ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1013 จัดชั้นเรียน (1)
‘ตอนนี้มาดูกันว่าหลังกล้ามเนื้อปลดการจำกัดตัวเองออกแล้ว ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง’
ลู่เซิ่งลุกขึ้นถอดเสื้อผ้า เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่บึกบึกไร้ไขมัน
เขาหยิบลูกบาศก์โลหะอันหนึ่งมาบีบเบาๆ
ลูกบาศก์ถูกบีบเป็นก้อนเหล็ก จากนั้นเขาก็นวดมันไปมาจนกลายเป็นเศษเหล็ก
ขนาดทำแบบนี้ กล้ามเนื้อบนมือเขายังไม่มีความรู้สึกว่าใช้แรง
‘พละกำลังเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยเท่าในพริบตา…บวกกับระดับความแข็งแกร่งของผิวหนัง…กล้ามเนื้อเลยยกระดับความแข็ งแกร่งของผิวหนังในชีวิตที่หนึ่งขึ้นด้วย สองสิ่งหนุนเสริมกัน ร้ายกาจจริงๆ’
ลู่เซิ่งอุทานในใจ เขาไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายเพิ่มเติม เพียงแค่ฝึกฝนเพื่อเปิดกงล้อการจำกัดตัวเ เองเท่านั้น
แค่ชีวิตที่สองก็เกือบกลายเป็นยอดมนุษย์แล้ว
‘น่าเหลือเชื่อจริงๆ สสารบนโลกใบนี้แข็งแกร่งถึงขั้นน่าเหลือเชื่อทีเดียว’
ลู่เซิ่งยืนสัมผัสการเปลี่ยนแปลงมากมายในตัวอย่างละเอียด
ถึงจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้เพียงผิวหนังกับกล้ามเนื้อ แต่ความจริงอวัยวะภายในทั้งหมดต่างก็ได้รับการส่งเสริมเช่นก กัน นี่คือประสิทธิผลร่วม เพียงแค่เน้นที่ผิวหนังกับกล้ามเนื้อเท่านั้น
เขาประเมินดู หากคนธรรมดาคิดจะฝึกฝนวิชาเกลียวเก้าชีวิตตามลำดับขั้นตอน ถ้าโชคดีมาก คุณสมบัติร่างกายสอดประสานก กับฟ้าดิน จะสามารถเลื่อนสู่ระดับหนึ่งได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่ชีวิตกล้ามเนื้อระดับที่สองจะไม่ได้เลื่อนระดับง่ายเหมือนเดิมแล้ว จำเป็นต้องฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมาและเพิ่มความรุนแรง ให้การกระตุ้นเป็นเวลายาวนาน
แม้จะเป็นพรสวรรค์ที่เหมาะเจาะที่สุด และมีปราณปฐพีของเขาสนับสนุนสุดกำลัง แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าป ปีถึงจะเลื่อนระดับอย่างปลอดภัยได้อยู่ดี
‘แต่ไม่เป็นไร…ตอนนี้สิ่งที่เราเหลือมากที่สุดคือเวลา…’ ลู่เซิ่งคำนวณการไหลของเวลาคร่าวๆ ที่นี่กับมารสวร รรค์คือ 1 ต่อ 1.2 โลกมารสวรรค์เร็วกว่าที่นี่เล็กน้อย
ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไม่มาก ตอนนี้ทางบ้านเก่าอยู่ในช่วงสันติภาพ สามารถอยู่ที่นี่พันปีได้โดยไม่มีปัญหา
ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มทดสอบดัชนีต่างๆ ของกล้ามเนื้อ
ผลลัพธ์ทำให้ลู่เซิ่งตื่นตระหนก
พลังทำลายล้างที่ความแข็งแกร่งของผิวหนังและความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อระเบิดออกมาได้ หลังจากเลื่อนสู่ชีวิตที่ส สอง เทียบเท่ากับระดับพันธนาการในโลกมารสวรรค์เป็นอย่างน้อย นี่ออกจะเกินจริงไปบ้างแล้ว
‘หมายความว่า ถ้าคนของที่นี่เจอกับชีวิตที่สอง จะเท่ากับคนธรรมดาเผชิญระดับพันธนาการในโลกมารสวรรค์’
เขาทดสอบอย่างละเอียด สามารถออกแรงต่อเนื่องกันในระดับสูงสุดได้มากกว่าสิบสองตัน ถ้าบวกการเร่งความเร็วเพิ่มเข้ าไปด้วย เมื่อต่อยออกไปจะมีพลังทำลายล้างมากกว่ายี่สิบตัน
เมื่อรวมกับเงื่อนไขที่ผิวหนังแข็งแกร่งขึ้น จึงเหมือนกับมังกรคลั่งในร่างมนุษย์
ฟู่…
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจยาว ผิวทั่วร่างแดงก่ำและร้อนลวกเหมือนกับกุ้งต้มสุก
‘แถมการปรับเปลี่ยนนี้ยังไม่สำเร็จดีด้วย ร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ…ศักยภาพร่างกายของมนุษย์บนโลกใบนี้ แข็งแกร่งจนน่ากลัวจริงๆ…’
ลู่เซิ่งถอนใจชมเชย ก่อนจะค่อยๆ หลับตาเข้าสู่ห้วงนิทรา
เขาเสียพลังกายเพราะการเลื่อนระดับมากเกินไป จึงจำเป็นต้องพักผ่อน พรุ่งนี้ตื่นมาควรกินมื้อหนักสักมื้อเพื่อเส สริมสารอาหาร
หนึ่งคืนไร้ห้วงฝัน
เช้าตรู่วันต่อมา ลู่เซิ่งก็เห็นข้อความได้รับโอนเงินในบัญชีธนาคารที่โทรศัพท์ส่งมา เด็กอ้วนผิวขาวโอนค่าสมัคร มายังบัญชีเขาแล้ว
เขาลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉย ก่อนจะอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็เดินทอดน่องไปยังห้องสมุดเหวินต๋า
ลู่เซิ่งซื้ออาหารเช้ามาเจ็ดแปดอย่าง ทั้งหมดเป็นซาลาเปาไส้เนื้อกับน้ำแร่ ระหว่างทางกินไปแล้วมากกว่าครึ่ง รอจน นถึงห้องสมุดก็เหลือแค่ถุงที่บรรจุซาลาเปาแล้ว
เด็กอ้วนกระตือรือร้นกว่าเมื่อวาน มารออยู่หน้าประตูห้องสมุดตั้งแต่เช้า พอเห็นลู่เซิ่งเดินมาอย่างสบายอารมณ์ เข ขาก็รีบเข้าไปต้อนรับและเตรียมจะโค้งคำนับทักทายลู่เซิ่ง
ผัวะ
ลู่เซิ่งตบหัวของเด็กอ้วน
“ทำตัวปกติหน่อย”
เด็กอ้วนร้องโอ๊ย กุมหัวไม่กล้าพูดอะไรอีก
“เรียกฉันว่าอาจารย์ก็พอ” ลู่เซิ่งเดินถึงประตูใหญ่ หยิบกุญแจออกมาเปิดประตู แล้วเดินเข้าไปพร้อมกันสองคน
“สวัสดี…สวัสดีครับอาจารย์” เด็กอ้วนรีบแก้ไข
ลู่เซิ่งยังไม่คิดจะสอนวิชาต่อสู้ให้เด็กอ้วน วิชาต่อสู้แบกภาระเป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการฝึกวิชาเกลียวเก้าชีว วิต เขาสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อย่างแม่นยำเพราะมีปราณปฐพีคอยหล่อเลี้ยง ขณะเดียวกันขอบเขตของร่างหลักก็สู งมากพอ
แต่เด็กหนุ่มธรรมดาอย่างไป๋อันอี้ทำไม่ได้ จึงได้แต่เริ่มฝึกฝนบ่มเพาะอย่างช้าๆ ตั้งแต่ต้น
ส่วนวิธีควบคุมพลังและวิธีควบคุมการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ของกล้ามเนื้อก็คือ
พลังปลอดโปร่ง จิตปลอดโปร่ง และผนึกจิต เป็นระดับที่ใช้ได้ทุกที่
พลังปลอดโปร่งคือระดับที่ปรับแรงของกลุ่มกล้ามเนื้อหลักๆ ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน
จิตปลอดโปร่งเป็นระดับที่ปรับแรงของกลุ่มกล้ามเนื้อเล็กๆ เข้าไว้ด้วยกันผ่านการสะกดจิตตัวเอง
ผนึกจิต คือการรวมจิตและกายเนื้อเป็นหนึ่ง สามารถขุดค้นศักยภาพ ทำให้ร่างกายพัฒนาขึ้นอีกขั้นได้เอง โดยผสาน กำลังภายในเข้าด้วยกันแล้วเดินสู่จุดสูงสุด แต่ที่นี่ไม่มีปราณภายในอยู่ และร่างกายของคนที่อยู่ที่นี่ก็มีศักยภาพ พแข็งแกร่งมาก ดังนั้นแค่เดินถึงขอบเขตจิตปลอดโปร่งก็เพียงพอแล้ว
ลู่เซิ่งยังคงเฝ้าห้องสมุดตามกิจวัตร เวลามีคนมายืมหนังสือ เขาจะเป็นคนบันทึก เวลาคืนหนังสือจะเป็นระบบอัตโนมัติ
ส่วนเวลาที่เหลือส่วนใหญ่เขาจะใช้ไปกับการอ่านหนังสือหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นภาษาแม่หรือภาษาต่างประเทศ ล้วนไม่มีค ความยากใดๆ ต่อเขา
เด็กอ้วนมาตั้งแต่เช้าและไม่ได้ไปเรียน คอยแต่พะเน้าพะนอเอาใจลู่เซิ่งทั้งวัน
ลู่เซิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ถือโอกาสให้เขาทำงานเป็นผู้ใช้แรงงาน ดูว่าจะมีนิสัยอย่างไร
นึกไม่ถึงว่าเด็กอ้วนผู้นี้จะอดทนได้ เขาพึมพำว่า ตอนนั้นเขารออยู่ทั้งคืนได้ เพื่อหมอนข้างตัวการ์ตูนลิมิเต็ ดอิดิชั่นชิ้นเดียว
ตอนนั้นโทรศัพท์แบตเตอรีหมด ทั้งยังลืมเอาของกินมา แต่ในสถานการณ์ที่ทั้งหนาวทั้งหิว เขากลับกลายเป็นลูกค้าวี ไอพีคนที่สามที่แย่งชิงหมอนข้างในช่วงเช้าตรู่ได้
พูดถึงความแน่วแน่ เขาไม่แพ้ใครจริงๆ
ลู่เซิ่งมองออกว่าเด็กอ้วนคนนี้เป็นพวกทุ่มเทโดยธรรมชาติ
พอตกเที่ยงก็ไปกินอาหารง่ายๆ ที่ร้านสะดวกซื้อด้วยกัน เด็กอ้วนหน้าเหยเกตอนที่เป็นฝ่ายขอจ่ายเงินเอง ลู่เซ ซิ่งกินเป็นสี่เท่าของคนธรรมดา แถมเขายังควบคุมตัวเองเอาไว้ด้วย เด็กอ้วนถึงจะมีเงินจ่าย แต่กระเป๋าตังค์ก็ว่างเ เปล่าเช่นกัน
ถึงช่วงกวดวิชาตอนเย็นอีกครั้ง หลังกินข้าวเย็นเสร็จ เด็กสาวอีกสองคนก็มาถึง หลิ่วเฉิงกับเฉินหงยวนแตกต่างจากเด ด็กอ้วนตรงที่ตอนแรกมาด้วยความรู้สึกสดใหม่ ครั้งนี้เหมือนจะเห็นแค่ลู่เซิ่งเป็นอาจารย์กวดวิชาที่พิเศษนิดหน่อย คนหนึ่ง ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก
หลังจากเรียนภาษาต่างประเทศทั่วไปเสร็จ เด็กอ้วนก็รบเร้าให้ลู่เซิ่งเริ่มฝึกฝนวิชาต่อสู้
เมื่อรับเงินเขามาแล้ว ลู่เซิ่งย่อมไม่อู้ ทิ่มนิ้วใส่ร่างเด็กอ้วนสองที
ความเจ็บปวดเหมือนชักกระตุกเกิดขึ้นอีกครั้ง เด็กอ้วนเจ็บเจียนตาย ดิ้นทุรนทุรายบนพื้น แต่ก็ไร้ประโยชน์ ความเจ็บ บปวดนี้มาจากกล้ามเนื้อและเส้นประสาทของเขาเอง ไม่สามารถหลบเลี่ยงหรือบรรเทาได้
ดำเนินอยู่เกือบหนึ่งนาทีกว่าๆ ครั้งนี้เด็กอ้วนเหมือนถูกงมออกจากน้ำ ผอมลงอีกหนึ่งรอบวงเล็กๆ
แต่เขาไม่โอดครวญสักคำเดียว เพียงแค่พักผ่อนชั่วครู่ก็กัดฟันลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะบอกลาลู่เซิ่งกลับบ้านด้วยเนื อตัวสกปรกมอมแมม
เป็นเช่นนี้อยู่หนึ่งสัปดาห์ ลู่เซิ่งรอชีวิตที่สองของร่างกายตัวเองปรับปรุงให้เสร็จไปพลาง ดำเนินการฝึกฝนรูปแบบ บจำกัดตัวเองอันโหดร้ายต่อเด็กอ้วนไปพลาง
ความรู้สึกที่ร่างกายชักกระตุกเจ็บปวดเป็นพิเศษ ต่อให้ลู่เซิ่งจะทำให้เบาลงถึงระดับหนึ่งในสามแล้ว ก็เป็นความทรมา านสุดจินตนาการอยู่ดี แต่เด็กอ้วนไม่บ่นสักคำเดียว เพียงแต่ปล่อยให้ลู่เซิ่งสั่งสอนอย่างเงียบๆ และว่าง่ายเท่าน นั้น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผลลัพธ์ของเด็กอ้วนก็เห็นผลขั้นแรก
เขาน้ำหนักลดลงแล้ว…
เด็กอ้วนที่ตอนแรกหนักหนึ่งร้อยกว่ากิโลกรัม ตอนนี้น้ำหนักเหลือเก้าสิบกิโลกรัม แม้จะยังอ้วน แต่เห็นได้ชัดมากว่ าผอมลงแล้ว
และเป็นเพราะผลลัพธ์ของเขา จึงมีคนอ้วนมาเข้าร่วมกระบวนการฝึกของลู่เซิ่งอีกสองคน
คนอ้วนคนหนึ่งในนี้รับความเจ็บปวดไม่ไหว หลังจากจ่ายเงินในคาบเรียนแรกก็ไม่มาอีกเลย และไม่ได้ขอคืนเงิน
อีกคนกลับอดทนผ่านมาได้
และสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ คนอ้วนที่ทนได้คนนั้นเป็นผู้หญิง ชื่อจ้าวกั่วโยว
ไม่นานนัก การฝึกฝนแบบจำกัดตัวเองของลู่เซิ่งก็เกิดผลลัพธ์
เด็กอ้วนไป๋อันอี้เริ่มเรียนวิชาต่อสู้แบกรับภาระในขั้นต้นได้แล้ว
…
บนเขาร้างแถบชานเมืองอันหมิง
กรวดหินสีเทากลุ่มใหญ่กองรวมกันเป็นเนินหินที่ทอดยาวเป็นลูกคลื่น ที่นี่คือลานทิ้งขยะที่เอาไว้ทิ้งขยะจาก สิ่งก่อสร้างในเมือง
ขยะสิ่งก่อสร้างจำนวนมากถูกบีบอัดเป็นทรายสีเทากองกันอยู่ที่นี่ รอให้ใช้ประโยชน์อีกครั้งหนึ่ง
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เมืองอันหมิงที่เคยมียุคสมัยรุ่งเรืองหายไปแล้ว เมืองที่ตอนนี้เปล่าเปลี่ยวไม่ต้องใช ช้วัสดุสิ่งก่อสร้างมากมายขนาดนี้อีกต่อไป
ดังนั้นทรายและสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จึงได้แต่กองรอคอยอนาคตอยู่ที่นี่
ลู่เซิ่งพาไป๋อันอี้กับจ้าวกั่วโยวเด็กอ้วนอีกคนมาถึงส่วนลึกของลานขยะสิ่งก่อสร้างแห่งนี้
ระหว่างรอยเลื่อนของตึกที่ไม่สามารถบดละเอียดได้
ลู่เซิ่งสวมเสื้อเชิ้ตดำกับกางเกงยีนส์ เด็กอ้วนสองคนแต่งตัวคล้ายกับเขา คือสวมเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนส์
ทั้งสามเดินไปหยุดยืนอยู่ในเงามืดข้างรอยเลื่อนของตึก
“ตั้งแต่วันนี้ ไป๋อันอี้สามารถเรียนวิชาแบกภาระต่อจากขั้นตอนฝึกฝนแบบจำกัดตัวเองได้แล้ว” ลู่เซิ่งหมุนตัวไปมอง งคนอ้วนทั้งสองและกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ
“จริงเหรอครับ?!” ตอนแรกไป๋อี้อันซึมเซาอยู่บ้าง แต่พอได้ยินประโยคนี้ ตาก็ลุกวาวทันที
“จริง” ลู่เซิ่งพยักหน้าแล้วมองจ้าวกั่วโยวที่อยู่ด้านข้าง
“เสี่ยวโยว ถ้าเธอไม่อยากเรียนวิชาต่อสู้ จะกลับไปก่อนก็ได้นะ”
เดิมทีจ้าวกั่วโยวไม่ได้มาเพราะวิชาต่อสู้ เป้าหมายของเธอง่ายมาก นั่นคือการลดความอ้วน ไม่ได้สนอกสนใจการต่อสู อะไร
แต่พอฉุกนึกได้ว่าตนเองจ่ายเงินแล้ว หากไม่ดูวิชาต่อสู้แบกภาระนี้สักหน่อย นั่นก็เท่ากับขาดทุนไม่ใช่เหรอ
“เธอต้องคิดให้ดีนะ ถ้าได้เห็นวิชาต่อสู้แบกภาระของฉันแล้ว ห้ามถ่ายทอดให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาจะหน นักหนามาก ถ้าอนาคตฉันเจอว่ารั่วไหล ฉันจะจัดการล้างสำนักเอง” ลู่เซิ่งเตือนง่ายๆ
“หา ล้างสำนักเหรอคะ?!” จ้าวกั่วโยวตกใจก่อนจะลังเลขึ้นมา
เธอสงสัยกว่าเดิมว่า เรียนอะไรกันถึงกับต้องเจออันตรายหากบอกต่อคนอื่น
“ฉัน…จะไม่ถ่ายทอดให้ใครเด็ดขาดค่ะ!” จ้าวกั่วโยวสงบจิตใจ ในที่สุดก็ตอบอย่างจริงจัง แม้ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งจ จะล้างสำนักอย่างไร แต่อาจารย์ผู้นี้ลึกลับ ไม่แน่ว่าจะมีความสามารถพิเศษอย่างอื่นอีก
ลู่เซิ่งพยักหน้าก่อนมองสภาพแวดล้อมรอบๆ
“ก่อนอื่น ฉันจะสาธิตให้พวกเธอดูว่า วิชาต่อสู้แบกภาระระเบิดอานุภาพได้มากขนาดไหน”
เขาถกแขนเสื้อข้างขวาขึ้นเบาๆ พร้อมบุ้ยใบ้ให้ทั้งสองมองดูแขนของตัวเอง
“เอาล่ะ ดูให้ดีนะ…”
กึดๆๆ!
เส้นเลือดนูนขึ้นบนแขนของลู่เซิ่ง กล้ามเนื้อพองขยายอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตาสั้นๆ แขนของเขาก็ใหญ่กว่า าสภาพปกติหนึ่งเท่าตัวกว่าๆ
ตูม!
ลู่เซิ่งผลักฝ่ามือไปด้านข้าง
แขนทั้งข้างจมเข้าไปในรอยเลื่อนของสิ่งก่อสร้าง เหมือนกับปลายมีดแทงใส่ก้อนเต้าหู้
เด็กอ้วนสองคนยังไม่ทันตอบสนอง ก็เห็นลู่เซิ่งตัวสั่นเบาๆ ชักมือที่เหมือนกับดาบคมออกมาแล้วแทงใส่ผนังหินอี กด้านในพริบตา
ฉึก
ผนังหินถูกแทงเข้าไปโดยไร้อุปสรรค