ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 17 หนานหว่านเยียน ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 17 หนานหว่านเยียน ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ
“ท่านอ๋องมาที่นี่ทำอะไรกัน?” หนานหว่านเยียนเอ่ยตัดบทถามขึ้นก่อนเลย
กู้โม่หานไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติ มองดูใบหน้างามขาวเนียนของหนานหว่านเยียน พูดอย่างเนือยๆว่า “ข้ามาเตือนเจ้า พรุ่งนี้เจ้าต้องตามข้าเข้าวัง ไปร่วมงานเลี้ยงของไทเฮา”
ระหว่างพูด สายตาเขาส่อแววรังเกียจขั้นสุด “ข้ารู้ว่าไทเฮาโปรดปรานเจ้านัก แต่ข้าเตือนเจ้าไว้นะว่าให้ทำตัวดีๆ เจ้าก็แค่พระชายาที่มีเพียงชื่อคนหนึ่งเท่านั้นเอง!”
ร่วมงานเลี้ยงในวัง?
ดวงตาหนานหว่านเยียนหรี่ลง เริ่มครุ่นคิดในใจ
ถ้าเธอสามารถออกจากจวนไปในวัง เท่ากับว่ามีโอกาสในการพลิกตัวเอาชนะที่ดีที่สุด!
เขาเห็นหนานหว่านเยียนไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก พูดเสียงขรึมใส่ว่า “ใบ้กินแล้วรึ? ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ เจ้าไม่รู้จักรับคำรึ?”
หนานหว่านเยียนมองใบหน้าเละเทะนั่นของกู้โม่หาน ก็ไม่โกรธ แต่กลับบอกยิ้มๆว่า “ที่ท่านอ๋องพูดมาน่ะข้าได้ยินหมดแล้ว เจอกันพรุ่งนี้”
ผู้ชายสารเลวรอถึงพรุ่งนี้ เธอจะให้เขาได้รู้สักทีว่าเลือดมันสีอะไรกันแน่!
กู้โม่หานตาพร่าไปกับรอยยิ้มของนาง จากนั้นแค่นเสียงเย็นออกมา เอ่ยเตือนว่า “ตอนกลางคืนจำไว้ว่าต้องไปรักษาให้เสิ่นอี่ว์ด้วย!”
พูดจบ เขาสะบัดชุดคลุมดำ เดินหน้าตึงออกจากเรือน
ระหว่างทางที่กู้โม่หานกลับไปห้องหนังสือ มักมีคนรับใช้ทนไม่ไหวมองเขาหลายครั้ง
ก็แค่โดนสาดน้ำ คนพวกนี้ต้องถึงกับมองเขาอย่างนี้รึ?
กู้โม่หานไม่พอใจ แต่ติดที่กลัวเสียหน้าเลยไม่ได้ถามอะไรมากความ ได้แต่เดินจ้ำๆเข้าห้องหนังสือไป
ในตอนนี้เอง พ่อบ้านกาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาจะมารายงาน พอเข้ามาก็เห็นกู้โม่หานที่กำลังนั่งตัวตรงแน่วอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
พอมองใบหน้านั้นแล้ว พ่อบ้านกาวก็ตกใจมาก ถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที
“ท่านอ๋อง นี่ท่าน…” พ่อบ้านกาวสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ทนไม่หัวเราะออกมาทัน
ในที่สุดกู้โม่หานก็ทนไม่ไหว ถามขึ้นสีหน้าเคร่งเครียดว่า “หน้าข้ามันมีอะไรกันแน่? พวกเจ้าแต่ละคนถึงได้เห็นแล้ว ถ้าไม่ใช่สิ้นหวังก็อดหัวเราะไม่ได้!”
พ่อบ้านกาวรีบก้าวขึ้นหน้า และยื่นคันฉ่องไปให้เขาด้วยท่าทางระมัดระวัง “ท่านดู…”
กู้โม่หานรับคันฉ่องมา เห็นว่า ใบหน้าที่เดิมหล่อเหลาของเขา บัดนี้โดนวาดเต่าสีเขียว และยังมีดอกไม้สีแดง หญ้าสีเหลือง… เรียกได้ว่าดูไม่จืดเลย!
เขาผลุดตัวลุกขึ้นทันที ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะหนักๆทันที ตะคอกดังว่า “เด็กหญิงสองคนช่างบังอาจนัก!”
ต้องเป็นเด็กสองคนนั่นอาศัยช่องว่างที่เช็ดหน้าให้เขา เอาหน้าเขาเป็นผ้าละเลงวาดอย่างสนุกสนาน!
และเขายังเดินร่อนไปกว่าครึ่งจวนอ๋องด้วยใบหน้าเละเทะเช่นนี้!
ตอนนี้คิดๆดูถึงสีหน้าหนานหว่านเยียน เห็นได้ชัดว่าทำเขาเป็นตัวตลก แต่นางกลับไม่บอก และยังไม่ยอมให้คนรับใช้เตือนเขาด้วย!
สตรีผู้นี้! ชั่วช้ามากจริงๆ!
กู้โม่หานโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยเสียหน้าเช่นนี้มาก่อน!
แต่ต่อให้กู้โม่หานโกรธแทบบ้าขนาดไหน ในใจก็ไม่มีความคิดจะลงโทษเจ้าก้อนแป้งกับเกี๊ยวน้อยเลยสักนิด
เขาทำอะไรเด็กดื้อสองคนนี้ไม่ได้จริงๆ…
ไม่เหมือนกับบรรยากาศแปลกประหลาดในห้องหนังสือ ที่เรือนเซียงหลินกลับมีบรรยากาศครึกครื้นสนุกสนาน
รอจนกู้โม่หานออกไป หนานหว่านเยียนก็โผกอดสองสาวพี่น้อง หอมแก้มคนละทีพลางว่า “ซาลาเปา เกี๊ยวน้อยทำได้เยี่ยมมาก!”
สองสาวพี่น้องได้รับคำชม ในใจก็รู้สึกยินดียิ่ง ใบหน้านั้นยิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
แต่หนานหว่านเยียนกลับเปลี่ยนเรื่องพูดต่อว่า “แต่ว่านะ การกลั่นแกล้งเช่นนี้ใช้เอามาจัดการคนชั่วเท่านั้น พวกเจ้าสองคนต้องจำไว้นะว่า อย่าได้เอามารังแกคนอื่นเด็ดขาด รู้หรือไม่?”
สองสาวพี่น้องพยักหน้า
เกี๊ยวน้อยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จำได้แล้วเจ้าค่ะท่านแม่!”
เจ้าก้อนแป้ง “ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่เจ้าค่ะ!”
หนานหว่านเยียนพอใจกับท่าทางของเด็กสองคนมาก และวางพวกนางลงบนเก้าอี้
“วันนี้ควรจะท่องหนังสือแล้วใช่หรือไม่? กฎเดิม ใครท่องได้ก่อนกินข้าวก่อน! คนที่ท่องไม่ได้ลงโทษให้พรุ่งนี้คัดหนังสือ!”
ห้าปีมานี้หนานหว่านเยียนกับเด็กสองคนไม่อาจออกจากจวนได้ ดังนั้นเธอเลยเป็นคนสอนสองสาวพี่น้องร่ำเรียนด้วยตัวเอง อีกทั้งหนานหว่านเยียนก็เป็นคนกำหนดเวลาท่องหนังสือให้เองด้วย
พอได้ยินว่าท่องหนังสือ สีหน้าเกี๊ยวน้อยก็ง้ำลงทันที ปากน้อยๆเบ้อย่างไม่พอใจ ซาลาเปากลับมีท่าทางตื่นเต้น สายตาส่องประกายอีกต่างหาก
เหล่าคนรับใช้ที่เดิมยังติดใจเรื่องใบหน้าเละเทะนั่นของกู้โม่หานพากันรายล้อมเข้ามา สีหน้าประหลาดใจมาก
เซียงเหลียนเซียงอี่ว์ยิ่งมีสีหน้าสงสัยมากขึ้น
ท่องหนังสืออะไรคัดหนังสืออะไร?
พระชายามิใช่เป็นคนโง่ที่มิเป็นอะไรสักอย่างรึ?
หนานหว่านเยียนไม่ได้มองสีหน้าของเหล่าคนรับใช้ แต่กลับพินิจมองปฏิกิริยาของสองสาวพี่น้องอย่างละเอียด จากนั้นก็หยอกแก้มซาลาเปาเบาๆ
“ซาลาเปา เจ้าเริ่มก่อน ‘หลังจากฝนตกใหม่บนภูเขาที่ว่างเปล่า อากาศในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง’”
“‘ดวงจันทร์สว่างไสวท่ามกลางต้นสน และหินน้ำพุใสไหลขึ้นข้างบน。เสียงต้นไผ่กลับมาที่ฮวนหนู และดอกบัวก็เคลื่อนตัวออกจากเรือประมง。ปล่อยความงดงามของฤดูใบไม้ผลิเป็นอิสระ คณาธิปไตยก็อยู่ต่อไป。” ซาลาเปาท่องต่อได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีลังเลเลยสักนิด
หนานหว่านเยียนยิ้มหวาน ประกายความภูมิใจในแววตาบ่งบอกชัด
ลูกสาวของตนฉลาดจริงๆ!
จากนั้นเธอหันมองเกี๊ยวน้อยที่ทำหน้ามุ่ย ลากเสียงยาวว่า “เกี๊ยวน้อย ตาเจ้าแล้ว”
เกี๊ยวน้อยจ้องหนานหว่านเยียนด้วยสีหน้ามุ่ยสายตาเว้าวอน สบตากับหนานหว่านเยียนห้าวินาที หลังจากพบว่านางไม่หวั่นไหวเลยสักนิด ถึงพูดเสียงอ่อยว่า “ท่านแม่ ข้า ข้าท่องไม่ได้….”
หนานหว่านเยียนคุ้นชินกับการตอบของลูกสาวคนโต แต่เธอไม่ได้กล่าวโทษ
“งั้นคืนนี้ท่านแม่อยู่คัดหนังสือเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่? เจ้าดูสิซาลาเปาท่องได้ดีมากขนาดนั้น เกี๊ยวน้อยของเราก็ไม่สามารถแพ้ได้ใช่หรือไม่?”
ระหว่างพูด หนานหว่านเยียนจูงมือของทั้งสองคนขึ้นมา
“แม่ไม่ได้คาดหวังให้พวกเจ้าหมากหมั่นพากเพียรร่ำเรียนเป็นนักปราชญ์อะไร แต่หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถเรียนรู้ให้มากหน่อย เพราะหลังจากได้เล่าเรียน พวกเจ้าก็จะมีความสามารถในการครุ่นคิดเรื่องต่างๆด้วยตัวเองมากขึ้น จะได้ไม่โดนผู้อื่นชักจูงได้ง่าย เรียนไม่รู้เรื่องชั่วคราวมิเป็นไร แม่จะคอยอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า เราค่อยๆเรียนไปดีหรือไม่?”
ที่เดิมสีหน้ามุ่ยพลันยิ้มหวานทันที “อื้อ! เกี๊ยวน้อยจะไม่มีทางทำให้ท่านแม่ผิดหวังดอก! ครั้งหน้าจะต้องท่องให้ได้แน่!”
เจ้าก้อนแป้งเองก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น ใบหน้าน้อยๆแดงเรื่อ
หนานหว่านเยียนหยิบพุทราเชื่อมขึ้นมาหนึ่งไม้ ยื่นให้ซาลาเปา “วันนี้ซาลาเปาท่องได้ดี แม่จะตกพุทราเชื่อมเป็นรางวัลให้ไม้หนึ่ง เกี๊ยวน้อยเองก็ต้องพยายามนะ!”
เจ้าก้อนแป้งรับพุทราเชื่อมไป สายตาตื่นเต้นมาก “ขอบคุณท่านแม่!”
จากนั้นเจ้าก้อนแป้งหมุนตัวยื่นให้เกี๊ยวน้อยที่มองดูตาเป็นมันอยู่ “พี่สาวกินก่อนเลย!”
ถึงเกี๊ยวน้อยจะอยากกิน แต่นางรู้ดีว่านี่เป็นรางวัลที่ท่านแม่ให้กับซาลาเปา ดังนั้นนางจึงโบกมือ
“นี่ท่านแม่ให้เจ้า ซาลาเปา เจ้ากินเองเถอะ รอครั้งหน้าพี่ท่องได้ พี่ก็จะได้กินละ”
หนานหว่านเยียนเห็นการเสียสละให้กันของสองสาวพี่น้อง เธอยินดีกับการรู้และเข้าใจของเกี๊ยวน้อย เธอรู้สึกตื้นตันใจนัก รู้สึกว่าโชคดีมาก
ถึงเธอจะมายังยุคสมัยที่แปลกหน้านี้อย่างโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ยังต้องมาเจอผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงกับครอบครัว แต่มีสองสาวพี่น้องอยู่เป็นเพื่อน ก็รู้สึกว่าชีวิตมันดูสวยงามขึ้นไม่น้อย
“ดี ท่องเสร็จแล้ว กินข้าว”
เด็กน้อยสองคนหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวทันที
คนรับใช้ที่รายล้อมอยู่เมื่อครู่มองหน้ากันไปมาด้วยสีหน้าตกตะลึง
ต่างว่ากันว่าพระชายาเป็นสตรีที่สมองว่างเปล่า ไม่มีความรู้ใดๆเลย
แต่พระชายาไม่เพียงท่องบทกลอนได้ และวิธีที่ใช้ในการสั่งสอนอบรมนายน้อยทั้งสองทั้งแปลกใหม่และยังใช้ได้จริง นี่มิใช่อะไรที่สตรีธรรมดาจะทำได้เลย!