ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 92 ไม่ทะเลาะไม่รู้จัก (2)
“แต่งกับเจ้า? เจ้าฝันไปเถิด!” เว่ยฉางอิ๋งออกแรงผลักตวนมู่ซินเหมี่ยวไปชนต้นเสาในระเบียงทางเดิน เนื่องจากคนในตระกูลแพทย์สัมผัสกับสมุนไพรมานานปี บนตัวล้วนมีแต่กลิ่นยา และคงเป็นเพราะเมื่อครู่คุณหนูตวนมู่ผู้นี้ขลุกตัวอยู่ท่ามกลางลานบ้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นยาเป็นเวลานาน เมื่ออยู่ใกล้ๆ จึงยิ่งรู้สึกว่าตัวนางมีกลิ่นยาแรงมาก อบอวลอยู่เสียจนเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกไม่สบาย
เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอยู่สองสามหนจึงพอจะปรับตัวได้ แล้วค่อยๆ เอาผ้าเช็ดหน้าในมือตบข้างแก้มนางอย่างใจเย็น แต่กลับไม่คิดว่า ก่อนหน้านี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวล้วนคัดเลือกสมุนไพรอยู่ท่ามกลางแดดจ้า จากนั้นก็เข้ามาหาเรื่องกับเว่ยฉางอิ๋ง ในวันที่มีอากาศเช่นนี้นางจึงมีเหงื่อท่วมตัว เว่ยฉางอิ๋งตบไปสองหนมือก็เปียกไปหมด นางจึงไปเช็ดบนเสื้อส้างหรูของตวนมู่ซินเหมี่ยวหนแล้วหนเล่าด้วยท่าทีรังเกียจ พลางยิ้มหยันกล่าวว่า “ยังคิดจะขู่ข้าอีกรึ…มีภรรยาเอกอย่างข้าอยู่ ต่อให้เจ้าอาละวาดอีกสักเท่าใดก็จะใหญ่กว่าข้าได้รึ? อย่างมากที่สุด เจ้าก็เป็นได้แค่อนุ!”
“หากข้าเป็นอนุของเสิ่นจั้งเฟิง ด้วยฝีมือแพทย์ของข้า…”
“อนุของสามีข้า ภรรยาเอกเช่นข้าคิดจักจัดการเยี่ยงไรก็จัดการได้ มีหรือจะยอมให้เจ้ามาอยู่ร่วมชายคากับข้า …เจ้านี่มันไร้เดียงสาจริงๆ!” เว่ยฉางอิ๋งเช็ดมือพอประมาณแล้ว จึงชี้นิ้วไปแตะที่หน้าผากของตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นการเตือน “เจ้ากล้าไปอาละวาด ข้าจะขอให้แม่สามีรับเจ้าเข้าบ้านในทันใด บ้านตวนมู่ของเจ้าก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว ให้ตามข้าเข้าเรือนจินถงไปเสียเลย! รอจนมาอยู่ในกำมือข้าแล้ว ข้าจะให้คนมาหักขา ตัดลิ้นเจ้า แล้วให้พวกค้าคนเอาไปขายส่งเดชสักไม่กี่อัฐ เอาไปซื้อลูกวาดให้สาวใช้ตัวน้อยในบ้านข้ากิน! เจ้ากล้าไปอาละวาดก็ลองดูสิ! อย่างนึกว่าบ้านตวนมู่จะมาออกหน้าให้เจ้า เป็นถึงบุตรสาวสายหลักแต่กลับใฝ่ต่ำวิ่งแร่มาขอเป็นอนุ บ้านตวนมู่ไม่รีบไล่เจ้าออกจากบ้านเพื่อรักษาหน้าตาของตระกูลก็แปลกแล้ว!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวนิ่งเหม่อไปพักใหญ่ พลันหยุดดิ้นรน กลับมาอยู่ในอาการสงบ จนถึงกับมีสีหน้าสงสัย แล้วเอ่ยถามว่า “เอาไปขายก็เอาไปขายสิ เหตุใดยังต้องตีให้ขาหักและตัดลิ้นด้วยเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งมองดูนางเหมือนกำลังมองดูคนบ้าอยู่พักใหญ่ คิดในใจว่า คงมิใช่ว่าสมองของคุณหนูแปดบ้านตวนมู่ผู้นี้จะไม่ใคร่ปกติ? ก็มิใช่เพราะข้ารู้สึกว่าเมื่อพูดออกไปเช่นนี้แล้วจะดูโหดร้ายและน่าเกรงขามยิ่งนักหรอกหรือ? ทว่าปากก็ย่อมไม่อาจยอมรับออกไปดังนั้น เพื่อมิให้เผยท่าทีที่แท้จริง ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มหยัน แล้วเอ่ยอย่างเป็นเรื่องปกติวิสัยว่า “หากไม่ตีเจ้าจนขาหัก หากไปอยู่ในมือของพวกค้าคนแล้วเจ้าเกิดวิ่งหนีเล่า? ตัดลิ้นเจ้าย่อมไม่ให้เจ้าไปพูดจาส่งเดช!”
“เช่นนั้นก็ควรต้องตีให้มือหักด้วย หาไม่แล้วข้าก็ยังเขียนหนังสือได้!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเสนอแนะไปด้วยความหวังดี
เว่ยฉางอิ๋งบันดาลโทสะยกใหญ่ รู้สึกว่าคำกล่าวนี้เป็นการท้าทายตนชัดๆ นางคว้าเสื้อส้างหรูของตวนมู่ซินเหมี่ยวแล้วกระชากลงข้างล่างจนขาดไปชิ้นใหญ่ แล้วยิ้มหยันเสียยิ่งกว่าเก่า กล่าวว่า “เจ้าไม่เชื่อ?” ข้าดุร้ายเพียงนี้ เจ้ายังกล้าไม่เชื่อข้า!
“แค่ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าไร้ประสบการณ์!” เสื้อส้างหรูของตวนมู่ซินเหมี่ยวขาดวิ่น เผยให้เห็นเสื้อเกาะอกสีหยกที่อยู่ข้างในและไหล่เนียนงามกว่าครึ่งหนึ่ง กระทั่งแต้มพรหมจรรย์ที่แขนก็ยังเผยออกมา… แต่คุณหนูผู้นี้กลับยังสามารถปล่อยวางได้จริงๆ ที่นี่เป็นลานบ้านโล่งมองเห็นท้องฟ้าอยู่ใต้พระอาทิตย์ หากเป็นหญิงผู้ดีสักคน หรือแม้จะเป็นเว่ยฉางอิ๋งเอง หากต้องอยู่ในสภาพที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมร่างกายดีๆ เช่นนี้ ต่อให้ตรงหน้ามีเพียงหญิงคนหนึ่ง นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไม่ได้รู้สึกรู้สาใดๆ พลางยกมุมปากขึ้นและสั่งสอนอย่างดูแคลนว่า “ยังคิดจะมาข่มขู่ข้าอีก! ข้าจะบอกเจ้าให้ หากว่ากันเรื่องจัดการอนุแล้ว เจ้ามาเรียนกับข้าจึงค่อยเข้าท่าหน่อย!”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าอาการประสาทของตวนมู่ซินเหมี่ยวจะต้องกำเริบแน่ๆ พลันระวังตัวขึ้นมา ทว่าปากก็ยังคงยิ้มหยันและย้อนคำไปว่า “ถือดีอันใด!”
“ก็ถือดีที่ข้าเคยจัดการพวกนางเล็กๆ สิบสามคนของท่านพ่อข้าที่เข้ามาทั้งก่อนและหลัง แต่ละคนไม่ได้มีจุดจบที่ดีสักคน แต่ข้ากลับไม่ถูกสงสัยเลยแม้แต่น้อยน่ะสิ!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวกอดอก เชิดหน้าขึ้น ตามองฟ้า พลางเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
แววตาเช่นนั้น ท่าทีเช่นนั้น กำลังส่งสารไร้ซุ่มเสียงประโยคหนึ่งว่า “ยังไม่รีบไว้ครูขอวิชาอีกรึ!”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไปพักใหญ่ แล้วพูดติดๆ ขัดๆ ว่า “อะไรนะ?” พวกนางไม่ได้กำลังทะเลาะกันหรอกหรือ? เหตุใดตวนมู่ซินเหมี่ยวถึงได้ไปพูดถึงเรื่องที่นางวางแผนทำร้ายอนุของบิดาตน?
ในเรื่องนี้นางมีแผนร้ายใดอยู่หรือไม่? ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังพยายามขบคิดอยู่นั้นก็ได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวอธิบายอย่างเปรมปรีดิ์กว่า “คราแรกที่ข้าลงมือ เรียกอนุนางนั้นว่าเจี่ยก็แล้วกัน นางเจี่ยนั้นชั่วช้าและร้ายกาจเป็นที่สุด มาเหยียดหยามว่าแม่ข้าไร้ผู้สืบสกุล มีเพียงข้าและพี่ใหญ่เป็นบุตรสาวสองคนเท่านั้น และพี่ใหญ่ข้าก็โชคร้าย…” พูดถึงตรงนี้นางก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วก็เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “นางเจี่ยนั่นถึงกับบังอาจยินดีในความโชคร้าย! ในคืนที่นางเยาะหยันพี่ใหญ่ของข้าในสวนดอกไม้ ข้าก็ปีนขึ้นไปบนยอดกำแพงในเรือนที่นางอยู่ แล้วพ่นผงยาเข้าไปในเรือนนางห่อหนึ่ง!”
เว่ยฉางอิ๋งมองดูนาง ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี ตวนมู่ซินเหมี่ยวนิ่งไปครู่หนึ่ง คงเพราะเห็นนางไม่ต่อคำ จึงถลึงตาด้วยความโกรธใส่นางหนหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “วันรุ่งขึ้นนางก็ตายทันที!”
“ผงยาใดร้ายกาจเพียงนี้!?” เว่ยฉางอิ๋งตกใจจนหน้าถอดสี
ตวนมู่ซินเหมี่ยวแค่นเสียงหึ กล่าวว่า “เป็นผงยาร้ายกาจอันใดกัน? ก็แค่ยาสมุนไพรสองสามชนิดที่ห้ามนางเจี่ยนั่นกิน แต่คนทั่วไปกลับมิได้สนใจ แล้วข้าก็กำจัดนางไปด้วยวิธีนี้!”
เว่ยฉางอิ๋งอดจะถามอย่างประหลาดใจไม่ได้ “มิใช่เจ้าบอกว่าไม่มีคนสงสัยเจ้ารึ? จะเป็นไปได้อย่างไร?” อนุอันเป็นที่รักที่มียาต้องห้ามอยู่สองสามชนิดแต่ต้องมาตายลงด้วยยาบางชนิด และในบ้านก็ยังมีคุณหนูบุตรภรรยาเอกที่ร่ำเรียนวิชาแพทย์อยู่ผู้หนึ่ง เป็นเช่นนี้แล้วยังไม่สงสัยตวนมู่ซินเหมี่ยว สมองของทุกคนในบ้านตวนมู่มิใช่ทำจากไม้หรอกหรือ?
“โอ๊ะ ข้าก็เอาผงยาที่เหลือไปวางไว้ที่ห้องของอนุอีกคนของท่านพ่อ เรียกนางว่าอี่ก็แล้วกัน นางอี่นี่ก็มิใช่ของดี ต่อหน้าทำเป็นนอบน้อมต่อแม่ข้า แต่ลับหลังกลับแอบคิดร้าย! ให้นางชดใช้นางเจี่ยด้วยชีวิตก็สมน้ำหน้าแล้ว!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ดังนั้นเจ้าว่าจะทำสิ่งใดนะ? ตีให้ขาหัก ตัดลิ้นแล้วเอาไปขาย …หากจะจัดการให้ถึงที่สุดจริงๆ ก็ควรต้องควักลูกตาออกมา กรอกปรอทใส่หูให้หูหนวก แล้วตัดเส้นเอ็นข้อมือให้เขียนหนังสือไม่ได้ไปเสียเลย! เจ้ามาทำครึ่งๆ กลางๆ เยี่ยงนี้ ถึงจะทำให้คนรู้สึกว่าเจ้าโหดร้าย แต่กลับยังไม่ปลอดภัย!”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงไปพักใหญ่ จึงกล่าวว่า “จะ…เจ้าเคยทำมาก่อน?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวถอนใจ เอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งลอบปาดเหงื่อ คิดในใจว่าหากทำดังที่เจ้าว่า ก็เหมือนกับฮองเฮาลี่ว์ทำกับสนมชีในสมัยก่อนไม่มีผิด นี่มิใช่วิธีการที่คนทั่วไปจะทำได้… แล้วได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างเสียดายว่า “ตลอดมาข้าจะใช้พวกนางทดลองยาก่อน ทดลองไปทดลองมาพวกนางก็ตายแล้ว มีที่ทนอยู่จนถึงวันต้องตีให้ขาหักที่ใดกัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงลงมือทำอย่างอื่นเลย”
“…” เว่ยฉางอิ๋งเงียบงันอยู่เป็นนาน แล้วเอ่ยเสียงอ่อยๆ ว่า “พวกเรามิใช่กำลังทะเลาะกันอยู่หรอกรึ?”
เหตุใดจึงเปลี่ยนหัวข้อมาเป็นแลกเปลี่ยนวิธีจัดการอนุกันอย่างปรองดองไปได้?
ตวนมู่ซินเหมี่ยวขอบคิดอยู่สองสามอึดใจ พลันรีบบอกว่า “ใช่ๆๆ เจ้ารีบเอากำไลมาให้ข้า!”
นางยังกล้ามาแย่งกำไลข้าอีก! ดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งฉายแววโหดร้าย “เจ้าอย่านึกว่าข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้จริงๆนะ! หากยั่วข้าจนโมโหหนัก แล้วจะโยนเจ้าขึ้นไปบนหลังคาทั้งเช่นนี้ ดูซิว่าเจ้าจะทำเช่นใด!”
“มิใช่ว่าเจ้าคิดอยากจัดการอนุหรอกรึ?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวถลึงตาใส่นางหนึ่ง “ข้าเอากำไลของเจ้าไป ก็มิใช่ว่าจะไม่เอาคืนเจ้าสักหน่อย! ข้าจะเอาไปทำกำไลยาให้เจ้าไม่ดีหรือไร?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อ กล่าวว่า “กำไลยา?”
“เจ้าเอากำไลคู่นี้ให้ข้า ข้าจะเอาไปแช่น้ำยาให้ยาซึมเข้าไปภายใน หลังจากนี้สองสามเดือนเมื่อยาซึมเข้าไปแล้ว ก็จะกลายเป็นกำไลยา” ตวนมู่ซินเหมี่ยวกดเสียงลงต่ำ พูดหลอกล่อว่า “กำไลยาชนิดนี้ หากเจ้าอยากจะให้แท้งลูก ข้าก็จะทำให้ใส่แล้วแท้งลูกให้เจ้า หากคิดจะให้คนตาย ข้าก็จะทำแบบปลิดชีพให้เจ้า หากคิดจะ…”
เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างขนพองสยองเกล้า พลางกำกำไลที่ข้อมือเอาไว้แน่น กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้ฟังคำของสามีข้ารึ?”
“เสิ่นจั้งเฟิง?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยถามขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “เขาพูดสิ่งใด?”
“…กำไลนี้เป็นหนึ่งในของหมั้นที่ตระกูลเสิ่นให้มา” เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก “เจ้าคิดว่าข้าจะนำไปให้ผู้อื่นได้หรือ?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวประเหลาะนางอย่างร่ำไรว่า “เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ถูกแล้ว ตัดใจจากลูกไม่ได้ก็ล่อหมาป่าไม่ได้น่ะสิ! เจ้าลองคิดถึงนังพวกอนุใจชั่วจอมมารยาสาไถ ต่อหน้าทำเป็นนอบน้อมต่อเจ้า แต่พออยู่ต่อหน้าแม่สามีและสามีเจ้ากลับคอยยุแยงตะแคงรั่ว ไม่ว่าจากกริยาหรือวาจาก็คอยใส่ความ ยุยงให้แตกกัน! ความสัมพันธ์อันดีของแม่สามีลูกสะใภ้และสามีภรรยา ล้วนถูกพวกนางทำลายสิ้น! โดยเฉพาะพวกที่แม่สามีเจ้าชื่นชม เห็นแก่หน้าแม่สามีเจ้า ยังไม่อาจไม่ไว้หน้าพวกนาง! และเพียงเพราะต้องรักษาหน้าตาด้วยคำว่ามีคุณธรรมเพียบพร้อม เจ้าจึงต้องทนแบกความเคียดแค้นเอาไว้อีกสักเท่าใด?”
“ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพฤติกรรมชั่วของพวกนางหาได้มีเพียงเท่านี้ไม่!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเห็นเว่ยฉางอิ๋งนิ่งมองตน จึงรู้สึกว่าหากเพิ่มแรงอีกสักหน่อยก็จะทำให้นางหวั่นไหวได้ เสียงนางพลันต่ำลง แล้วเตือนเว่ยฉางอิ๋งไปอย่างเย็นยะเยือกที่สุดว่า “เจ้าอย่าได้ลืมว่า ตระกูลเสิ่นนั้นมิได้แยกแยะความสำคัญของบุตรจากภรรยาเอกกับอุนดังเช่นตระกูลเว่ยบ้านฝั่งมารดาเจ้า! แม้จะมีความแตกต่างกันในนาม แต่ในการคัดเลือกประมุขของตระกูล บุตรจากอนุก็มีโอกาสด้วย! ปรากฏว่าเจ้าสู้อุตส่าห์ดูแลบ้านเรือนมาอย่างยากลำบากหลายสิบปี สุดท้ายก็กลับเป็นไอ้พวกที่นังแพศยาให้กำเนิดมาเป็นคนดูแลบ้านเรือน ส่วนบุตรธิดาของเราเองกลับต้องมาคอยดูแลพวกนั้นฉันพี่น้อง…ถือดีอันใด?!”
“อีกประการนั่นก็มิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเราเอง แล้วจะให้มาภักดีกับเราจริงๆ ได้อย่างไร? แม้ภายหลังเจ้าจะเป็นแม่ใหญ่ แต่รอจนเมื่อคนเหล่านั้นกุมอำนาจยิ่งใหญ่เอาไว้ได้แล้ว คิดว่าจะตีตัวออกห่างจากมารดาแท้ๆ ของตนแล้วมาใกล้ชิดเจ้าอย่างจริงใจได้รึ?”
ท้ายสุดตวนมู่ซินเหมี่ยวสรุปว่า “เช่นนั้น หากวันนี้ยอมตัดใจจากกำไลอันนี้ เมื่อเจ้าไม่ชอบอนุคนใด ก็มอบกำไลนี้ให้ไป รับรองว่าเจ้าให้ไปคนหนึ่ง ก็ตายไปคนหนึ่ง! หากไม่ตายให้เจ้ากลับมาหาข้า! ทำเช่นนี้เหนื่อยคราเดียวสบายไปตลอดชาติ เป็นของดีที่สามารถกำจัดภัยตั้งแต่ต้นตอ ข้าจะบอกเจ้า หากมิใช่วันนี้เห็นว่าเจ้ามีวาสนา ข้าก็จะไม่ไปเรียกเจ้าไว้หรอก!”
“มีวาสนา?” เว่ยฉางอิ๋งถูกนางหว่านล้อมเสียจนหัวหมุนตาลายพลางพึมพำออกมา “เจ้าเห็นว่าข้ามีกำไลต่างหาก..”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยว่า “พูดส่งเดช ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ! ข้ารู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงสามีเจ้าถูกกำหนดให้เป็นประมุขตระกูลคนต่อไป วันหน้าเจ้าก็คือนายหญิงแห่งตระกูลเสิ่น อย่าได้หลงนึกไปว่ายามนี้เขาตีต่อเจ้า แล้วเจ้าก็จะสามารถอยู่เหนือความกังวลทั้งปวงได้! อนาคตของเขาดีออกเพียงนั้น คนที่คอยคิดหาหนทางมอบหญิงงามให้แก่เขาในวันหน้าจะมีน้อยคนรึ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาหน้าตาไม่เลวเลย เก่งทั้งบู๊บุ๋น เรื่องที่เขาเอาอกเอาใจเจ้าคนผู้อื่นย่อมมองเห็นอยู่ในสายตา ไม่แน่ว่าพอลับหลังเจ้า พวกผู้หญิงหน้าไม่อายเป็นโขยงก็พากันต่อแถวเข้ามาพลีกายให้เขาเสียอีก! เจ้าลองคิดดูให้ดี คนเหล่านั้น…”
“คุณหนูแปด!” นางหวงทิ้งให้คนอื่นๆ อยู่รอเป็นเพื่อนเสิ่นจั้งเฟิงที่หน้าประตูใหญ่ แล้วพาหลานย่าตัวน้อยย้อนกลับมาที่ข้างประตูวงพระจันทร์เพื่อเตรียมรอจังหวะลงมือ เวลานี้อดรนทนไม่ไหวจริงๆ จึงเดินออกมา แล้วเอ่ยเจ็บปวดเป็นที่สุด “เหตุใดท่านจึงนำคำพูดที่ข้าน้อยกล่าวเตือนสติท่านเมื่อคราก่อนมาใช้ประเหลาะฮูหยินน้อยของข้าน้อยเล่า? คราก่อนท่านกล่าวว่าชาตินี้ไม่คิดจะแต่งงาน และอยากจะไปอุ้มเด็กกำพร้าจากสถานรับเลี้ยงเด็กมาเลี้ยงจนเติบใหญ่ เพื่อภายภาคหน้าให้เขามาเลี้ยงดูท่านยามแก่ชรา ทั้งยังบอกว่าหากแต่งกับคนที่สูงศักดิ์กว่าภายหลังก็กลัวคนผู้นั้นจะเปลี่ยนใจ หากแต่งกับคนต่ำศักดิ์กว่าท่านเองก็ไม่ยินยอม… ข้าน้อยจึงได้เตือนสติท่านไปสองสามประโยค ยามนี้ท่านนำมารวบรัดตัดความ บิดเบือนไปมาแล้วนำมาล่อหลอกฮูหยินน้อยของเรา ช่างไม่จริงใจเอาเสียเลย!”
เว่ยฉางอิ๋งปล่อยตวนมู่ซินเหมี่ยว แล้วดึงเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อ รู้สึกแต่ว่าจี้ชวี่ปิ้งและตวนมู่ซินเหมี่ยวศิษย์อาจารย์คู่นี้ไม่มีที่ใดปกติเลย…
___________________________________