ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1032 พบปะ
ตอนที่ 1032 พบปะ
……….
การป้องกันปัญหาดีกว่าการแก้ไขเสมอ
เย่เชียนไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะชนะการดวลกับตู้ฟู่เหว่ยได้หรือเปล่าแต่ด้วยวิธีการของหยายตงแล้วเขาก็มั่นใจได้มากขึ้น แต่สิ่งที่เขากังวลตอนนี้ไม่ใช่ผลลัพธ์ของการดวลกับตู้ฟู่เหว่ยแต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการดวลสิ้นสุดลงเพราะสถานการณ์ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นตู้ฟู่เหว่ยจะยอมมอบสำนักม่อจื๊อให้กับม่อหลงจริงๆหรือเปล่า?
อีกทั้งยังมีชาฮัวเอียนศัตรูที่ลึกลับและไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดมากนัก ซึ่งเกรงว่าต่อให้ตู้ฟู่เหว่ยจะเต็มใจมอบสำนักม่อจื๊อให้ม่อหลงก็ตามแต่ชาฮัวเอียนคงจะไม่ยอม ถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆในสำนักม่อจื๊อจะเป็นไปตามคำพูดของตู้ฟู่เหว่ยทั้งหมดก็ตามแต่ใครจะรับประกันได้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น? ดังนั้นการป้องกันและระมัดระวังจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
ในตอนกลางคืนเวลาสองทุ่มตรงทั่วทั้งเมืองซีหนิงก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและไม่ได้มีแสงสีและความครึกครื้นเท่าเมืองแถบชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีนเลย แต่สถานบันเทิงยามค่ำคืนในเมืองซีหนิงก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวเช่นกัน ถึงแม้ว่าไฟนีออนบนถนนจะไม่หวือหวามากก็ตามแต่ก็มีคนสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย
ในบ้านพักของโอ่วหยางหมิงซวนมีชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบห้าหรือสิบหกปีที่ดูหล่อเหลาและอ่อนโยนจนทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากก้นบึ้งถึงหัวใจ แต่ก็มีความเย็นยะเยือกอยู่รอบกายและมีความลึกมากซึ่งบางทีนี่อาจเป็นคำอธิบายที่เหมาะสมสำหรับตัวของชาฮัวเอียน
เขาดูไม่เหมือนคนจีนเพราะนัยน์ตาเขาโตและจมูกโด่งมีผมยาวถึงคาง เขาเป็นชาวซินเจียงและเป็นชนกลุ่มน้อยในเมืองซีหนิง ดังนั้นเขาจึงดูไม่เหมือนใคร ส่วนโอ่วหยางหมิงซวนก็นั่งหันหน้าเข้าหาเขาและมีชุดน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะกาแฟตรงหน้าเขาแล้วสูบบุหรี่อย่างช้าๆ ในขณะที่ชาฮัวเอียนดูสงบและสุขุมอย่างมากและเมื่อพูดถึงสิ่งมึนเมาและการพนันแล้วชาฮัวเอียนไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ไม่เล่นการพนันใดๆทั้งสิ้น เขาดูเหมือนผู้ดีจากชนชั้นสูงอย่างมาก
อย่างไรก็ตามภาคตะวันตกเฉียงเหนือก็ไม่มีใครกล้าดูหมิ่นหรือยั่วยุชาฮัวเอียนเลยยกเว้นคนที่ไม่ทราบรายละเอียดและไม่รู้จักเขา ซึ่งบ่อยครั้งที่ชะตากรรมของคนเหล่านั้นจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมอย่างน่าอนาถ
“นายน้อยโอ่วหยางรู้จักเย่เชียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ชาฮัวเอียนมองไปที่โอ่วหยางหมิงซวนแล้วถาม
โอ่วหยางหมิงซวนก็ตอบว่า “เราเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว”
ชาฮัวเอียนก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หมายความว่าไง?..นี่คุณไม่ได้รู้จักเขาดีแต่คุณยังกล้าเลือกที่จะร่วมมือกับเขาเหรอ?..คุณไม่กลัวว่าเขาจะหักหลังคุณหรือไง?..ถ้าเขาทำแบบนั้นมันจะสายเกินไปที่คุณจะเสียใจทีหลัง”
โอ่วหยางหมิงซวนก็ฉีกยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “นี่ไม่สำคัญเพราะสิ่งที่สำคัญคือประโยชน์ที่เย่เชียนจะมอบให้เรา..เนื่องจากนี่เป็นการร่วมมือกันเพราะงั้นมันจะไม่มีความเสี่ยงก็คงจะไม่ได้..อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเย่เชียนเป็นคนฉลาดและถ้าหากผมไม่ทำให้เขาขุ่นเคืองล่ะก็เขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเราอย่างแน่นอน” หลังจากหยุดไปชั่วขณะโอ่วหยางหมิงซวนก็พูดต่อ “นอกจากนี้ที่นี่ก็ยังมีคุณเพราะเหตุผลที่ผมเชิญคุณมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อให้คุณช่วยพิจารณา..เพราะเราสองคนเป็นเพื่อนกันแต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะปฏิบัติต่อเขาแบบเพื่อนได้..เพราะงั้นถ้าหากคุณรู้สึกไม่ดีหลังจากได้พบเขาคุณก็แค่บอกผมเพราะผมไม่มีปัญหาอะไรและพร้อมที่จะเลิกร่วมมือกับเขาทุกเมื่อ”
ชาฮัวเอียนไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มเบาๆ
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งลูกน้องของโอ่วหยางหมิงซวนก็เดินเข้ามาจากด้านนอกและพูดด้วยความเคารพ “นายน้อยครับคุณเย่มาถึงแล้ว”
โอ่วหยางหมิงซวนก็รีบลุกขึ้นยืนและพูดว่า “เข้าใจแล้ว” หลังจากพูดจบแล้วเขาก็เดินออกไปขณะที่ชาฮัวเอียนนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้คิดที่จะลุกขึ้นเพื่อไปต้อนรับเย่เชียน ซึ่งเขาเป็นคนฉลาดดังนั้นเย่เชียนที่เป็นคนนัดพบกับเขาอย่างกะทันหันมันจะต้องมีบางอย่าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องสงบสติอารมณ์เอาไว้เพื่อพิจารณาจุดประสงค์ของเย่เชียนก่อน
หลังจากออกมาหน้าบ้านแล้วโอ่วหยางหมิงซวนก็รีบทักทายเย่เชียนด้วยความสุภาพแล้วพูดว่า “คุณเย่มาตรงเวลาจริงๆ..ยินดีต้อนรับครับ” จากนั้นดวงตาของโอ่วหยางหมิงซวนก็หันไปที่ร่างของจินเหว่ยห่าวและการแสดงออกของเขาก็ดูแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
ปฏิกิริยาของจินเหว่ยห่าวก็เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเย่เชียนอย่างมากเพราะเขาดูไม่มีความเกลียดชังที่เขามีต่อโอ่วหยางหมิงซวนเลยเพราะเขาดูสงบอย่างมาก แต่เย่เชียนรู้ว่าจินเหว่ยห่าวกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อระงับความโกรธของเขาเอาไว้เท่านั้น
เย่เชียนก็พูดว่า “การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่เราควรจะมี..นายน้อยโอ่วหยางให้ผมแนะนำคุณ..นี่คือพี่ชายของผมม่อหลง..ส่วนเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไรสำหรับนายน้อยโอ่วหยาง..ที่ผมให้คุณจินมาด้วยให้ครั้งนี้เพราะผมรู้ว่าพวกคุณมีปัญหากันเพราะงั้นผมจะเป็นผู้สร้างสันติให้พวกคุณเอง..พี่น้องกับเพื่อนมาก่อนเสมอแต่ผมไม่รู้ว่านายน้อยโอ่วหยางจะรังเกียจหรือเปล่า?”
โอ่วหยางหมิงซวนก็พูดว่า “เนื่องจากนี่เป็นความตั้งใจของคุณเย่เพราะงั้นผมจะยินดีที่จะรับฟัง..เพราะถึงยังไงมิตรก็ย่อมดีกว่าการเป็นศัตรูเสมอ..อันที่จริงผมเองก็คิดมาตลอดว่าถ้าหากผมสามารถแก้ไขความคับข้องใจกับคุณจินได้ก็คงจะดี..ถ้าคุณจินสามารถปล่อยวางเรื่องในอดีตได้ผมก็รู้สึกขอบคุณอย่างมาก”
เย่เชียนหันไปมองจินเหว่ยห่าวแล้วตบไหล่ของเขาเบาๆ จากนั้นจินเหว่ยห่าวก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “เหตุผลที่ผมจะปล่อยวางเรื่องต่างๆได้มันก็ขึ้นอยู่กับว่าผมจะได้ประโยชน์อะไรจากคุณบ้าง”
โอ่วหยางหมิงซวนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วคุณจินต้องการอะไรล่ะ?” แน่นอนว่าหลายปีที่ผ่านมาโอ่วหยางหมิงซวนก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและรำคาญกับสิ่งที่จินเหว่ยห่าวทำมาโดยตลอด แต่เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลโอ่วหยางแล้วเขาก็ไม่กล้าที่จะคุกคามจินเหว่ยห่าวมากเกินไป ถึงแม้ว่าจินเหว่ยห่าวจะถูกตระกูลจินทอดทิ้งและไม่แยแสเลยก็ตามแต่ถ้าหากจินเหว่ยห่าวตายด้วยมือของเขาล่ะก็มันก็เทียบเท่ากับการดูหมิ่นและท้าทายตระกูลจินอย่างโจ่งแจ้งและแน่นอนว่าหากเป็นแบบนั้นตระกูลจินก็จะไม่อยู่เฉยๆและละเลยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
จินเหว่ยห่าวก็ยิ้มเบาๆและไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากหยุดไปชั่วขณะโอ่วหยางหมิงซวนก็พูดต่อ “คุณชาฮัวเอียนมาถึงที่นี่แล้วเพราะงั้นเราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าครับ..เชิญครับคุณเย่”
“ขอบคุณครับนายน้อยโอ่วหยาง” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม ซึ่งการแสดงออกของจินเหว่ยห่าวทำให้เย่เชียนพึงพอใจอย่างมากและดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ทำอะไรอย่างประมาท แน่นอนว่าโอ่วหยางหมิงซวนก็ไม่เชื่อว่าสิ่งต่างๆจะง่ายอย่างที่คิดเพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ยากเกินกว่าจะแก้ไขได้ในวันหรือสองวัน อย่างไรก็ตามตอนนี้อาจจะไม่สะดวกมากนักที่จะพูดแต่อันที่จริงแล้วโอ่วหยางหมิงซวนก็ไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับจินเหว่ยห่าวเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สงสัยในคำพูดของเย่เชียนมากนักเพราะสิ่งที่เย่เชียนพูดมานั้นน่าสนใจอย่างมาก
แน่นอนว่าโอ่วหยางหมิงซวนไม่ได้เชื่อในคำพูดของเย่เชียนในทันทีแต่อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็รู้ถึงจุดประสงค์ของเย่เชียนแล้ว ซึ่งจุดประสงค์หลักของการนัดพบในวันนี้ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับจินเหว่ยห่าว ดังนั้นเขาจึงหยุดคิดเรื่องนี้เอาไว้ชั่วคราว
เมื่อพวกเขาเข้ามาในห้องร่างของชาฮัวเอียนซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นก็ดึดดูดสายตาของเย่เชียนเพราะรอบๆตัวของชาฮัวเอียนปริศนาซึ่งค่อนข้างเข้าใจยาก เมื่อเห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาชาฮัวเอียนก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เย่เชียนแล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปมองม่อหลงที่อยู่ข้างๆที่กำลังเผยรอยยิ้มที่ลึกล้ำจนทำให้ชาฮัวเอียนอดคิดไม่ได้ว่าม่อหลงกำลังคิดอะไรอยู่
“ให้ผมแนะนำให้พวกคุณรู้จัก..นี่คือคุณชาฮัวเอียนศิษย์เอกที่น่าภาคภูมิใจของตู้ฟู่เหว่ยเจ้าสำนักม่อจื๊อ” โอ่วหยางหมิงซวนพูด “คุณฮัวนี่คือเย่เชียนส่วนสองคนนี้คือม่อหลงและจินเหว่ยห่าว”
“สวัสดีครับคุณชา” เย่เชียนยื่นมือออกมาแล้วพูด
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ในเมื่อคุณชาอยู่ที่นี่ผมก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรขนาดนั้นจริงมั้ย?”
“ผมไม่ชอบพบปะกับคนแปลกหน้าและถ้าหากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของนายน้อยโอ่วหยางผมคงไม่มาที่นี่หรอก” ชาฮัวเอียนพูด “แต่ในเมื่อผมมาที่นี่แล้วผมก็อยากจะรู้จริงๆว่าคุณเย่ต้องการที่จะพบผมทำไม?..คุณเองก็น่าจะรู้ดีเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างพวกเราและเราก็อยู่ในสถานะที่เป็นศัตรูกันในตอนนี้..เพราะไม่คุณก็ผมที่จะต้องตายไปข้าง”
เย่เชียนก็ดึงมือกลับอย่างขมขื่นและไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนโอ่วหยางหมิงซวนก็เหลือบมองทั้งสองฝ่ายด้วยความประหลาดใจแล้วพูดว่า “ขอโทษที่ต้องถามอย่างกะทันหันนะ..คุณฮัวกับเขาเคยเจอกันม่อก่อนหรือเปล่า?”
“ไม่..แต่ผมรู้จัก” ชาฮัวเอียนพูดต่อ “นายน้อยโอ่วหยางคุณไม่รู้แม้กระทั่งรายละเอียดของพวกเขางั้นเหรอ?..คุณกล้าเลือกที่จะร่วมมือกับพวกเขาท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ?..ผมล่ะชื่นชมกว่ากล้าบ้าบิ่นของคุณจริงๆ..เขาคือม่อหลงเป็นหลานชายของอดีตเจ้าสำนักม่อจื๊อ..เขาเป็นทายาทสายเลือดแท้ของตระกูลม่อ” ชาฮัวเอียนมองไปที่ม่อหลงแล้วพูด
โอ่วหยางหมิงซวนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างลับๆเพราะดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด ซึ่งเขาได้ยินมาว่าลูกหลานของตระกูลม่อนั้นตายไปหมดแล้วในการต่อสู้ครั้งนั้นของสำนักม่อจื๊อและทำให้สาวกหมิงม่อต่างก็ถอนตัวออกจากสำนักไป แต่ทำไมจู่ๆถึงได้มีทายาทตระกูลม่อปรากฎตัวออกมา ดังนั้นโอ่วหยางหมิงซวนก็รู้ว่าเรื่องต่างๆคงไม่ง่ายอย่างที่คิดดเพราะม่อหลงเป็นถึงทายาทของตระกูลม่อดังนั้นเขาก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อได้ยินแบบนั้นโอ่วหยางหมิงซวนก็ยิ้มอย่างเขินอาย “ผมไม่รู้จริงๆว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแบบนี้..เอ่อ..คือ” โอ่วหยางหมิงซวนลังเลและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“นอกจากนี้อีกสองวันต่อจากนี้พวกเขากับอาจารย์ของผมจะดวลกันและมันมีความตายเป็นเดิมพัน..โดยฝ่ายที่ชนะจะได้สำนักม่อจื๊อไปครอง..ซึ่งมันจะกลับไปอยู่ในมือของสาวกหมิงม่อและตระกูลม่อ” ชาฮัวเอียนพูด “ซึ่งดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วคุณเย่ดูไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยและยังมีเวลามาที่นี่อีก..ดูเหมือนว่าคุณเย่จะมีโอกาสชนะอยู่สินะ”
เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วที่คุณชามาพบกับผมแบบนี้คุณไม่กลัวอาจารย์ของคุณสงสัยเลยเหรอ?”
.
.
.