำจึงรีบวางเรื่องนี้ไว้และลุกขึ้นพูด
เมื่อไปถึงข้างหน้าเรือน เพิ่งจะก้าวผ่านประตูวงพระจันทร์ ก็ได้ยินเสียงใบมีดสะบัดผ่านลม เสียงหนักแน่นและชัดเจนยิ่ง ระหว่างนั้นก็มีเสียงใบมีดกระทบกันอยู่ไม่ขาด… เว่ยฉางอิ๋งรีบเร่งฝีเท้า จนเมื่อเลี้ยวผ่านมุมกำแพงก็เห็นว่าตรงกลางลานบ้านกว้างใหญ่ เป็นเสิ่นจั้งเฟิงที่ไม่รู้ไปเปลี่ยนชุดมาแต่เมื่อใด ยามนี้เขาอยู่ในชุดจิ้งจวงซึ่งเป็นชุดรัดกุมที่รัดแขนเสื้ออยู่กับแขน สีขาวนวลจันทร์ทั้งตัว ในมือถือแหลนด้ามหนึ่ง กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับชายในชุดจิ้งจวงสีน้ำเงินเข้มซึ่งใช้ทวนปลายตุ้มดอกเหมย
_________________________________