ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 761 ความแตกต่าง (1)
บทที่ 761 ความแตกต่าง (1)
มารดาแห่งความเจ็บปวดช้อนตาขึ้นมองลู่เซิ่ง
“มารสวรรค์มายาพิศวงหรือ…ดูเหมือนเจ้าจะเป็นจักรพรรดิมารชุ่นอิ่งที่เพิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นในช่วงนี้สินะ” น้ำเสียงนางไร้การสั่นไหว เหมือนกับนางคาดคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
ลู่เซิ่งหัวเราะก่อนจะกระโดดลงจากซากปรักหักพังอย่างแผ่วเบา
“ความสามารถน้อยนิดของผู้เยาว์ไม่นับเป็นอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส”
“อะไรกัน เจ้าคิดจะลงมือกับข้าอีกหรือ” มารดาแห่งความเจ็บปวดเยาะเย้ยผ่านทางดวงตา “อาศัยพลังขอบเขตวัฏจักรลวงของเจ้านั่นน่ะหรือ”
ลู่เซิ่งส่ายหน้า “ต่อหน้าผู้ปกครองอนธการ ผู้เยาว์ย่อมไม่กล้าพูดถึงเรื่องแพ้เรื่องชนะ แต่ถ้าไม่กล้าลงมือหยั่งเชิง ก็เสียทีที่ข้ารั้งอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้แล้ว…”
มารดาแห่งความเจ็บปวดไม่พูดอะไร หากบอกว่าก่อนหน้านี้นางยังดูแคลนลู่เซิ่งอยู่บ้าง ตอนนี้ หลังจากอีกฝ่ายสังหารมายาพิศวงซึ่งเป็นขอบเขตเดียวกันอย่างง่ายดาย นางค่อยให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
“กระบวนท่าทลายอัสสนี ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะด้วย” ลู่เซิ่งยื่นมือออกไป ดาบสีเหลืองอ่อนที่เรียวยาวเล่มหนึ่งพลันจับตัวขึ้นกลางฝ่ามือของเขาโดยอัตโนมัติ
ความปรวนแปรเหมือนกับตอนที่ร่างแยกลงมือเมื่อครู่ค่อยๆ กระจายออกมา
“ถ้ายังเป็นอานุภาพอย่างเมื่อครู่ล่ะก็ ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าเสียเวลาจะดีกว่า” มารดาแห่งความเจ็บปวดเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ลองดูเถิด” ลู่เซิ่งฉีกยิ้มและขยายร่างอย่างรวดเร็ว
กล้ามเนื้อนับไม่ถ้วนนูนขึ้นบนร่าง กลายเป็นตุ่มที่เหมือนกับเนื้องอก เนื้องอกขยายใหญ่และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตัวเขาขยายขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า สามเท่า และสิบเท่า
ผ่านไปสองสามอึดใจ ร่างกายของลู่เซิ่งก็สูงกว่าเดิมสิบหมี่ ทั้งยังกำลังเติบโตด้วยความเร็วสูง
สิบหมี่! ยี่สิบหมี่! สามสิบหมี่!
หนึ่งร้อยหมี่! ห้าร้อยหมี่! หนึ่งพันหมี่!
พอขยายถึงหนึ่งพันหมี่ ดาบโค้งในมือของเขาก็ขยายตัวจนมีสัดส่วนและขนาดเทียบเท่ากัน
เวลานี้ร่างกายของลู่เซิ่งบวมพองถึงขีดสุด ใบหน้าสามข้างมีเขี้ยวงอคมกริบสีดำสนิท ยื่นออกมาจากแก้มเหมือนกับหมวกเกราะ
แขนสิบกว่าคู่ยื่นมือออกมา ดาบโค้งสีดำที่มีพลังด้อยกว่าเดิมเล็กน้อยจับตัวขึ้นกลางฝ่ามือ
ร่างกายของเขาเหมือนกับมนุษย์ครึ่งม้าเล็กน้อย กีบสี่ข้างด้านล่างหยาบใหญ่ทรงพลัง กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งส่วนหางขยับไปมาช้าๆ ส่วนปลายหางมีปากซึ่งมีฟันเลื่อยที่กำลังอ้าหุบอย่างดุร้ายติดอยู่ด้วย
ผิวคลุมด้วยเกล็ดสีดำหนาหนัก
“เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เข้มแข็งอนธการ ข้าจะใช้พลังทั้งหมดของร่างหลัก หวังว่าท่านจะไม่ยั้งมือ” ลู่เซิ่งก้มหน้าให้มารดาแห่งความเจ็บปวดอย่างนอบน้อม
เสียงของเขาในตอนนี้ทำให้ทุกๆ คำพูดเหมือนกับคำรามต่ำๆ
ตอนนี้มารดาแห่งความเจ็บปวดที่สูงสิบกว่าหมี่มีขนาดเท่ามด ดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย หากไม่สังเกตให้ดีอาจจะถูกมองข้ามได้
มารดาแห่งความเจ็บปวดจุกในลำคอพูดอะไรไม่ออก
อีกฝ่ายเป็นมารสวรรค์มายาพิศวงกระมัง แต่ว่าคลื่นพลังที่แข็งแกร่งกว่ามายาพิศวงระดับวัฏจักรลวงที่ธรรมดาสายนี้คืออะไรกันแน่
“รับกระบวนท่าของข้าซะ ทำลายล้างชั่วพริบตา ทลายอัสสนี!”
ลู่เซิ่งชูดาบยักษ์ขึ้น ลมแรงที่เหมือนกับจับต้องได้ระเบิดออกมาบนร่างอย่างฉับพลัน
ฟ้าว! คมดาบหายไป
มารดาแห่งความเจ็บปวดยกมือขึ้น
ตูม!
ผืนดินยุบตัว พื้นดินในอาณาเขตหลายพันลี้จมลงหลายหมี่ในทันที!
ปราณปฐพีสีเหลืองอ่อนทะลักไปหักล้างกับควันสีเทาอมดำสายหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง พลังทำลายล้างอันน่ากลัวจากการหักล้างกันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวคนทั้งสองรวมถึงมิติเวลาเริ่มแตกละเอียด
รอยแตกสีดำที่เหมือนกับใยแมงมุมหลายกลุ่มเริ่มจะกระจายไปรอบๆ ตัวคนทั้งสอง
มารดาแห่งความเจ็บปวดใช้มือหนึ่งค้ำยันดาบยักษ์สีเหลืองขนาดหลายร้อยหมี่เอาไว้ ม่านตานางหดตัวเล็กน้อยขณะสัมผัสพลังที่ส่งมาจากด้านบน
“เจ้า…มีคุณสมบัติให้ข้าจดจำชื่อของเจ้า…”
นางพลันยกมือขึ้น พลังกายเนื้อที่เหี้ยมหาญสุดเปรียบปานกระแทกดาบยักษ์จนแหลกละเอียดทันที
“ความเจ็บปวดแห่งความว่างเปล่า” มารดาแห่งความเจ็บปวดเงยหน้าขึ้น ดวงตาขนาดใหญ่หมุนวนรอบหนึ่งแล้วจับจ้องที่ทรวงอกของลู่เซิ่ง สีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งปรากฏแวบในส่วนลึกของม่านตา
อ๊าก!
ด้านหน้าลู่เซิ่งมืดมิด ร่างยักษ์เหมือนกับโดนการโจมตีที่มองไม่เห็นกระแทกใส่ ร่างกายเริ่มเน่าเปื่อยและกลายเป็นสีดำด้วยความเร็วสูงโดยเริ่มจากหน้าอก
เปรี้ยง!
ร่างกายเขาระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ก้อนเนื้อจำนวนมากลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีดำกลางอากาศ ก่อนจะหายไปในพริบตา
มารดาแห่งความเจ็บปวดมองเหตุการณ์นี้อย่างสงบนิ่ง ก่อนจะหันไปมองด้านหลัง
เห็นกลางเมืองเล็กๆ ด้านหลังนางมีร่องแยกขนาดยักษ์ที่กว้างสิบกว่าหมี่และไม่ทราบว่าลึกขนาดไหน แผ่ขยายไปสุดสายตา
“ไปเถิด” นางละสายตากลับมา แล้วก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่ง พาข้ารับใช้หายไปจากที่เดิม
…
ฟิ้ว…
ลู่เซิ่งถอนใจยาวและมองสวีฮ่าวไป่ที่กำลังสู้กับคนอื่นต่อ
ผู้ที่สู้กับรองเจ้าสำนักสวีเป็นอมนุษย์คอยาวสวมเสื้อคลุมสีเทา คนผู้นี้ถือดาบยาวสีดำที่เรียวเหมือนหนามแหลมไว้เล่มหนึ่ง รวดเร็วจนน่าตกใจ แทบจะมีประกายดาบหลายพันสายแวบขึ้นในชั่วกะพริบตา
สวีฮ่าวไป่รักษาแดนจุติรอบตัวไว้ ใช้มันบีบอัดสนามพลังทั่วร่างออกไปรอบๆ เพื่อสร้างกระบี่บินสีเงินสามเล่ม บวกกับกระบี่คู่ในมือ ประกายกระบี่ปะทะกับการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่วว่องไวด้วยความเร็วสูง
แดนจุติของทั้งสองปะทะและเสียดสีกันเอง ดีที่แดนจุติของสวีฮ่าวไป่สมบูรณ์กว่า จึงเป็นฝ่ายมีเปรียบ และทำให้แรงกดดันที่เขาเจอน้อยลงบางส่วน อยู่ในสภาวะที่ได้เปรียบกว่า
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงไม่รีบลงมือช่วยเหลือ
ก้อนเนื้อที่เขาใช้คืนชีพยังเปราะบางมาก ต้องใช้เวลาเพิ่มความแข็งแกร่งและความเสถียร
“สมกับเป็นอนธการ…โดนฆ่าในพริบตาเลย ร้ายกาจจริงๆ” ลู่เซิ่งทอดถอนใจ
ตอนนี้ก้อนเนื้อที่ต่อสู้กับมารดาแห่งความเจ็บปวดเมื่อครู่ไม่เหลือแม้แต่อนุภาค ถูกทำลายไปหมดสิ้น
ร่างกายร่างนี้ของเขาอาศัยเศษเนื้อที่เกาะติดตัวสวีฮ่าวไป่จึงค่อยคืนชีพขึ้นได้
หากแต่พลังของท่าทลายอัสสนีของเขาก่อนหน้านี้กระจายออกมา จะกล่าวได้ว่าเป็นอานุภาพที่ทำลายดาวเคราะห์ได้จริงๆ
ทว่าเมื่อพลังที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ต่อหน้ามารดาแห่งความเจ็บปวด นางแค่ยกมือขึ้นก็แก้ไขได้แล้ว
ปราณปฐพีสำหรับทำลายล้างที่บรรจุในประกายดาบของเขา กลายเป็นความร้อนและพลังงานที่มีคุณสมบัติหล่อเลี้ยงภายใต้การปัดป้องนั้น ไม่มีการกระจายตัวของพลังทำลายล้างแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นปราณชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่ใช้หล่อเลี้ยงและฟื้นคืนดาวเคราะห์แทน
ดาบยักษ์เพียงทิ้งพลังกระแทกทางกายภาพไว้บนพื้น กลายเป็นร่องแยกที่ไม่นับว่าอลังการสายหนึ่ง
‘นี่คืออนธการงั้นหรือ เปลี่ยนพลังแห่งความเป็นความตายสินะ’ ลู่เซิ่งมองไปทางสวีฮ่าวไป่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป พลันก้าวออกไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง ดาบยาวสีเหลืองจับตัวขึ้นในมือ จากนั้นก็ฟันใส่บุรุษอาภรณ์เทาคอยาวด้วยท่าคร่าวิญญาณดุจสายฟ้าแลบ
บุรุษอาภรณ์เทากำลังปะทะกระบวนท่ากับสวีฮ่าวไปดุจฟ้าคำรนฝนคำราม พอเจอการโจมตีนี้ ก็ตกใจจนตัวเกร็ง ก่อนจะกระโดดหนีไปด้านหลังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยและหายไปกลางอากาศทันที
ลู่เซิ่งกับสวีฮ่าวไป่คิดจะไล่ตาม แต่กลับสัมผัสร่องรอยของอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย
“ช่างเถอะ ถอยก่อน แผนการเปลี่ยนแปลงแล้ว มารดาแห่งความเจ็บปวดลงมือด้วยตัวเอง พวกเราล่าถอยได้อย่างปลอดภัยถือว่าไม่เลวแล้ว!” ลู่เซิ่งหยุดสวีฮ่าวไป่ที่คิดไล่ล่าต่อไว้ แล้วกล่าวอย่างรวดเร็ว
“รับทราบ!”
ทั้งสองกลายเป็นลำแสงหายไปจากที่เดิมในพริบตา
ไม่นานนักทั้งสองก็ขับไล่ยักษ์มาจากน้ำสีดำที่สู้กับเฉิงฮวนอยู่ให้ถอยกลับไปได้ด้วยการผนึกกำลังกัน จากนั้นขณะที่ทั้งสามกำลังจะไปยังตำแหน่งของพวกเยวี่ยหรูหล่งนั้น
พรึ่บ
“แย่แล้ว!” พอเห็นอักขระแถวนี้ ใบหน้าของเฉิงฮวนก็แปรเปลี่ยน สายตาฉายแววปวดร้าว
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
คนที่เหลือพลันงุนงง
“ผู้อาวุโสเยวี่ย…เสียชีวิตแล้ว!” เฉิงฮวนหลับตากล่าวอย่างเจ็บปวด
เขารู้จักกับเยวี่ยหรูหล่งมาหลายพันปี พอได้ยินข่าวร้ายอย่างกะทันหัน จิตใจก็ดั่งถูกมีดกรีดเฉือน
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวเสียใจ รีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเถิด” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงขรึม “ไม่รู้ว่าทางมารดาแห่งความเจ็บปวดพบร่องรอยของพวกเราได้อย่างไร ดีที่ข้าจัดการมายาพิศวงที่มีชื่อว่าอสูรเจ็ดวิญญาณไปก่อนนางจะลงมือ ไม่อย่างนั้นได้เกิดปัญหาจริงๆ แน่!”
“เตรียมหนีเถอะ หากช้ากว่านี้จะไม่ทันกาลเอา!” สวีฮ่าวไป่เร่ง
“พวกท่านไปกันก่อน ทำตามแผนเดิม!” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก “ดีที่พวกมันไม่น่าจะพบแผนการลับอีกอย่างของข้า พวกเราซุ่มโจมตีล้มเหลว แผนการของพวกมันก็หมดประโยชน์เช่นกัน”
คนอื่นๆ ไม่เข้าใจสาเหตุจึงพากันมองเขา
“เดี๋ยวกลับไปก็รู้เอง ถอยก่อน” ลู่เซิ่งกระโจนขึ้นฟ้า ลอยเข้าหาร่องแยกสีแดงขนาดยักษ์กลางอากาศ
ลู่เซิ่งย่อมไม่บอกว่า ในพริบตาที่ประตูโลกแห่งความเจ็บปวดเปิดออก เขาได้ให้เซลล์เล็กๆ ของตัวเองลอยเข้าไปแอบซุ่มอยู่
ตอนนี้ควรจะขยายเอ่อล้นไปยังเขตจำนวนมากแล้ว
พลังส่วนใหญ่ของร่างหลักเคลื่อนย้ายไปยังทางนั้นแล้ว
ทุกคนเหินร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วรวมตัวกันที่เรือเหาะตรงขอบร่องแยกสีเลือดกลางอากาศซึ่งพวกหลี่ซุ่นซีขับมารออยู่นานแล้ว
เมื่อไม่มีการขัดขวางจากผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวง ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้คันฉ่องวิญญาณทั่วไปก็ไม่อาจขัดขวางการทะลวงของเรือเหาะได้
ร่างของมารดาแห่งความเจ็บปวดพลันปรากฏบนผืนดินรกร้างแห่งหนึ่ง นางเงยหน้ามองดูกลิ่นอายของเรือเหาะที่หลงเหลืออยู่กลางอากาศ
“คิดหนีหรือ” นางยกมือขึ้น ควันสีเทาจำนวนเหลือคณานับแผ่พุ่งออกมาจากร่างกายของนางแล้วจับตัวเป็นวังวนขนาดต่างๆ แสงสีม่วงหลายกลุ่มสว่างขึ้นกลางวังวนทุกกลุ่ม พวกมันเล็งไปยังทิศทางที่เรือเหาะหนีไปเหมือนกับปากกระบอกปืนที่เตรียมจะยิง
ขณะที่กำลังจะลงมือสกัด เสียงแจ้งเตือนที่แหลมสูงก็ระเบิดขึ้นในสมองของนางทันที
‘แย่แล้ว! ตำหนักเทพปรภพ!’ มารดาแห่งความเจ็บปวดใจหาย รีบชักมือกลับ จากนั้นก็ฉีกร่องแยกสีเทาสายหนึ่งออกด้านหน้า ก่อนจะพุ่งเข้าไป
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้านางคือซากปรักหักพังสีเทาผืนใหญ่ ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังรุมโจมตีตำหนักเทพปรภพอันเป็นฐานทัพหลักของนางด้วยสองตาเฉยชา
ปัจจัยที่วุ่นวายบางชนิดกำลังแผ่กระจายอยู่ในอากาศของโลกแห่งความเจ็บปวดที่มีแค่สีดำ ขาว และเทา
ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายจำนวนมากปล่อยดาบอาคมชั่วร้ายสีเทาออกมาโดยไม่มีสติ ดาบอาคมชั่วร้ายทั้งหมดรวมตัวกันเป็นดาบสีเทาที่ใหญ่โตมหึมา จากนั้นก็ฟันใส่เยื่อป้องกันด้านบนตำหนักเทพปรภพอย่างรุนแรง
บริวารที่เดิมทีมีหน้าที่เฝ้าตำหนักเทพเหล่านี้ถึงกับทรยศและกลายเป็นผู้ก่อการร้ายโจมตีตำหนักเทพไปเสียเอง
นัยน์ตาเพียงข้างเดียวของมารดาแห่งความเจ็บปวดสาดประกายดุร้ายหลายสาย นางถึงขั้นสัมผัสได้ว่า เมืองแห่งอื่นที่อยู่ไกลออกไปก็กำลังเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้อยู่เช่นกัน ปราณที่ควบคุมทุกอย่างสายนั้นคือกลิ่นอายบนร่างของจักรพรรดิมารชุ่นอิ่งลู่เซิ่งที่นางเพิ่งจะกำจัดไป
“ประเสริฐ…ประเสริฐนัก!”
นางโบกมือ ฝุ่นสีเทาจำนวนมากพุ่งออกมาแล้วหายไปในส่วนศีรษะของผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องในพริบตาเพื่อขจัดสิ่งที่ใช้ควบคุมพวกเขา
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ตำหนักเทพปรภพเกือบครึ่งก็ได้ถูกทำลายจนมลายสิ้นแล้ว
โลกแห่งความเจ็บปวดไม่ทราบว่าเสียหายหนักขนาดไหน
……………………………………….