ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 528 สอดมือ (2)
บทที่ 528 สอดมือ (2)
ถึงลู่หนิงจะยังเด็ก แต่ก็เข้าใจเรื่องราวไม่น้อย เขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ลู่หลันอยู่กับเขามานาน เด็กน้อยจึงสัมผัสได้ว่าลู่หลันเป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าวถึงขีดสุด ความอ่อนแอเป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น
ส่วนลู่เซิ่งผู้เป็นบิดาก็เป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าววางอำนาจเช่นกัน แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าหากคนแข็งกร้าวสองคนมาเจอกันอาจจะกลายเป็นศัตรูกัน แต่โดยสัญชาตญาณเขาก็ไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
ดังนั้นเขาจึงขอให้ลู่หลันอย่าไปเจอกับลู่เซิ่งอีก
บางทีลู่หลันอาจนึกไม่ถึงว่า การปลอมแปลงตัวตนที่นึกเอาเองมาโดยตลอดว่าสมบูรณ์แบบจะปรากฏช่องโหว่ต่อหน้าลู่หนิงอย่างไม่รู้ตัว
ทุกคนนั่งรถม้ากลับคฤหาสน์ลู่ แต่ขณะอยู่กลางทาง ลู่หลันในตัวรถพลันตัวสั่นเล็กน้อย คล้ายสัมผัสบางอย่างได้
เร็วขนาดนี้เชียว…!?
ใบหน้านางปรากฏความจนใจและความเหนื่อยล้า
“หนิงหนิง จำคำของข้าก่อนหน้านี้ได้ไหม” อยู่ๆ นางก็เอ่ยถาม
ลู่หนิงไม่เข้าใจ
“ถ้าหากเจ้ามีโอกาส จะลองตามหาข้าดูก็ได้ แต่จงจำไว้ว่า ห้ามบอกวิชาหายใจที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้ากับใครเด็ดขาด” ลู่หลันกำชับอีกรอบ ครั้งนี้ใช้การส่งกระแสเสียงทางจิต
ลู่หนิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ลู่หลันที่นั่งอยู่ในตัวรถยกศีรษะของลู่หนิงขึ้นจากอ้อมอกเบาๆ
“โชคชะตาของพวกเราเป็นสิ่งที่ฟ้ากำหนด อนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครบอกได้ แต่ขอแค่เจ้าพยายาม พี่หลันหลันจะอยู่ข้างเจ้า คอยมองดูเจ้าตลอดไป และจะรอเจ้าอยู่ที่ปลายทางความสำเร็จ…”
ลู่หนิงมองลู่หลันที่อยู่ด้านหน้าตาปริบๆ อย่างคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ
“คุณหนู ควรไปได้แล้ว” เสียงบุรุษเริ่มสะท้อนในห้วงสมองของลู่หลัน
ลู่หลันชะงักเล็กน้อย พลันโน้มตัวไปด้านหน้าแล้วจุมพิตหน้าผากของลู่หนิงเบาๆ
“พี่หลันหลัน ท่านจะไปแล้วหรือ” ลู่หนิงพลันเข้าใจสิ่งใด “เพราะมีคนเลวเล่นงานท่านใช่หรือไม่ วางใจเถอะ หนิงหนิงจะปกป้องท่านเอง!” เขายกกำปั้นเล็กขึ้นพลางกล่าวเสียงกังวาน
“ได้สิ…” ดวงตาของลู่หลันฉายแววอ่อนโยน “เช่นนั้นข้าจะรอเสี่ยวหนิงหนิงมาปกป้องหลังจากโตแล้วนะ”
“เอาล่ะ…ลาก่อน…”
นางยื่นมือออกมาหยิกแก้มลู่หนิงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นร่างก็ค่อยๆ จางลง แล้วหายไปจากตัวรถโดยสิ้นเชิง
ลู่หนิงอึ้งไปสักพัก ก่อนจะร้องไห้ แล้วลุกขึ้นพุ่งออกจากตัวรถ
“พี่หลันหลัน! พี่หลันหลันท่านอยู่ที่ไหน!?”
เขาร่ำไห้
พวกมู่เจวี๋ยชิ่งที่นั่งอยู่ในรถอีกคันเห็นดังนั้นก็งุนงง ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้น
…
วังมาร สำนักมารกำเนิด
ฟ้าว…
ปราณมารที่ร้อนเร่าและหนักอึ้งพลิกม้วนอยู่ในตำหนักข้างเป็นระยะ
ลู่เซิ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ของวัง พร้อมกับมองคนรายงานข่าวด้านล่างด้วยสีหน้าเย็นชา
“หมายความว่า ลู่หลันเพิ่งจะออกไปจากที่นี่ไม่นาน อยู่ๆ ก็หายตัวไประหว่างทางขากลับ เหมือนกับตอนที่นางปรากฏตัวหรือ”
ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างซึ่งทำหน้าที่รายงานก้มหน้าไม่กล้าระบายลมหายใจ
“ขอ…ขอรับ…”
“หว่านเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่านี่หมายถึงอะไร” ลู่เซิ่งมองร่างของตวนมู่หว่านที่อยู่ด้านข้าง
ตวนมู่หว่านผุดสีหน้าย่ำแย่ นางย่อมทราบว่านี่หมายถึงอะไร
“คนของพวกเราไม่สามารถตามรอยลู่หลันได้ นอกจากค้นพบความผิดปกติของคลื่นสารกายเล็กๆ ในตัวรถแล้ว ที่เหลือล้วนไม่เจออะไร หากดูจากความเห็นของเหล่ามือดีที่ตามรอยหลังจากคาดเดาร่องรอยแล้ว น่าจะมีคนอีกกลุ่มมาถึงอย่างกะทันหัน แล้วกดดันให้ลู่หลันจำเป็นต้องหายตัวไป”
“ลู่หลันไม่มีทางหายตัวไปอยางไร้สาเหตุ จะต้องมีเหตุผลแน่” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “สืบต่อไป เรื่องนี้ข้าต้องการคำอธิบายที่สมบูรณ์ ตอนนั้นลู่หนิงลูกชายข้าก็อยู่ในตัวรถด้วย อย่างนั้นการที่ลู่หลันหายตัวไปจากรถอย่างไร้สุ้มไร้เสียงได้ ก็หมายความว่านางมีโอกาสมากที่สุดที่จะหายตัวไปพร้อมกับลู่หนิงได้เช่นกัน ข้ายอมรับการคุกคามและอันตรายแบบนี้ไม่ได้”
“ขอรับ!” พวกระดับสูงแผนกรายงานข้อมูลด้านล่างพากันโค้งเอวขานตอบ
“แยกย้าย” ลู่เซิ่งโบกมือ
พวกระดับสูงค่อยเหมือนปลดภาระหนักอึ้งออกได้ รีบพากันล่าถอยไป
รอคนจากไปและประตูตำหนักปิดลง ลู่เซิ่งก็มองตวนมู่หว่าน
“วังมารต้องถูกคนแทรกซึมแล้วแน่ ที่นี่มีค่ายกลใหญ่ล้อมรอบ การเข้าออกและการแลกเปลี่ยนอากาศล้วนมีเวลาที่แน่นอน นอกจากจะใช้ทักษะที่เหนือกว่าพวกเรามากเกินไป ไม่อย่างนั้นไม่อาจส่งข่าวผ่านค่ายกลออกไปได้” ตวนมู่หว่านกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “แต่ความเป็นไปได้นี้มีต่ำมาก ค่ายกลใหญ่เป็นทักษะการวิจัยล่าสุดของสำนักพันอาทิตย์ หนำซ้ำเพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน ทักษะค่ายกลชนิดนี้ยังไม่ได้แพร่หลายนัก การจะเจาะตั้งแต่ด้านนอกถึงด้านในแทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นหากหากยืนยันได้ว่าลู่หลันไม่ได้จากไปเอง ก็ต้องเป็นเพราะด้านในวังมารมีคนเปิดเผยข้อมูล หรือก็หมายความว่ามีไส้ศึก!”
“ตรวจสอบเสีย” มือของลู่เซิ่งซึ่งจับที่วางแขนกำแน่นเล็กน้อย “สำนักมารกำเนิดขยายเร็วเกินไป สมาชิกจึงผสมปนเป จะมีไส้ศึกบ้างก็ไม่แปลก ข้าขอไปหาลู่หนิงก่อน”
“เจ้าค่ะ” ตวนมู่หว่านพยักหน้าอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งลุกขึ้นเดินออกจากตำหนักใหญ่ ศิษย์ที่อยู่สองด้านของประตูพากันโค้งตัว
เขาทอดตามองไป ด้านนอกตำหนักมีศิษย์หัวกะทิหลายสิบคนกระจายกำลังกันอยู่ ทั้งยังเห็นอักขระสีแดงกระพริบบนกำแพงระหว่างหอตำหนักพลับพลาศาลาได้ลางๆ
‘ไม่ได้เคลื่อนไหวมานาน นึกว่าข้าจะยอมจำศีล ปล่อยให้คนข่มเหงจริงๆ หรือ อยากจะเห็นเหมือนกันว่าพวกเจ้าเอาชีวิตคนมาทิ้งได้เท่าไหร่’ ลู่เซิ่งเค้นเสียงคำหนึ่ง จากนั้นก็มีเมฆขาวระเหยขึ้นใต้เท้า ก่อนจะทยานขึ้นฟ้าแล้วบินไปยังเขตจันทราสารท
…
คฤหาสน์ลู่
บรรยากาศในคฤหาสน์หนักอึ้ง หลังจากข้ารับใช้และหญิงรับใช้แทบทั้งหมดได้ทราบข่าวการกลับมาของนายท่านใหญ่ ต่างก็ไม่กล้าระบายลมหายใจออกแรง
นายท่านใหญ่ก็คือลู่เซิ่ง ตอนนี้คือประมุขตระกูลลู่ และเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตจันทราสารทหรือในแคว้นทั้งแคว้น
นั่นคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพูดคุยกับระดับสูงของสามสำนักอย่างสนุกสนาน ทุกคำพูดและทุกการกระทำล้วนส่งผลต่อความเป็นความตายของคนนับไม่ถ้วน
ไม่อนุญาตให้ใครพลั้งเผลอ
ในห้องหนังสือ ณ เวลานี้
“ท่านพ่อ ท่านช่วยพี่หลันหลัน ช่วยพี่หลันหลันด้วย! นางเป็นคนดี ขอร้องล่ะขอรับ!”
ในคฤหาสน์ลู่ ลู่หนิงกอดขากางเกงของลู่เซิ่งพร้อมกับร้องคร่ำครวญเสียดัง
ลู่เซิ่งมองพวกมู่เจวี๋ยชิ่งในคฤหาสน์ และเฉินอวิ๋นซีที่รีบรุดมา รวมถึงพวกมารดาอวี้ที่ทันแค่สวมใส่เสื้อตัวบางเท่านั้น ก่อนจะค่อยกระจ่างในใจ
การหายตัวไปของลู่หลัน นอกจากจะสร้างความตกใจให้แก่คนในคฤหาสน์ลู่เล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก
“ถึงแม้ว่าจะอยู่กับเด็กน้อยหลันหลันไม่นาน แต่ข้ามองออกว่านางมีจิตใจดี แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน ถ้าหากเจ้าเซิ่งทำได้โดยไม่ส่งผลต่อสถานการณ์รอบๆ ตัว ก็ช่วยนางสักครั้งหนึ่งเถอะ”
มารดาอวี้ช่วยลู่หนิงกล่าว
“นางเป็นคนที่มีชะตาอาภัพคนหนึ่ง” นางกล่าวอย่างเสียดายเล็กน้อย
“ความเห็นของสตรี!” ลู่เฉวียนอันกลับแค่นเสียง “เจ้าเซิ่งมีการตัดสินใจของตัวเอง พวกเจ้าจะออกความเห็นไปทำไม สตรีนางนั้นจู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน จะต้องมีเลศนัยอยู่เบื้องหลังแน่ คงไม่ตื้นเขินเหมือนอย่างที่เห็นภายนอกหรอก”
ลู่เฉวียนอันยืนอยู่ข้างลู่เซิ่งยามอยู่ในตระกูลเสมอ พอเขาออกปาก คนที่เหลือก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
กลับเป็นลู่อันผิงท่านลุงใหญ่ที่ลูบหนวดเคราพลางส่ายหน้าน้อยๆ คนแก่มากประสบการณ์อย่างเขา แค่ดูท่าทางของลู่เซิ่งก็รู้แล้วว่าหลานผู้นี้กำหนดแผนการไว้แล้ว ความเห็นของคนนอกยากจะเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงไม่พูดอะไร
“สตรีนางนั้นมีความเป็นมาไม่ชัดเจน เบื้องลึกเบื้องหลังไม่ตื้นเขิน ไม่ได้รวบรัดอย่างที่เห็นหรอก” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
พอกล่าวคำพูดนี้ออกไป เขาก็เห็นสีหน้าของลู่หนิงผู้เป็นลูกชายหม่นหมองในพริบตา
ลู่หนิงเฉลียวฉลาดแต่เด็ก ย่อมเข้าใจเจตนาในคำพูดนี้ออก
“แต่ในเมื่อหนิงเอ๋อร์ออกปากขอให้ข้าช่วยด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเห็นแก่หน้าเหมือนกัน” ลู่เซิ่งเปลี่ยนไปพูดอีกอย่าง พลันทำให้ลู่หนิงยิ้มหน้าบาน
“เจ้าเซิ่ง…คงไม่ทำลายแผนการใหญ่ของเจ้ากระมัง” ลู่เฉวียนอันถามอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรขอรับ คนที่ทำลายแผนการของข้าได้ในโลกใบนี้ มีอยู่ไม่เยอะแล้ว” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
ครั้นกล่าวคำพูดนี้ออกไป ทุกคนล้วนอึ้งไปเล็กน้อย ความนัยส่วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในวาจานี้ของประมุขตระกูลทำให้คนอดนึกเชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่นๆ ไม่ได้
ลู่เซิ่งลูบตราประทับสีแดงอ่อนบนหน้าผากของลู่หนิงเบาๆ ขณะที่พูด ตราประทับนั้นคล้ายเป็นรอยจุมพิต และคล้ายกับรอยแยก
ถ้าหากเป็นอริยะเจ้าทั่วไป คงสัมผัสความน่าอัศจรรย์ในร่องรอยนี้ไม่ได้จริงๆ แต่เขานั้นแตกต่าง จิตวิญญาณของเขาไปถึงระดับเทวปัญญาแล้ว ทั้งยังเป็นระดับสูงสุดในหมู่เทวปัญญาด้วย
ด้วยความปราดเปรียวของเขา เหตุใดจะสัมผัสปัญหาไม่ได้ แถมยังมีกลิ่นอายพิสดารเล็กๆ ที่แผ่กระจายในร่างของลู่หนิงด้วย
กลิ่นอายนี้แตกต่างจากวิชาใดๆ ที่เขาเคยเห็นมาโดยสิ้นเชิง
…
“ทลายปฐพี!”
ดาบฟันฟืนขนาดยักษ์สีเหลืองอ่อนหลายสายทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สุดท้ายกลายเป็นหนึ่งในพริบตาเดียว แล้วฟันใส่ป่าและภูเขาที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกคลื่น
ตูม!
เกิดเสียงดังสนั่น ป่าและภูเขาถูกฟันเป็นรอยดาบที่น่าสะพรึงกลัวยาวหลายร้อยหมี่ ลึกสิบกว่าหมี่ทั้งอย่างนั้น
รอยดาบห่างจากรองเท้ายาวของลู่หลันเพียงแค่สิบกว่าหลีหมี่เท่านั้น
ขาดอีกก้าวเดียว ขอแค่นางก้าวไปด้านหน้าอีกก้าวเดียว ก็จะถูกฟันกลายเป็นเนื้อสับนับไม่ถ้วนเหมือนกับรอยดาบบนหุบเหวนี้ในพริบตา
ลู่หลันหน้าเขียวคล้ำ ด้านหลังมีชายชราเคราขาวมัดผ้าโพกหัวสีดำคนหนึ่งไล่ตาม สองฝ่ายจับจ้องมองเขม็งไปยังเงาคนสูงใหญ่สายหนึ่งที่เดินออกมาจากด้านหน้าไม่ไกลออกไป
“ไม่เจอกันนาน ฝ่าบาทหวงเฝยสบายดีหรือไม่ ฮ่าๆๆๆ!” เงาร่างกำยำสายหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากละอองทราย คนผู้นี้สวมเกราะสีเหลืองอ่อน เผยร่างกายออกมาด้านนอกครึ่งหนึ่ง ทำให้เห็นเค้าโครงกล้ามเนื้อที่บิดเบี้ยวน่ากลัว มือขวาถือดาบฟันฟืนขนาดยักษ์ที่มีอักขระสีเหลืองกะพริบอยู่เล่มหนึ่ง
เขาเป็นคนฟันดาบเมื่อครู่ออกมา
“เต๋อหลิน…เจ้าเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?!” ชายชราด้านหลังลู่หลันผุดสีหน้าเหยเก “ร่องรอยของหวงเฟยเป็นสิ่งที่ถูกรักษาเป็นความลับ ทำไมเจ้าถึงได้…”
“เจ้าแก่แล้ว ติงอู่เซิง” ชายกำยำเต๋อหลินหัวเราะลั่น “ใต้หล้านี้ไม่มีร่องรอยของใครที่รักษาเป็นความลับได้หรอก”
เสียงเพิ่งขาดลง ด้านหลังลู่หลันก็มีเงาคนสูงชะลูดสองสายเดินออกมาอีก คนหนึ่งสวมหน้ากากสีขาวตัดดำเหมือนกับที่ใช้ในการแสดงงิ้วปักกิ่ง
อีกคนมีศีรษะเป็นเสือร่างเป็นมนุษย์ สวมเกราะงามสีดำ เป็นมหาปีศาจเผ่าปีศาจ
“ลู่เฟิงโฉว…หู่จิ้น…!” ตางามของลู่หลันฉายแววดุร้าย “สามารถขอให้ผู้สักการะทั้งสามมุ่งหน้ามาได้ ต้องชื่นชมตระกูลไอจริงๆ”
โลกใบนี้มีอริยะเจ้าอยู่แค่ไม่กี่คน ลู่หลันย่อมจดจำอริยะเจ้าที่อยู่ในราชวงศ์ได้หมด
สามารถเข้าร่วมกับราชวงศ์ กลายเป็นผู้สักการะได้ พลังและไพ่ตายย่อมเหนือกว่าคนอื่นๆ เท่าหนึ่ง ทั้งยังถือเป็นยอดฝีมือในหมู่อริยะเจ้าเช่นกัน
ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้กลับได้รับการเกลี้ยกล่อมให้มาปิดล้อมนางพร้อมกันถึงสามคน เห็นได้ว่าคนผู้นั้นต้องการฆ่านางให้นางตายแน่นอน
“หากพระองค์ไม่ตาย ใต้เท้าก็ยากสงบใจ ต้องขอประทานอภัยด้วย” หู่จิ้นมนุษย์เสือกล่าวเสียงขรึม
ดวงตาของลู่หลันฉายแววสิ้นหวัง อาวุธเทพเคลื่อนย้ายในพริบตายังอยู่ในช่วงฟื้นฟู จึงใช้ไม่ได้ ส่วนความสามารถรักษาชีวิตที่เหลือ ภายใต้การรุมโจมตีของอริยะเจ้าสักการะสามคน ก็ได้แต่เป็นตั๊กแตนขวางรถเท่านั้น
ตัวนางอาศัยวิชาลับและสมบัติลับ อย่างมากสุดก็ฝืนฟื้นฟูพลังได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี
“พวกเจ้าอย่าลืมว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของสำนักพันอาทิตย์!”
“คนของสำนักพันอาทิตย์ยอมประนีประนอมแล้ว คนรู้หน้าที่คือยอดคน ฝ่าบาท ท่านควรจะ…” เต๋อหลินกล่าวพลางส่ายหน้า
สวบ!
ทันใดนั้นเต๋อหลินสีหน้าเปลี่ยนแปลง ยกมือกุมอก เหงื่อกาฬไหลหลั่งออกมาจากหน้าผาก เกือบจะทรงตัวไม่อยู่
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น หู่จิ้นกับลู่เฟิงโฉวก็กุมอก สีหน้ากลายเป็นซีดขาวในเวลาแทบพร้อมกันเช่นกัน
“ผู้ใด!?” เต๋อหลินมองไปยังส่วนลึกของทะเลป่าที่อยู่ไกลออกไปอย่างฉับพลัน
ความหวาดกลัวเมื่อครู่…ส่งมาจากด้านนั้น
ไกลออกไป ทั้งสามมองไปยังทิศทางนั้น แต่ว่าตรงนั้นนอกจากสีเขียวเข้มแล้ว ก็มองไม่เห็นอะไรอีก
“คนในราชวงศ์จากอินตูคิดทำอะไร ก่อนที่ใต้เท้าจะสอดมือ ต้องพิจารณาผลลัพธ์ให้ดี”
“ในเมื่อข้าตัดสินใจคิดลงมือ ย่อมไม่เหลือผลลัพธ์อะไรไว้”
เสียงบุรุษที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังมาช้าๆ
พวกลู่หลันได้ยินดังนั้น ม่านตาพลันหดตัว
“เสียงนี้มัน…”
……………………………………….