ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1023 ประตูแปดด่าน
ตอนที่ 1023 ประตูแปดด่าน
……….
ไม่ใช่ว่าเย่เชียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนและทำเป็นอ่อนแอตลอดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่หยิ่งผยองแต่นี่กรณีนี้เป็นเรื่องจริงที่เย่เชียนกับม่อหลงเสียเปรียบตู้ฟู่เหว่ยอย่างสมบูรณ์แบบและไม่ต้องสงสัยเพราะถึงแม้ว่าเย่เชียนกับม่อหลงจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างยาวนานทั้งคู่และมีประสบการณ์การผ่านสนามรบมามากมายแต่ทว่าตู้ฟู่เหว่ยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กและเขาก็ขัดเกลาฝีมือมาตั้ง 50 กว่าปีแล้ว
หากเขาต้องการเอาชนะตู้ฟู่เหว่ยล่ะก็เขาต้องคิดทักษะพิเศษขึ้นมาใหม่และนี่คือสิ่งที่เย่เชียนกังวลในตอนนี้ อันที่จริงเดิมทีมันเป็นไปได้ที่จะใช้ความแข็งแกร่งของตระกูลเย่และตระกูลหม่าและแม้แต่เขี้ยวหมาป่าเพื่อทำลายสำนักม่อจื๊อเพราะเย่เชียนรู้ดีว่าม่อหลงตามหาสิ่งเหล่านี้มาทั้งชีวิตและเย่เชียนก็เข้าใจ ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่อยากที่จะทำลายสำนักม่อจื๊อเพราะในฐานะพี่น้องแล้วเย่เชียนก็รู้ว่าเส้นทางนี้ยากมากที่จะเดินเข้าไปแต่เขาก็พร้อมจะเดินไปกับม่อหลงโดยไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสหยานครับศาสตร์ศิลปะการต่อสู้โบราณของคุณนั้นลึกซึ้งกว่าของเรามากและผมก็สงสัยว่าคุณมีวิธีที่จะฝึกฝนพวกเราอย่างรวดเร็วหรือเปล่า..เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันผมกับม่อหลงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตู้ฟู่เหว่ยเลย..ถึงแม้ว่าในแง่ของการเคลื่อนไหวผมจะไม่เสียเปรียบเขามากนักแต่เมื่อเทียบกับตู้ฟู่เหว่ยแล้วความแข็งแกร่งของพวกเราก็ยังน้อยเกินไปอยู่ดี” เย่เชียนพูดเพราะหยานคงกับพ่อของเขารู้จักกันดีและทั้งคู่ก็เป็นอัจฉริยะด้านศิลปะการต่อสู้โบราณ ดังนั้นบางทีเขาอาจจะมีวิธีการฝึกฝนอย่างรวดเร็ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหยานตงก็พูดว่า “ไม่ใช่ว่าไม่มีทางแต่มันก็ค่อนข้างที่จะอันตราย..อันที่จริงพ่อของเอ็งก็เป็นคนบอกวิธีนี้กับฉันในสมัยก่อน..เขาบอกว่าถ้าไม่มั่นใจก็อย่าฝึกฝนมันเพราะคนที่ไม่เชี่ยวชาญอาจถึงแก่ชีวิตหรือเป็นอัมพาตได้เลย”
เย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพราะเห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างมากแต่เย่เชียนก็ไม่มีทางเลือกอื่น บางทีเขาอาจจะพบสิ่งที่สำคัญที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้ “ผมไม่มีปัญหาแล้วเขาล่ะพอจะไหวหรือเปล่า?” เย่เชียนถามและม่อหลงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หยานตงและท่าทางของเขาก็ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
หยานตงก็หันไปมองม่อหลงแล้วพูดว่า “ถ้าฉันเดาไม่ผิดเคยมีคนถ่ายทอดพลังปราณให้กับเอ็งใช่มั้ย?”
ม่อหลงก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วงและพูดว่า “แต่ผมยังไม่มีวิธีที่จะดูดซับพลังงานนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบเลย”
“อืม” หยานตงพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “อันที่จริงแผนยาจีนโบราณและศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นมาจากตำราเดียวกัน..พ่อของเอ็งเคยพัฒนาวิธีการปรับปรุงยาสำหรับเสริมพลังทางกายภาพและขัดเกลาพลังปราณอย่างรวดเร็วด้วยยาจีนโบราณ..แต่ถึงแม้ว่ามันจะอันตรายมากแต่สรรพคุณของมันก็ไม่ธรรมดาและในความเป็นจริงสมัยก่อนนั้นก็มีตำนานเล่าขานกันว่ามีปรมาจารย์ที่บินอยู่บนท้องฟ้าได้แต่บางคนก็คิดว่านี่เป็นแค่นวนิยายแต่กลับกลายเป็นว่ามันมีอยู่จริงๆ..นั่นหมายถึงปรมาจารย์ที่เปิดประตูทั้งแปดด่านหรือขีดจำกัดทั้งหมดในร่างกายนั่นเอง..ได้แก่..ประตูแห่งการบุกเบิก..ประตูแห่งการตื่นขึ้น..ประตูแห่งชีวิต..ประตูแห่งการสูญเสีย..ประตูแห่งการรุกราน..ประตูแห่งการรู้แจ้ง..ประตูแห่งความพินาศและประตูแห่งความตาย..ประตูทั้งแปดด่านนี้ควบคุมการไหลของปราณในร่างกายมนุษย์..ซึ่งถ้าหากประตูทั้งแปดนี้ถูกเปิดออกคนๆหนึ่งจะมีพลังที่แข็งแกร่งมากแต่ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเช่นกันและนั่นคือความตาย..พ่อของเอ็งเคยเปิดได้ถึงด่านที่หกแต่เขาบอกว่านี่คือขีดจำกัดของเขาแล้ว..ฉันเองก็ฝึกฝนมายี่สิบปีจนตอนนี้ฉันเปิดได้เพียงแค่ประตูที่ห้าเท่านั้น..ถ้าจะเอาชนะตู้ฟู่เหว่ยล่ะก็นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้นแต่ถ้าไม่จำเป็นฉันหวังว่าพวกเอ็งจะไม่เลือกวิธีนั้นเพราะสำหรับคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมานานมันอันตรายเกินไป”
“เนื่องจากนี่เป็นทางเดียวของเราเพราะงั้นเราจึงจำเป็นต้องลองและไม่ว่ามันจะอันตรายแค่ไหนเราก็จะทำ..ไม่งั้นการประลองกับตู้ฟู่เหว่ยมันก็เหมือนกับการเดินเข้าไปหาความตายไม่ใช่เหรอ?..ถ้าเป็นแบบนั้นเรายอมเสี่ยงตายจะดีกว่า” เย่เชียนพูดต่อ “ผู้อาวุโสหยานช่วยบอกวิธีเปิดประตูทั้งแปดด่านให้เราหน่อยจะได้หรือเปล่า?”
“ได้อยู่แล้ว” หยานตงพูด “อันที่จริงประตูทั้งแปดด่านนั้นเชื่อมต่อกับเส้นประสาทของร่างกายมนุษย์และวิธีเดียวที่จะเปิดมันได้ก็คือเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกับพลังปราณของเราเสียก่อน..ถึงแม้ว่าแกจะเปิดประตูแปดด่านได้แต่พลังปราณในร่างกายก็ระเบิดออกและตายภายในเวลาสามนาที..ดังนั้นฉันขอแนะนำว่าอย่าลองมันเลย..เพราะถ้าพวกเอ็งจะใช้วิธีนี้พวกเอ็งก็ต้องเอาชนะตู้ฟู่เหว่ยให้ได้ภายในสามนาทีเท่านั้น”
“ผู้อาวุโสหยานไม่ต้องกังวลไปหรอก..ถ้าเรามีทางเลือกอื่นเราก็คงจะไม่เลือกวิธีนี้หรอก” เย่เชียนพูดและหลังจากนั้นเขาก็หันไปมองม่อหลงแล้วพูดว่า “พี่ม่อหลงกลับไปก่อนเถอะ..เดี๋ยวผมปรึกษาผู้อาวุโสหยานอีกสักพัก”
ความหมายของเย่เชียนนั้นชัดเจนมากและเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้ม่อหลงกลับไปก่อน แต่ม่อหลงก็ไม่รู้ว่าเย่เชียนมีจุดประสงค์อะไรแต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้คัดค้าน “บอส!..เดิมทีมันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับตู้ฟู่เฟว่ยเพราะงั้นฉันจะไม่ยอมให้บอสเข้าไปเสี่ยงคนเดียวหรอก..มันคือหน้าที่ของฉันเพราะงั้นให้ฉันทำมันเถอะ”
เมื่อกี้หยานตงได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่าการเปิดประตูทั้งแปดด่านนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายมากและจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ยอมให้ม่อหลงเสี่ยงไปด้วยแต่ม่อหลงเองก็ไม่ยอมให้เย่เชียนต้องไปเสี่ยงคนเดียว เมื่อเห็นมิตรภาพระหว่างพี่น้องเขี้ยวหมาป่าที่จริงใจแบบนี้อีกครั้งหยานตงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างมาก
เย่เชียนตบไหล่ของม่อหลงเบาๆแล้วพูดว่า “ผมเป็นผู้นำของพี่เพราะงั้นมันคือหน้าที่ของผมที่จะดูแลพี่..เรื่องของพี่น้องเขี้ยวหมาป่าทุกคนก็เหมือนเรื่องของผมเพราะงั้นผมจะไม่ยอมให้พี่น้องของผมเป็นอะไร..ส่วนเรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไปเพราะโดยพื้นฐานแล้วพลังปราณของผมแข็งแกร่งกว่าของพี่ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดอันตรายก็ต่ำกว่ามาก”
“ไม่..ฉันไม่เห็นด้วย” ม่อหลงพูดอย่างแน่วแน่ “บอส..อย่าทำแบบนี้เลยเพราะบอสคอยดูแลพวกเรามานานหลายปีแล้วและทุกครั้งบอสก็เสี่ยงอันตรายเสมอ..แต่ครั้งนี้มันถึงตาของพวกเราแล้วและยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้มันเป็นเรื่องของฉันเพราะงั้นบอสก็แค่ให้ฉันรับผิดชอบต่อหน้าที่..อีกอย่างถ้าหากฉันไม่สามารถเอาชนะตู้ฟู่เหว่ยได้ล่ะก็ในอนาคตฉันจะสามารถเป็นผู้นำสำนักม่อจื๊อได้ยังไง?”
เย่เชียนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่หยานตงก็โบกมือเพื่อหยุดเขาแล้วพูดว่า “อันที่จริงมันก็ไม่ได้ยากถึงขนาดนั้นหรอกเพราะด้วยความสามารถของพวกเอ็งในปัจจุบันก็ถือได้ว่าไม่มีปัญหาอะไรสำหรับการเปิดประตูด่านที่สอง..ซึ่งในการต่อสู้กับตู้ฟู่เหว่ยนั่นจำเป็นที่จะต้องเปิดประตูด่านที่สี่แต่พวกเอ็งลืมไปแล้วเหรอว่ามันคือการต่อสู้แบบสองต่อหนึ่งเพราะงั้นทำไมพวกเอ็งทั้งสองก็แค่เปิดประตูด่านที่สองพร้อมๆกันแค่นั้นก็เทียบเท่ากับประตูด่านที่สี่แล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทั้งสองก็ชำเลืองมองกันและกันและทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก อันที่จริงนี่เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นเท่านั้นเพราะจากการต่อสู้กับกับตู้ฟู่เหว่ยก่อนหน้านี้แล้วหากโจมตีร่วมกันกับม่อหลงล่ะก็ความแตกต่างก็ไม่หากไกลกันมากมัก ดังนั้นพวกเขาก็เชื่อว่าการเปิดประตูด่านที่สองพร้อมๆกันก็เพียงพอที่จะรับมือกับตู้ฟู่เหว่ยได้แล้ว ที่สำคัญกว่านั้นจนถึงตอนนี้เย่เชียนก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะแตกต่างไปจากผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณคนอื่นๆมากนัก เพราะเย่เจิ้งหรานเป็นที่รู้จักในฐานะอัจฉริยะด้านศิลปะการต่อสู้โบราณและความสามารถของเขาก็ได้ก้าวข้ามไปไกลกว่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณคนอื่นๆในปัจจุบันมาก ดังนั้นการที่เย่เจิ้งหรานได้ผนึกพลังอันทรงพลังเอาไว้ในร่างกายของเย่เชียนอาจไม่ใช่เพราะเขาต้องการขจัดความเจ็บปวดของเขาเอง ซึ่งถ้าหากถามว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้แน่นอนว่าเขาไม่ได้พยายามที่จะหนีไปจากความเจ็บปวดแต่เขาหวังว่าเย่เชียนจะสามารถเติมเต็มความฝันของเขาได้และก้าวข้ามโลกศิลปะการต่อสู้ในอนาคตและไปถึงจุดที่เขาไปไม่ถึงนั่นเอง
และดูเหมือนหยานตงจะเห็นอะไรบางอย่างเพราะพูดได้เลยว่าเขารู้จักเย่เจิ้งหรานมากที่สุด ซึ่งทุกคนอาจคิดว่าเขากับเย่เจิ้งหรานเป็นศัตรูกันแต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นหยานตงจึงเชื่อว่าเย่เจิ้งหรานจะไม่ทำสิ่งต่างๆโดยปราศจากการไตร่ตรองทื่ถี่ถ้วน ดังนั้นเนื่องจากเย่เจิ้งหรานได้ผนึกพลังบางอย่างเอาไว้ในร่างกายของเย่เชียนแบบนี้เขาก็ต้องมีความลับบางอย่างที่ไม่เคยได้บอกใครเอาไว้อย่างแน่นอน
ปีศาจแห่งการทำลายล้าง? หยานตงอดไม่ได้ที่จะคิดสิ่งที่เย่เจิ้งหรานเคยพูดกับเขาเมื่อนานมาแล้ว
คืนนั้นเย่เชียนและม่อหลงตามหยานตงกลับไปที่บ้านพักของเขาและหยานตงก็เริ่มบอกพวกเขาเกี่ยวกับรายละเอียดในการเปิดประตูทั้งแปดท่านรวมถึงความสามารถและทักษะพิเศษของเขาเองซึ่งทำให้เย่เชียนกับม่อหลงได้รับประโยชน์และความรู้มากมาย หลังจากนั้นหยานตงก็เรียกเย่เชียเนข้าไปในห้องและพูดคุยกับเขาเพียงลำพังเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงและเมื่อเย่เชียนออกจากห้องสีหน้าของเย่เชียนก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย
ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงสุดคืออะไร?
โดยธรรมชาติแล้วม่อหลงจะไม่ถามว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันแต่เมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เชียนที่ดูโล่งใจแล้วม่อหลงก็โล่งใจเช่นกันเพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามแต่ทั้งหยานตงกับเย่เชียนก็ดูสบายใจอย่างมาก
หลังจากบอกลาหยานตงแล้วทั้งสองก็กลับไปที่โรงแรมที่พวกเขาพักและเมื่อหลี่เหว่ยกับชิงเฟิงถามว่าพวกเขาคุยอะไรกับหยานตงบ้างเย่เชียนกับม่อหลงก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ซึ่งถึงแม้ว่าหลี่เหว่ยกับชิงเฟิงต่างก็สงสัยแต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดมากเมื่อเห็นเย่เชียนกับม่อหลงไม่มีความกังวลใจเหมือนก่อนหน้านี้
ส่วนจือเหวินก็ยังไม่ได้นอนเพราะเธอกำลังรอเย่เชียนอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่หลังจากเห็นเย่เชียนกลับมาเธอก็สงบและรีบทักทายเขา ในขณะนี้เธอไม่ใช่แม่ม่ายดำที่เยือกเย็นอีกต่อไปแต่กลายเป็นภรรยาที่เอาใจใส่และน่ารัก
อีกสามวันต่อมาจะเป็นศึกตัดสินและจือเหวินเองก็รู้ดีดังนั้นเธอจึงไม่รบกวนเย่เชียนในตอนกลางคืนแต่ขอให้เขาโชคดีและตั้งใจ เพราะไม่มีใครกล้าละเลยการประลองตัดสินในครั้งนี้เพราะคือศึกแห่งชีวิตและความตายที่แท้จริงและใครก็ตามที่แพ้ก็จะต้องสังเวยชีวิตให้แก่ผู้ชนะ!
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นบนท้องฟ้าเย่เชียนก็ถูกปลุกด้วยการเคาะประตู “บอส!..โอ่วหยางหมิงซวนจากตระกูลโอ่วหยางมาที่นี่และเขาบอกว่าต้องการคุยกับบอส” เสียงดังมาจากนอกประตูและเป็นเสียงของหลี่เหว่ย
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วคิดอย่างลับๆว่า ‘โอ่วหยางหมิงซวนต้องการอะไรจากเขา?’ หลังจากหยุดไปชั่วขณะและเย่เชียนก็พูดว่า “นายไปต้อนรับเขาก่อนเดี๋ยวฉันจะตามไปทันที”
หลี่เหว่ยตอบและหันหลังเดินออกไป ซึ่งเย่เชียนรู้สึกประหลาดใจมากที่โอ่วหยางหมิงซวนมาหาเขาอย่างกะทันหันแบบนี้
.
.