ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1052 ศึกแห่งการเปลี่ยนแปลง (1)
ตอนที่ 1052 ศึกแห่งการเปลี่ยนแปลง (1)
…………….
หลังจากทำสมาธิมาทั้งวันตู้ฟู่เหว่ยก็ได้ปรับสภาพจิตใจและร่างกายของเขาให้อยู่ในจุดที่พร้อมที่สุดและเขาก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แบบ เหตุผลที่เย่เชียนกล้าที่จะท้าทายเขานั้นเขาก็ไม่สนใจปัญหานี้อีกต่อไปเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าและเขาจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
หยานซื่อฉุยก็รีบเดินเข้าไปและพูดว่า “ท่านอาจารย์ทุกอย่างพร้อมแล้ว..ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด..ถึงแม้ว่าเขาจะแพ้และไม่ยอมรับผลการต่อสู้เขาก็ไม่สามารถก่อปัญหาได้อยู่ดี”
ตู้ฟู่เหว่ยก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “นี่คือภาคตะวันตกเฉียงเหนือดินแดนของเราเพราะงั้นถึงแม้ว่าพวกมันจะข้ามแม่น้ำมาได้ถึงยังไงพวกมันก็ต้องสยบต่อหน้าฉันอยู่ดี” ในคำพูดเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฝั่งของหยานตง..เพราะตาแก่นั่นดูเหมือนจะชอบบางอย่างในตัวของเย่เชียนมาก..ถ้าหากเย่เชียนแพ้ล่ะก็หยานตงอาจจะปฏิเสธที่จะยอมรับกฎและปกป้องเขาแบบนั้นพวกเราจะต้องเจอปัญหาอย่างแน่นอน “หยานซื่อฉุยพูด
“หืม..ผู้อาวุโสหยานไม่กล้าทำอะไรมากหรอก..ถึงยังไงเขาเป็นผู้คุมกฎของยุคนี้อยู่แล้วและเขาก็สามารถทำในสิ่งที่เขาพูดได้เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก..พวกเอ็งแค่ต้องปกป้องฉันจากการลอบโจมตีของพวกนั้นก็พอ “ตู้ฟู่เหว่ยพูด “ฉันได้ยินชื่อเสียงและวีรกรรมของเย่เชียนมาเยอะมาก..เขาเป็นตัวอันตรายเพราะงั้นเราต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี”
จากนั้นตู้ฟู่เหว่ยก็หันไปมองชาฮัวเอียนและพูดว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮัวเอียน..ครั้งนี้ศิษย์พี่ของเอ็งกับฉันจะต้องไปที่สถานที่การต่อสู้แล้วเพราะงั้นเอ็งจะต้องอยู่ดูแลสำนักของเรา..เอ็งพร้อมหรือยัง..เอ็งรู้ไหมว่าการที่เอ็งถูกเอาเปรียบตลอดหลายปีที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่สอนเอ็งมาตลอดและนั่นก็ถือว่าเป็นครูและบทเรียนที่สำคัญในชีวิต..ในฐานะอาจารย์ฉันเชื่อว่าเอ็งจะต้องทำได้ดี ในอนาคต..สำนักม่อจื๊อจะดีได้แค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับเอ็งและศิษย์พี่ของเอ็ง..อย่าทำให้อาจารย์คนนี้ผิดหวังก็แล้วกัน”
ชาฮัวเอียนก็พยักหน้าตอบว่า “ขอบคุณครับอาจารย์” และรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวลไปเพราะตราบใดที่ผมยังอยู่สำนักม่อจื๊อจะต้องรุ่งโรจน์และจะไม่มีใครมารุกรานเราได้..อาจารย์ครับก่อนไปดื่มชาโสมสักถ้วยสิ” ในขณะที่เขาพูด เขาหยิบถ้วยชาโสมบนโต๊ะแล้วยื่นให้ ซึ่งนี่เป็นนิสัยประจำของตู้ฟู่เหว่ยเพราะทุกเช้าที่เขาตื่นขึ้นมาเขาต้องดื่มชาโสมหนึ่งถ้วยเสมอ
“ขอบใจมาก” ตู้ฟู่เหว่ยรับชาโสมแล้วดื่มจนหมดในอึกเดียว อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สังเกตเห็นหมอกอันชั่วร้ายที่แวบวาบในดวงตาของชาฮัวเอียนเพราะมันหายไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าตู้ฟู่เหว่ยจะตระหนักถึงความทะเยอทะยานบางอย่างของชาฮัวเอียนเป็นอย่างดีแต่เขาก็ยังคงเชื่อชาฮัวเอียนในเรื่องนี้เพราะท้ายที่สุดเย่เชียนกับคนอื่นๆก็กำลังมุ่งเป้ามาที่สำนักม่อจื๊อ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกศิษย์ของเขาจะทรยศเขา ซึ่งถ้าหากชาฮัวเอียนทำแบบนั้นเขาก็จะไม่ได้อะไรอยู่ดี
ความมั่นใจในตัวเองบางครั้งก็ทำให้คนตาบอดและทำให้เขามองไม่เห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ณ จุดนี้ตู้ฟู่เหว่ยจะพ่ายแพ้ให้กับเย่เชียนอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้สถานการณ์จะเป็นอย่างไรจะดีหรือไม่ดีท้ายที่สุดแล้วก็ต้องวิเคราะห์ให้ครอบคลุมที่สุด ตู้ฟู่เหว่ยนั้นไม่เคยประเมินตัวเองต่ำไปจนหมดความมั่นใจเพราะสำหรับเขาความมั่นใจในตัวเองนั้นจะต้องอาศัยความได้เปรียบอย่างเด็ดขาดตามข้อสันนิษฐานต่างๆ
หลังจากดื่มชาโสมแล้วตู้ฟู่เหว่ยก็ยื่นถ้วยน้ำชาให้และชาฮัวเอียนก็รับด้วยความเคารพและเขาก็โล่งใจมาก โชคดีที่เขามีความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้ดีมากไม่อย่างนั้น ดวงตาที่เฉียบคมของตู้ฟู่เหว่ยจะต้องมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสีหน้าและดวงตาของเขาได้อย่างแน่นอน
เมื่อมองดูตู้ฟู่เหว่ยและหยานซื่อฉุยขับรถออกไปแล้วชาฮัวเอียนก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้ม จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาแล้วโทรหาลูกน้องของเขาแล้วพูดว่า “เตรียมทุกอย่างให้พร้อมแล้วรอคำสั่งของฉัน” หลังจากนั้นเขาก็วางสายไป
ทางด้านเย่เชียนกับม่อหลงก็พร้อมแล้วเช่นกัน ในตอนนี้พลังในร่างกายของเขาเดือดพล่านแต่เขาก็ไม่ได้สนใจความผิดปกติของร่างกายของเขา เพราะถึงแม้ว่าสิ่งที่เหมือนเมล็ดถั่วเหลืองจะมีรอยแตกระหว่างการทำสมาธิเมื่อคืนนี้ก็ตามแต่เขาจำเป็นที่จะต้องแก้ไขมันหลังจากการต่อสู้จบลงเท่านั้น
เย่เชียนก็แตะไหล่ม่อหลงและไม่ได้พูดอะไรเพราะพวกเขาเป็นพี่น้องกันมานานหลายปีจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย เพียงแค่มองเพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าใจความคิดของกันและกันได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้พี่น้องมีความคิดเดียวกันและพวกเขาก็ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป จากนั้นม่อหลงก็ชนมือกับเย่เชียนและดวงตาของพวกเขาก็แน่วแน่อย่างมาก
ศึกครั้งนี้สำคัญอย่างมากและต่างฝ่ายต่างก็เตรียมตัวมาอย่างดีที่สุดและไม่ว่าใครจะอยู่หรือตายต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจความหมายในแววตาของกันและกัน วิชาลับประตูแปดด่านที่หยานตงสอนมานั้นหากไม่ใช่ช่วงเวลาที่วิกฤตจริงๆพวกเขาก็จะไม่ใช้มันเลย
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนกับจินเหว่ยห่าวก็รออยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ซึ่งเมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เชียนกับม่อหลงแล้วจินเหว่ยห่าวก็รู้สึกอิจฉาในใจเพราะความเป็นพี่น้องกันแบบนี้ทำให้เขาประทับใจมากจนเขาคิดถึงพี่น้องของเขาเองแต่มันก็น่าเศร้าอย่างมาก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้จินเหว่ยห่าวพอใจก็คือพี่ชายต่างมารดาของเขานั้นดีกับเขามากเพราะตั้งแต่เด็กจนโตเขาติดตามพี่ชายคนนั้นเหมือนเด็กโง่และไม่ว่าแม่ของเขาจะดุด่าเขาอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ ณ จุดนี้จินเหว่ยห่าวรู้สึกมีความสุขอย่างมาก นอกจากนี้เขายังสาบานอย่างลับๆว่าไม่ถ้าหากเขาแก้แค้นตระกูลจินในอนาคตเขาจะไม่มีวันแตะต้องพี่ชายต่างมารดาของเขาอย่างแน่นอน
“ปู่ครับ..ที่เหลือผมขอฝากด้วยนะ” เย่เชียนพูด “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา..พวกเราสามคนจะไปที่นั่นและผมเชื่อว่าถ้ามีผู้อาวุโสหยานอยู่ด้วยตู้ฟู่เหว่ยจะไม่กล้าเล่นสกปรกอย่างแน่นอน”
“นี่เป็นครั้งแรกที่เอ็งพูดกับฉันอย่างสุภาพ..ฉันไม่ชินกับมันเลย” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนฉีกยิ้มและพูดว่า “เรื่องอื่นๆไม่ต้องกังวลไปหรอก..เอ็งแค่ตั้งสมาธิไปที่การต่อสู้ก็พอ..ฉันจะแจ้งไปยังหลี่เหว่ยกับชิงเฟิงและให้พวกเขาเตรียมตัว”
“ขอบคุณครับ” เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอรบกวนปู่ด้วย” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “ที่จริงแล้วปู่เองก็น่าจะรู้ดีว่าตั้งแต่แรกผมเคารพปู่จากก้นบึ้งของหัวใจมาโดยตลอด..แต่ผมเป็นคนนิสัยแบบนี้..เพราะงั้นมันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องขอบคุณปู่อย่างใจจริง”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งเพราะความเจ้าเล่ห์และคารมคำพูดอย่างฉับพลันของเย่เชียนทำให้เขาไม่คุ้นเคยกับมันจริงๆจนเขาก็หัวเราะโดยไม่พูดอะไรเลย จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองจินเหว่ยห่าวแล้วพูดว่า “พี่จิน..พี่อยากจะไปดูการต่อสู้ครั้งนี้มั้ย?”
“แน่นอนฉันจะไป..ถ้าฉันพลาดการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไปฉันคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต” จินเหว่ยห่าวพูด “ศึกของตู้ฟู่เหว่ยเจ้าสำนักแห่งสำนักม่อจื๊อกับผู้สืบทอดสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลม่อและราชาหมาป่าเย่เชียนผู้นำแห่งองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่..การต่อสู้ครั้งนี้จะกลายเป็นเรื่องราวที่จารึกเอาไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้รับรู้อย่างแน่นอน..ฉันไม่อยากพลาดจริงๆ”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและตบไหล่จินเหว่ยห่าวเบาๆและพูดว่า “ถ้าพี่จินไปด้วยผมคงแพ้ไม่ได้แล้วล่ะ..ไม่งั้นพี่จินคงหัวเราะเยาะผมแน่ๆ..ฮ่าๆ”
จินเหว่ยห่าวก็ฉีกยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเย่เชียนก็ยับยั้งความรู้สึกเอาไว้และเดินไปที่ด้านนอก ส่วนม่อหลงกับจินเหว่ยห่าวก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิดและขึ้นรถขับตรงไปยังตำแหน่งสถานที่ในการต่อสู้ที่ตกลงกันไว้
สถานที่การต่อสู้นั้นอยู่ในพื้นที่โล่งบริเวณเขตชานเมืองซีหนิง ในช่วงเช้าหยานตงได้นำทหารจากกองทัพไปปิดล้อมสถานที่เอาไว้ การต่อสู้ครั้งนี้ค่อนข้างที่จะน่าตกใจ ดังนั้นหากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมาพบเจอก็จะการคาดเดาไปต่างๆนาๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการจัดมาตรการป้องกันแบบนี้จึงเหมาะสมที่สุด
ระหว่างทางเย่เชียนไม่ได้พูดอะไรและไม่สูบบุหรี่เพียงมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ ซึ่งรถถูกขับโดยจินเหว่ยห่าวและความเร็วก็ไม่ได้เร็วมาก ซึ่งจินเหว่ยห่าวก็ไม่ได้พูดอะไรขัดจังหวะการทำสมาธิของเย่เชียนกับม่อหลงเพราะนั่นเป็นการเตรียมตัวก่อนการต่อสู้ ในฐานะนักสู้ตำราโบราณแล้วจินเหว่ยห่าวก็รู้ในเรื่องนี้ดีและสิ่งที่เย่เชียนกับม่อหลงกำลังทำอยู่นั่นคือการปรับความคิดและสติสัมปชัญญะของพวกเขา
เมื่อมาถึงสถานที่การต่อสู้ก็พบว่าตู้ฟู่เหว่ยมาถึงแล้วและยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งเมื่อเขารู้ว่าเย่เชียนกำลังมาตู้ฟู่เหว่ยก็ไม่ได้ลืมตาเลยขึ้นมาด้วยซ้ำ สีหน้าของเขาดูสงบนิ่งมากราวกับว่าเขาไม่สนใจอะไรเลย ส่วนหยานซื่อฉุยก็ยืนอยู่ข้างๆตู้ฟู่เหว่ยด้วยใบหน้าที่พึงพอใจเพราะเธอรู้ดีว่าการแข่งขันครั้งนี้สำคัญต่อเธอมากแค่ไหน อันที่จริงหยานซื่อฉุยก็เป็นคนที่น่าเศร้าเช่นกัน เธอเป็นเด็กที่น่าสงสารมากแต่ทุกคนก็เลือกเส้นทางของตัวเองและไม่มีใครเปลี่ยนได้ ดังนั้นเมื่อเธอเลือกเส้นทางนี้เธอก็ยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งความรู้สึกของเธอที่มีต่อตู้ฟู่เหว่ยนั้นเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบอาจารย์กับลูกศิษย์อีกต่อไปเพราะเธอนับถือตู้ฟู่เหว่ยเป็นพ่อของเธอและเธอก็ไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับตู้ฟู่เหว่ยเลย แน่นอนว่าเธอยังชัดเจนมากเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของชาฮัวเอียนเพราะถ้าหากอาจารย์ของเธอตายไปชาฮัวเอียนก็จะต้องต่อสู้และต่อต้านเธอเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักม่อจื๊ออย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเย่เชียนมาถึงท่าทางของหยานซื่อฉุยก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและคิ้วของเธอก็กระตุกพร้อมกับร่องรอยของเจตนาฆ่าในดวงตาของเธอ เพราะครั้งก่อนเย่เชียนทำร้ายเธออย่างรุนแรงเพราะเธอต้องการวัดฝีมือกับเย่เชียนมาโดยตลอด แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าในช่วงเวลาสั้นๆนี้เย่เชียนจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และทักษะความสามารถของเย่เชียนก็ก้าวกระโดดอย่างมากตั้งแต่ที่เธอพบกับเขาที่บ้านของตระกูลเย่ ซึ่งทั้งหมดเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของเธอเอง
เมื่อหยานตงเห็นเย่เชียนออกมาจากรถเขาก็ทักทายเย่เชียนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองเย่เชียนจากหัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “เยี่ยมมาก..เอ็งอยู่ในสถานะพร้อมต่อสู้แล้ว..เอ็งเป็นยังไงบ้าง?..เอ็งมั่นใจมั้ย?”
“ผมจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด” เย่เชียนพูดอย่างหนักแน่น
คำตอบดังกล่าวทำให้หยานตงพึงพอใจมากและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าจะยังไงเย่เชียนก็ต้องทำให้ดีที่สุดและถ้าหากยอมแลกด้วยทุกวิถีทางด้วยความกล้าหาญเขาก็จะได้รับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงแทน จากนั้นเขาก็หันไปมองม่อหลงแล้วพูดว่า “คนเดียวที่ฉันชื่นชมมากที่สุดจากตระกูลม่อก็คือม่อหนาน..เขาน่าจะเป็นอาของเอ็งใช่มั้ย?..ฉันหวังว่าเอ็งจะไม่ทำให้ตระกูลม่อต้องเสียหน้าเพราะงั้นเอ็งช่วยแสดงอะไรดีๆให้ฉันดูหน่อยก็แล้วกัน”
“ผมจะทวงศักดิ์ศรีที่เดิมทีเป็นของตระกูลม่อกลับคืนมา..นี่เป็นความรับผิดชอบที่ผมต้องแบกรับในฐานะทายาทคนสุดท้ายของตระกูลม่อ” ม่อหลงพูดอย่างหนักแน่นและนัยน์ตาของเขาก็ไม่มีเจตนาฆ่าอย่างแรงกล้าและมีเพียงความสงบเหมือนน้ำนิ่งซึ่งเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบที่หาได้ยาก
.
.
.
.
.