ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 28 งานเลี้ยงสุรา
ฮวายเฝยสาวใช้ข้างกายนางหลิวกำลังยืนรอคำตอบรับอยู่ที่ใต้ต้นทับทิมซึ่งเรียงรายกันอยู่ที่มุมประตู เมื่อเห็นนางหวงจึงรีบเดินเข้าไปรับสองก้าว “ท่านอาหวง ฮูหยินน้อยสามเล่า?”
นางหวงกล่าวกับนางด้วยท่าทีรู้สึกผิดปนจนใจว่า “บังเอิญจริงๆ วันนี้ฮูหยินน้อยของเราตื่นขึ้นมาก็ปวดหัวเล็กน้อย ยามนี้กำลังนอนพัก ก่อนคุณชายจะไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือก็กำชับว่าห้ามให้ผู้ใดไปรบกวนฮูหยินน้อย หาไม่แล้วเมื่อน้องสาวของฮูหยินน้อยใหญ่มา ฮูหยินน้อยก็เคยบอกไว้ว่าอยากจะไปพบสักหน”
ฮวายเฝยผิดหวังจนพูดไม่ออก ทว่านางหวงก็กล่าวเช่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่สบาย เสิ่นจั้งเฟิงกำชับว่าไม่ให้คนไปรบกวนภรรยา… ก็คงไม่อาจให้นางหวงไม่ฟังคำนายแล้วขืนปลุกเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมากระมัง?
เมื่อคิดถึงว่านางหลิวแสดงออกชัดเจนว่ามิได้เห็นเว่ยฉางอิ๋งเป็นคนนอก ทั้งยังบอกกับบ้านสามไปตรงๆ ว่าตนวางแผนจะทำร้ายหลิวรั่วเหยียน้องสาวร่วมตระกูล โดยใช้กลยุทธ์ลอบตีเฉินชาง[1]อย่างแท้จริง…ด้วยหวังจะยุยงเว่ยฉางอิ๋งให้เป็นปรปักษ์กับหลิวรั่วเหยียแม่ลูก… ยามนี้หากเว่ยฉางอิ๋งไม่ไปแล้ว แผนการของนางหลิวจะสำเร็จได้อย่างไร? ฮวายเฝยกลัดกลุ้มอยู่ในใจ แต่ก็คิดวิธีใดไม่ออก จึงทำได้เพียงลอบถอนหายใจ กำลังจะเอ่ยลานางหวง ไม่คิดว่าพลันมีร่างคนปรากฏขึ้นมาที่หลังต้นทับทิม จูเสียนสาวใช้ตัวน้อยยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามา จนมาใกล้ๆ แล้วมองไปยังฮวายเฝยหนหนึ่ง แล้วกล่าวกับนางหวงไปอย่างคลุมเครือว่า “ฮูหยินน้อยเรียกหาคนไปปรนนิบัติเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินน้อยตื่นแล้วหรือ?” นางหวงเข้าใจแล้วพยักหน้าเบาๆ
ฮวายเฝยจึงยินดียิ่ง รีบกล่าวว่า “ท่านอาหวง ท่านโปรดดู…”
“แม่นางฮวายเฝยโปรดรอสักครู่ ข้าจักเข้าไปบอกฮูหยินน้อย” นางหวงยิ้มพลางว่า “บางทีฮูหยินน้อยนอนพักสักพักก็ไม่ปวดหัวแล้ว” แล้วหันไปกำชับจูเสียนให้ไปนั่งเป็นเพื่อนฮวายเฝยที่ข้างระเบียงทางเดินสักพัก และให้บ่าวที่เดินผ่านมาเก็บผลไม้มาต้อนรับนาง
ฮวายเฝยไม่มีแก่ใจจะมาทานผลไม้ใด จึงบอกปัดจูเสียนไปสองสามประโยคแล้วชะเง้อคอยาวจับจ้องไปข้างหน้า พักใหญ่เต็มๆ ฮวายเฝยสงสัยว่าหรือเพราะฮูหยินน้อยสามมองแผนการของนางหลิวออกจึงจงใจแกล้งตน… หาไม่แล้วเหตุใดจูเสียนจึงมาอย่างปัจจุบันทันด่วนเพียงนี่? ในขณะที่กำลังกระวนกระวายใจอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงเอะอะมาจากข้างหลังประตูโค้งวงพระจันทร์ ที่สุดก็เห็นพวกของนางหวงห้อมล้อมตัวเว่ยฉางอิ๋งเดินออก
นางโล่งอก พยายามเค้นรอยยิ้มออกมาและเข้าไปต้อนรับ…
เมื่อเข้าไปคำนับตรงหน้า จึงลอบมองนางหนหนึ่ง แอบคิดสงสัยในใจว่าเหตุใดต้องรอถึงครึ่งค่อนชั่วยามฮูหยินน้อยสามผู้นี้จึงเพิ่งออกมา เว่ยฉางอิ๋งสวมชุดส้างหรูแขนกว้างผ่าหน้าสีน้ำทะเลลายกิ่งก้านใบและดอกไห่ถัง ตรงกลางของเสื้อส้างหรูเผยให้เห็นเสื้อเกาะอกผ้าไหมทอลายสีแดงทับทิมสีสดสะดุดตา บนเสื้อเกาะอกปักภาพนกเป็ดน้ำลงเล่นน้ำและดอกบัวดูสมจริงมีชีวิตชีวา เอวคาดแถมผ้าไหมห้าสี ท่อนล่างสวมกระโปรงแพรทรงพุ่ม บนกระโปรงเต็มไปด้วยลายของดอกไม้และนกกระพือปีก ยามขยับก้าวเท้าคล้ายพวกมันจะมีชีวิตขึ้นมา
อาภรณ์ทั้งตัวนี้ นับแต่เว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านมายังมิเคยเห็นนางสวมใส่มาก่อน เห็นชัดว่าตั้งใจเลือกออกมาเพื่อใช้ไปพบปะกับหลิวรั่วเหยียโดยเฉพาะ อย่างไรเสียนางก็เข้าบ้านมาแล้ว หากต้องการจะมาประกาศตัวอวดอ้างต่อหน้าหญิงสาวที่หมายปองสามีของตน แต่กลับไม่ต้องการจะให้ดูจงใจจนเกินไปจนดูเสียกริยาและฐานะ ดังนั้นผมดำขลับของนางจึงเพียงเกล้าผมเป็นมวยไว้กลางหัวแบบง่ายๆ และนอกจากปิ่นสองอันก็มิได้มีเครื่องประดับใดอื่นอีก
เพียงแต่ว่า…
ฮวายเฝยแอบมองปิ่นหยกสีเลือดสดจัดจ้านคู่นั้นหนหนึ่ง คิดในใจว่า ปิ่นนี้ช่างคุ้นตานัก นี่มิใช่ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ที่เป็นสินติดตัวของฮูหยินซูแต่ครั้งก่อนคู่นั้นหรอกหรือ? ด้วยเหตุที่ฮูหยินซูได้มอบปิ่นคู่นี้ให้แก่เว่ยฉางอิ๋งซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แต่งเข้าบ้าน นางหลิวซึ่งเห็นว่าตนเป็นสะใภ้ใหญ่และควรได้รับปิ่นคู่นี้มากกว่า ครั้งนั้นนางจึงมีท่าทีสลดลงทันใดยามอยู่ต่อหน้าสามี เมื่อกลับมาที่บ้านใหญ่ก็ปิดประตูและระบายอารมณ์ออกมาขนานใหญ่!
ครานั้นแม้แต่ฮวายเฝยซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทเพียงนี้ยังพาลถูกหางเลขไปด้วย นางจึงจดจำได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้แต่งหน้าทาแป้งแต่อย่างใด เพียงเขียนคิ้วอ่อนๆ ทว่าสองแก้มกลับมีเลือดฝาดตามธรรมชาติ ดูแดงเปล่งปลั่งน่ารัก ยามชม้ายปรายตาก็ดูงดงามมีราศีไปทั้งตัว ที่ตีนผมคล้ายยังเปียกชื้นอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเพื่อการพบปะหนนี้ นางยังอาศัยเวลาน้อยนิดรีบไปอาบน้ำมาอีกด้วย…
ท่าทีของเว่ยฉางอิ๋งดูไม่ได้ยินดียินร้าย คล้ายเห็นว่าการไปเรือนซินอี๋ครานี้ก็เป็นเพียงการไปพบปะน้องสาวร่วมตระกูลของพี่สะใภ้ใหญ่สักหน่อยเท่านั้น แต่ความจริงแล้วนางกลับกำลังขบคิดจนหัวแทบแตกว่าจะแสดงแสนยานุภาพต่อหลิวรั่วเหยียเช่นใดดี… ฮวายเฝยอดจะแอบยิ้มในใจไม่ได้ ดูไปแล้วฮูหยินน้อยสามผู้นี้ก็มิใช่คนที่จะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้ความคิดอ่านของคุณหนูสิบเอ็ดอยู่แล้ว วันนี้หากคุณหนูสิบเอ็ดเผยท่าทีชัดเจนสักหน่อย เกรงว่าทั้งสองคนคงจะทะเลาะกันขึ้นมาในทันใด…
สำหรับฮวายเฝยแล้วเรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องดี ความจริงลึกๆ และเป้าหมายที่แท้จริงของนางหลิวก็มิใช่ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันหรอกหรือ?
เมื่อไปถึงเรือนซินอี๋ เพิ่งจะเข้ามาในลานบ้านยังมิทันได้เข้าไปในตัวอาคาร ก็ได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงมาจากภายใน ทั้งยังได้กลิ่นหอมของสุราโชยมาอ่อนๆ… เว่ยฉางอิ๋งจึงย่างก้าวให้ช้าลง แล้วว่า “นี่คือ…?”
“ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่านานๆ คุณหนูสิบเอ็ดจะมาสักหน จึงได้ตระเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ ไว้ต้อนรับเจ้าค่ะ” ฮวายเฝยก้มหัวพลางกล่าวเสียงเบา
เว่ยฉางอิ๋งร้องอุ๊ออกมาหนหนึ่ง แล้วพลันรู้สึกว่าถูกนางหวงถองศอกใส่เบาๆ ครั้งหนึ่ง… นางจึงค่อยๆ ขบคิดก็รู้ว่ามีเรื่องใดไม่ถูกต้อง แม่เฒ่าเติ้งกำลังป่วยอยู่นี่ วันนี้ นอกจากเสิ่นจั้งเฟิงที่สองสามวันก่อนกระตือรื้อรนเกินไปจนเกือบเป็นการบังคับให้รุ่นหลานทั้งหมดของตระกูลซูต้องมาคอยเฝ้าอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าเติ้งทั้งวันแล้ว บรรดาหลานฝั่งบุตรสาวล้วนไปเยี่ยมที่จวนตระกูลซูจนหมด
แม้ฮูหยินซูจะเป็นคนสั่งเองว่าให้บรรดาสะใภ้คอยเฝ้าอยู่ที่บ้านไม่ต้องไปคอยช่วยดูแล แต่กลางวันแสกๆ มาจัดเลี้ยงสุราในบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือนของน้องสาวคนหนึ่ง…นี่ก็ไม่สมควรเกินไปแล้วกระมัง? หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เมื่อฮูหยินซูกลับมาแล้วไม่ค่อนแคะนางหลิวก็แปลกแล้ว!
นางหลิวได้รับความไว้ใจและชื่นชอบจากฮูหยินซูเสมอมา เรื่องนี้สามารถแอบมองได้จากที่ครานั้นฮูหยินซูเรียกขานนางว่า ‘อี๋เอ๋อร์’ แต่กลับเรียกนางตวนมู่ว่า ‘เยี่ยนอวี๋’… ซึ่งชื่อเต็มของนางหลิวก็คือรั่วอี๋
ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ฮูหยินซูคอยเฝ้ามารดาอยู่ที่บ้านเดิมของตน เรื่องต่างๆ ในบ้านล้วนไหว้วานให้นางหลิวเป็นคนจัดการทั้งหมด ว่ากันตามจริงแล้วนางหลิวซึ่งได้รับความชื่นชมจากฮูหยินซูถึงเพียงนี้ไม่น่าจะทำความผิดที่ชัดแจนและล่วงเกินแม่สามีเช่นนี้…
เว่ยฉางอิ๋งเดินเข้าไปด้วยความระแวง และพบว่าในบ้านมีการจัดงานเลี้ยงจริงดังว่า นางหลิวและหลิวรั่วอวี้กำลังนั่งในที่นั่งหลักและที่นั่งแขก ที่นั่งตรงข้ามกับหลิวรั่วอวี้มีจอกเงินวางเรียงอยู่ แต่นี่นั่งกลับว่างเปล่า
เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งมา นางหลิวพี่น้องก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มแล้วบอกว่าพวกนางเกรงใจเกินไป “ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น และหาใช่ว่าไม่เคยพบกันมาก่อน ไยต้องถือเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้?” เพราะไม่เห็นหลิวรั่วเหยียซึ่งพวกนางจะมาต้อนรับในวันนี้ นางจึงหันซ้ายหันขวาพลางถามไปว่า “น้องสิบเอ็ดของพี่สะใภ้ใหญ่เล่าเจ้าคะ? มิใช่บอกว่านางมาแล้วและอยากจะพบข้า? ยามนี้ข้ามาแล้ว คงมิใช่ว่าวันนี้ข้าปวดหัว เมื่อครู่ไปงีบสักพักจนมาล่าช้า และนางกลับไปเสียแล้วนะเจ้าคะ? โธ่ เป็นข้าไม่ดีเอง”
นางหลิวรีบกล่าวว่า “น้องสะใภ้สามปวดหัว? เป็นสิ่งใดมากหรือไม่?”
หลิวรั่วอวี้ก็สอบถามตามไปด้วย
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ “คงเพราะเมื่อคืนข้าสระผม ยามเช็ดผิดมิได้ปิดหน้าต่างจึงโดนลมโกรกทั้งคืน ได้นอนพักทั้งก่อนและหลังเที่ยงสักพักหนึ่ง ยามนี้ดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่คล้ายจะมาไม่ทันคุณหนูสิบเอ็ดเสียแล้ว…”
“น้องสะใภ้สามเจ้าก็ช่างไม่ระวังเสียเลย ยามนี้แม้จะเข้าฤดูร้อนแล้ว แต่ลมยามกลางคืนก็ยังเย็นอยู่ดี ต่อไปต้องระวังสักหน่อยนะ อย่างไรเสียสุขภาพของตนย่อมสำคัญกว่าสิ่งใด อย่างได้หลงคิดว่ายังสาวและไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เล่า!” นางหลิวจึงได้ยิ้มออกมาคล้ายคลายความกังวลลง แล้วตำหนินางไปอย่างอบอุ่น แล้วว่า “รั่วเหยียยังไม่ได้กลับ งานเลี้ยงของพวกเราที่นี้ก็ยังไม่ทันกินกันเสร็จ… เมื่อครู่นี้นางไม่ระวังทำเสื้อผ้าสกปรก จึงเข้าไปเปลี่ยนอยู่ข้างหลังต่างหาก!”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เว่ยฉางอิ๋งโล่งใจ แล้วมองตาขวางไปทางนางหวงที่อยู่ข้างๆ “จะว่าไปต้องโทษท่านอาหวง ทั้งที่ฮวายเฝยมาแล้วก็ไม่ยอมไปปลุกข้า ทำเอาเขาตื่นนอนแล้วจึงรู้เรื่องนี้! ทำให้คุณหนูสิบเอ็ดเสียเวลาแล้วจริงๆ อีกประเดี๋ยวพี่สะใภ้คงต้องช่วยข้าพูดสักหน่อยนะเจ้าคะ หาไม่แล้วคุณหนูสิบเอ็ดจะนึกว่าข้าจงใจวางท่าให้มาสายๆ เอาได้!”
นางหวงยิ้มอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยจะตำหนิข้าน้อยไม่ได้นะเจ้าคะ เป็นคุณชายกำชับมาด้วยตนเองว่าห้ามไปรบกวนยามฮูหยินน้อยพักผ่อน แม้แต่คุณชายจะอ่านหนังสือยังตั้งใจหลบไปอ่านในห้องหนังสือเล็กเลยเจ้าค่ะ เพื่อมิให้มีเสียงพลิกเปิดหนังสือและไปรบกวนฮูหยินน้อยเอาได้…พวกเข้าน้อยมีหรือจะกล้าไม่ฟังคำคุณชาย?”
เว่ยฉางอิ๋งรอจนนางพูดจบจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ท่านอา ท่านพูดส่งเดชสิ่งใดกันเล่า! ทั้งที่จริงๆ แล้ว…” พูดถึงตรงนี้ใบหน้าของนางก็แดงขึ้นมาน้อยๆ แล้วพึมพำว่า “ไม่พูดกับท่านแล้ว!”
นางหลิวยิ้มออกมาอย่างรู้อยู่ในที “จริงด้วย ไม่พูดแล้ว เรื่องที่น้องสามรักใคร่น้องสะใภ้สามก็มิใช่เรื่องใหม่ใดๆ พวกเรามีผู้ใดไม่รู้กันเล่า?”
“พี่สะใภ้ใหญ่!” เว่ยฉางอิ๋งมองค้อนนางหนหนึ่ง แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทั้งหน้าแดงก่ำ “ข้ามาเยี่ยมเยือนน้องรั่วอวี้และคุณหนูสิบเอ็ดนะเจ้าคะ พี่สะใภ้ใหญ่อย่าพูดนอกเรื่องสิเจ้าคะ!”
นางหลิวหัวเราะพลางเชิญนางเข้าที่นั่ง มีถ้วยเงินและตะเกียบเงินสะอาดสะอ้านที่สาวใช้ผู้คล่องแคล้วน้ำออกมาจัดวางไว้นานแล้ว นางทำสัญญาณมือให้เงียบเสียง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านยายกำลังป่วยอยู่ เดิมทีไม่ควรดื่มสุรา เพียงแต่คราวก่อนรั่วเหยียเคยเอ่ยถึงสุราลิ้นจี่เขียว หนนี้จึงนำมาต้อนรับไหหนึ่ง สุรานี้ดื่มแล้วไม่เมา แต่อย่างไรก็ยังเป็นสุราอยู่ดี… น้องสะใภ้สามอย่าได้เอ่ยออกไปเชียว!”
ก่อนนี้แม้แต่เรื่องที่นางวางแผนทำร้ายน้องสาวร่วมตระกูลของตนก็ยังนำมาบอกแก่นางหวง ยามนี้พูดเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเกินคาดกระไรมากมาย แต่กลับเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจยิ่งอย่างหนึ่ง
หลิวรั่วอวี้อมยิ้มนั่งฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่ในใจ หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่มีวันเห็นชอบให้พี่สาวร่วมตระกูลทำเช่นนี้… ด้วยนิสัยอ่อนแอของนางแต่ไรมา แม้จะถูกข่มเหงรังแกอยู่ในกำมือของแม่เลี้ยงมาตลอดหลายปีนี้ แต่ล้วนไม่เคยมีความคิดจะตอบโต้เลยสักหน… นิสัยที่แท้จริงของนางนั้นไม่กล้าไปทำร้ายใคร หรือไปตำหนิคนที่ไปทำร้ายผู้อื่น แต่นั่นก็เพราะนางยังพอมีความหวังว่าการแต่งงานออกไปจะเป็นทางออกของตน ยามนี้แม้แต่อนาคตที่ตนจะได้แต่งงานและมีบุตรก็ถูกวางแผนจัดการไปด้วยจนหมด แม้แต่ทางให้มีชีวิตรอดสักน้อยนางจางก็ไม่ยอมละเว้นให้นาง หากนางยังไม่ยอมตอบโต้ ไม่ยอมเรียนรู้สักหน่อยแล้ววันหน้าจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ?
ยามคนถูกบีบบังคับจนอับจนหนทาง ย่อมสามารถทำเรื่องที่ยามปกติจะคิดก็ยังไม่กล้าคิดถึง
ดังนั้นครานี้ ต่อให้นางรู้สึกผิดต่อเว่ยฉางอิ๋งทั้งนายบ่าวอยู่เต็มอก นางก็จะไม่ส่งเสียง… พี่สาวร่วมตระกูลบอกไว้แล้วว่า แม้แต่คนซึ่งร่างกายอ่อนแอมาแต่ไรเช่นนางนี้ ทั้งยังถูกพิษที่มีฤทธิ์เย็นมาหลายเดือนยังได้รับยาถอนพิษที่รักษาได้จนหายขาดมาจากท่านหมอเทวดาจี้ ประสาอะไรกับเว่ยฉางอิ๋ง? ฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นผู้นี้มีนางหวงคอยดูอยู่ข้างกาย จักต้องไม่ดื่มสุราที่มีปัญหาแน่นอน หรือต่อให้ดื่มไปแล้วนางหวงก็ยังสามารถช่วยนางได้ ดังนั้นนางจะไม่เป็นไร… ดังนั้นอย่างมากวันนี้ก็นับว่าเป็นเพียงการจงใจวางแผนใช้งานเว่ยฉางอิ๋ง แต่มิใช่ทำร้ายนาง…เมื่อคิดได้ดังนี้ นางจึงพอสบายใจขึ้นมาได้บ้าง…
เพียงแต่ แม้หลิวรั่วอวี้จะคิดว่าตนพยายามให้ความร่วมมือนางหลิวอย่างสุดความสามารถแล้วและพยายามทำทีคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ในสายตาของพวกนางหลิวแล้วยังคงมองออกว่านางนั่งไม่เป็นสุขและดูร้อนรน นางหลิวเป็นกังวลว่าเมื่อหลิวรั่วเหยียกลับมาจะระแวงนาง จึงกล่าวอย่างราบเรียบว่า “รั่วอวี้เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วกระมัง? หากรู้สึกว่าสู้ฤทธิ์สุราไม่ไหวก็ไปนอนพักสักหน่อยเถิด… พี่เว่ยของเจ้าก็หาใช่คนอื่นไกล ไม่ถือสาเจ้าหรอก”
ว่าพลางส่งสายตาที่เป็นที่รู้กันไปหาเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าคงเป็นนางหลิวตัดสินใจจะลงมือแล้ว จึงทำให้หลิวรั่วอวี้ซึ่งหวาดกลัวแม่เลี้ยงและน้องสาวมาจนเคยชินรู้สึกกระวนกระวายยิ่ง ด้วยเกรงว่าหลิวรั่วอวี้จะมีพิรุธและทำให้เสียการ นางจึงพยักหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ หากน้องรั่วอวี้เหนื่อยแล้วก็ไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด ร่างกายของเจ้าก็อ่อนแออยู่แล้ว”
หลิวรั่วอวี้กลัวว่ายามนางมองเว่ยฉางอิ๋งจะมีพิรุธออกมาจึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวไปประโยคหนึ่งอย่างร้อนรนว่า “เข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอตัวไปก่อนนะเจ้าคะ… พี่เจ็ด พี่เว่ย โปรดอย่างถือโทษเจ้าค่ะ!”
เมื่อมองนางเดินโซเซจากไป เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าหลิวรั่วเหยียยังไม่กลับมา จึงเอ่ยกับนางหลิวอย่างมีนัยยะว่า “น้องรั่วอวี้ร่างกายอ่อนแอจริงๆ จึงทนฤทธิ์สุราไม่ไหว” เดิมทีนางยังหวังจะได้เห็นหลิวรั่วอวี้ปะทะกับหลิวรั่วเหยียเชียว ปรากฏว่าคุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นี้กลับใช้การไม่ได้จริงๆ ดีที่ยามนี้หลิวรั่วเหยียไม่อยู่ หาไม่แล้วอย่างไรก็ต้องรู้สึกสงสัยนางขึ้นมา
หากหลิวรั่วอวี้ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ายาที่นางหวงไปขอมาจากจี้ชวี่ปิ้งก็คงจะเสียเปล่าแล้ว
นางหลิวยิ้มหนสองหน กล่าวว่า “ก็มิใช่รึ? ต้องรู้เสียก่อนว่าวันนี้นางเพิ่งจะดื่มไปสองจอก”
…เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ คิดในใจว่าดีที่หลิวรั่วอวี้ยังมีพี่สาวร่วมสกุล ดูท่าทีเรียบเฉยผ่อนคลายที่นางหลิวเป็นในยามนี้ เหมือนกับคนที่กำลังจะลงมือกับน้องสาวร่วมตระกูลที่ใดกัน?
ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน ที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากหลังฉากกั้นลม พร้อมกับเสียงเครื่องประดับกระทบกันดังติงตัง สาวใช้ในชุดหลายหลากสีกลุ่มหนึ่งกำลังเดินออกมาพร้อมกับเด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง
__________________________________
[1] กลยุทธ์ลอบตีเฉินชาง เป็นกลยุทธ์หนึ่งในสามก๊ก โดยการหลอกเข้าโจมตีศัตรูซึ่งหน้า แล้วลอบเข้าโจมตีในพื้นที่ที่ศัตรูไม่ทันระวัง