ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่195 ผู้หญิงไม่ควรยุ่ง
ตอนที่195 ผู้หญิงไม่ควรยุ่ง
“ยังไงก็เถอะ…”
ชายคนนั้นชี้นิ้วไปที่กลางโถงจัดปาร์ตี้พร้อมกับพูดต่อว่า
“ถ้าเธอยังไม่รีบออกไปจัดการ เกรงว่าภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ทุกคนภายในปักกิ่งคงจะรู้หมดว่า ภายในงานปาร์ตี้ของว่าที่สาวสวยอันดับหนึ่ง ฮั่วหรู่หยาน เกิดเรื่องชุลมุนชกต่อยกันจนวุ่นวายยุ่งเหยิงไปหมด อ่อแล้วก็นะ มีอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะเตือนเธอไว้ อย่าได้ประมาทสาวน้อยคนนั้นเชียวล่ะ ภูมิหลังของเธออาจจะแข็งแกร่งมากก็ได้ จะทำอะไรก็ควรระวังหน้าระวังหลังไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นเธออาจจะซวยเอา”
ฮั่วหรู่หยานพยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“คนที่สามารถทำให้คุณผู้ชายแถวนี้เตือนฉันให้ระวังตัวได้ สงสัยจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจริงๆ แต่ฉันค่อนข้างถูกใจเธอนะพ่อหนุ่ม แต่ยังไงก็คงต้องขอตัวก่อนแล้วกัน”
เมื่อหญิงสาวเดินลากชุดราตรีสีแดงเพลิงออกไป ชูซินฮังก็ได้แต่เหลียวมองเธอจากไปตาไม่กระพริบ จนกระทั่งในที่สุดเธอก็เดินลับสายตา
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงมุมมืดเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นต่อว่า
“เอาล่ะ ไหนๆขวัญใจเธอก็ออกไปแล้ว เสี่ยวฮังบอกฉันได้รึยังว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
ชูซินฮังร้องอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า
“อ๊ะ! พี่ฟางนี่พี่รู้ด้วยเหรอว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่?”
ชายคนนั้นหัวเราะพลางส่ายหัว
“นายนี่ก็นะ ช่างเป็นเด็กไร้เดียงสาซะจริงๆ อุตส่าห์มีใบหน้าสวยขนาดนี้ ใช้ให้มันคุ้มหน่อยสิ ก่อนหน้านี้นายไม่รู้ตัวเหรอว่า เวลานายมองผู้ชายคนนั้น มันดูราวกับว่า นายอยากจะฆ่าอีกฝ่ายขนาดไหน?”
ชูซินฮังตอบกลับด้วยสีหน้าเก้อเขิน
“เฮ้ออ…สมกับเป็นพี่ฟางจริงๆ ไม่มีอะไรที่หลบพ้นสายตาอันเฉียบคมของพี่ได้เลยจริงๆสินะ แม้กระทั่งความคิดอ่าน สิ่งที่ผมอยากจะเตือนพี่ก็คือ พี่ต้องระมัดระวังไอ้หมอนั่นเอาไว้ให้ดีๆ มันชื่อว่าฉีเล่ยแล้วก็เป็นผู้ชายที่พี่สาวของผมชอบด้วย”
“โอ้? ที่แท้ผู้ชายคนนั้นก็เป็นฉีเล่ยนี่เองหรอกเหรอ?”
ดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืด ก่อนจะหายดับวับไปในเสี้ยวอึดใจต่อมา
ชูซินฮังจ้องหน้าฉินฟางอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายยังคงดูเรียบนิ่งไม่แปรเปลี่ยนไปเลย เขาก็ได้แต่รู้สึกผิดหวังอย่างมากและเอ่ยถามออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“พี่ฟาง นี่พี่ไม่รู้สึกโกรธหรือรู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ?”
ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนควรจะต้องโกรธ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจหรอกเหรอ?
แต่ฉินฟางย้อนถามกลับไปว่า
“โกรธ? แล้วทำไมฉันต้องโกรธด้วย?”
ชูซินฮังรีบย้ำประโยคเดิมอีกครั้งด้วยสีหน้าเจือกังกวล
“ก็นั่นมันไอ้ฉีเล่ย ผู้ชายที่พี่สาวของผมชอบนะ!”
เขาตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะเฉลยความจริงออกมาเพื่อให้ฉินฟางรู้สึกโกรธอย่างมาก จนต้องลุกขึ้นไปจัดการกับอีกฝ่ายทันที และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็เท่ากับว่าตัวเขาจะได้ระบายความโกรธของตัวเองออกไปด้วย
ฉินฟางระเบิดเสียงหัวเราะเยาะลั่น พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คร้านจะใส่ใจว่า
“จริงเหรอ? นี่นายละเมอไปรึเปล่า?”
ไอ้เด็กโง่ซินฮัง นี่แกคิดจริงๆเหรอว่าพี่สาวของแกจะไปชอบผู้ชายธรรมดาบ้านๆแบบนั้นได้?
มันก็เป็นแค่ข้ออ้างที่พี่สาวของแกใช้ปฏิเสธฉันเท่านั้นล่ะ แม้จะดูงุ่มง่ามไร้สาระเกินไปหน่อย แต่ก็พอใช้งานได้จริงอยู่บ้าง
ชูซินซูเป็นหญิงสาวที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป ถ้าวันหนึ่งเธอประกาศว่าชอบผู้ชายบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรดีเลย ใครบ้างจะโง่เชื่อนอกจากน้องชายผู้แสนไร้เดียงสาแบบแก? บอกว่าวันพรุ่งนี้ฟ้าจะถล่มยังน่าเชื่อมากกว่าอีก
ทุกอย่างมันคือโชคชะตาแห่งสวรรค์ ที่ฟ้าได้ลิขิตมาแล้ว
ผม ฉินฟางเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่อครองคู่กับคุณ และผู้ชายคนเดียวที่ควรคู่กับคุณก็คือผมเท่านั้น!
………
ในฐานะที่เป็นชายหนุ่มผู้แสนจะหล่อเหลา คังฟานใช้ทั้งชีวิตเพื่อไล่ตามและเอาใจผู้หญิงจนคุ้นชิน
ในมุมมองของเขา ผู้หญิงทุกคนบนโลกแทบจะเหมือนกันทั้งหมด ตราบเท่าที่เขาหยิบใช้วิธีที่เหมาะสมพอ พวกเธอเหล่านั้นก็ล้วนต้องตกหลุมพรางของเขาอย่างแน่นอน
เป็นเพราะความมั่นใจเช่นนี้ของคังฟาน ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับหลี่ถงซีได้ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขาที่สุดแล้ว เพราะเธอเป็นแค่คนเดียวที่หนีออกจากกับดักอันแสนภาคภูมิใจนี้ของเขาได้
แต่ในวันนี้ กลับมีสาวน้อยโผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ มิหนำซ้ำยังกล้าพูดกับเขาว่า ‘อยากตายคาตีนเหรอ?’
เธอกล้าพูดแบบนี้กับเขากลางที่สาธารณะ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นในงานปาร์ตี้ซึ่งรวมเอาเหล่าไฮโซในปักกิ่งไว้อีก นี่นับเป็นความอัปยศเสียยิ่งกว่าการถูกตบหน้าเสียอีก
รอยยิ้มทรงเสน่ห์บนใบหน้าของคังฟานค่อยๆจางหายไป แววตาสีหน้ากลับกลายมาเป็นสงบนิ่งจนใครๆเห็นก็ต้องเสียวสันหลังวาบ เขาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งราบเรียบว่า
“คุณหนูครับ ผมเองก็ได้เอ่ยขอโทษไปแล้ว และที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องมันบานปลายถึงขนาดนี้เลย แต่ถ้าคุณอยากให้ผมคุกเข่าขอโทษก็ได้นะ แต่ถ้าออกไป ผมเกรงว่าจะกลับกลายเป็นตัวคุณเองมากกว่าที่จะได้รับความเสื่อมเสีย”
เหอจือถอนหายใจออกมาเสียงดังเฮือกใหญ่ ก่อนจะตอบโต้กลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? กล้ารังแกคนอื่นก็ควรกล้าเงยหน้ารับผิดสิวะ! ไม่ใช่พอโดนเพ่งเล็งแล้วเอาแต่เก็บหาง เป็นผู้ชายซะเปล่า ในเมื่อเป็นฝ่ายผิดก็ควรจะขอโทษซะ ไม่อย่างงั้นก็กลับบ้านไปใส่กระโปรงไป๊!”
ในระหว่างที่เหอจือเดินถือแก้วเครื่องดื่มกลับมานั้น เธอก็สังเกตเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนประจันหน้ากับฉีเล่ยอยู่ สีหน้าแววตาที่เห็นแต่ไกลนั้น ดูก็รู้แล้วว่ากำลังสบประมาทคนอื่นอยู่ จึงทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี และรีบตรงเข้ามาหาทันที
แต่เมื่อเข้ามาใกล้ เธอก็ได้ยินบทสนทนาของคนพวกนั้นเข้าโดยบังเอิญ มิหนำซ้ำยังมีชะนีหน้าด้านคนหนึ่งบังคับให้ฉีเล่ยขอโทษอีก ทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย
อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ชาย?
ศักดิ์ศรียังไงล่ะ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในแวดวงสังคมอย่างพวกเธอ คนเหล่านี้มักจะให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีและหน้าตาเป็นหลัก พูดง่ายๆก็คือ ถ้าเผลอไปทำให้ใครเสียหน้าเข้า เรื่องราวอาจจะบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างตระกูลได้เลย และไม่แน่ว่าอาจจะยังลุกลามไปเป็นความบาดหมางที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นก็ได้
แต่ดูเหมือนเหอจือจะไม่สนด้วยซ้ำว่า ทั้งศักดิ์ศรีและหน้าตาของคังฟานหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ในเมื่อพวกคุณไม่รู้จักที่จะให้เกียรติอาจารย์ฉีก่อน ก็จงอย่าโทษคนอื่นที่ทำไม่ให้เกียรติตนเองบ้าง
แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับภูมิหลังความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคลด้วย มิฉะนั้นแล้ว ขืนบุ่มบ่ามไปทำแบบที่เหอจือทำอยู่ในตอนี้อาจซวยเอาก็ได้
และถ้าจะพูดถึงภูมิหลังของเหอจือแล้วล่ะก็….
เธอสามารถสั่งให้ทหารทั้งกองพันบุกKTVได้ภายในชั่วพริบตา ดังนั้นแทบไม่จำเป็นต้องพูดถึงคังฟานที่หยิ่งยโสคนนี้เลย
และเมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของเหอจือ คังฟานก็ถึงกับสบถเสียงเย็นออกไปว่า
“แล้วถ้า…ผมไม่ขอโทษล่ะ?”
“สิ่งที่ฉันได้รับการปลูกฝังอบรมมาตั้งแต่ยังเด็กคือ ถ้าทำผิดก็ย่อมต้องถูกลงโทษตามกฎระเบียบ แต่ในเมื่อผิดแล้วไม่ยอมรับโทษดีๆ สงสัยคงต้องให้คนอื่นช่วยสงเคราะห์แทน”
ทันทีที่พูดจบ เหอจื่อก็ก้าวเท้าตรงเข้าไปยืนประจันหน้ากับคังฟานในระยะเผาขนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นหักนิ้วดังกร๊อบๆ ราวกับเตรียมที่จะเปิดฉากบู๊ได้ทุกเมื่อ
เธอไม่รังเกียจเลยหากจะได้กำหมัดซัดเข้าใส่ใบหน้าอันหล่อเหลาของคังฟาน ในทางตรงกันข้าม เธออยากจะใช้ฝ่าเท้าบดขยี้ใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยซ้ำไป
แต่ในจังหวะนั้นเอง ฉีเล่ยก็รีบเอื้อมมือออกมาคว้าแขนของเหอจือไว้เสียก่อน เธอรีบหันกลับไปมองฉีเล่ยอายๆ แต่ในขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่างออกมา ฉีเล่ยก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน
“แต่สิ่งที่ผมได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กคือ เวลาผู้ชายทะเลาะกัน ผู้หญิงไม่ควรเข้ามายุ่ง!”
ทันทีที่คำพูดประโยคนี้ของฉีเล่ยดังขึ้น กลับเสมือนได้โยนระเบิดลงกลางฝูงชนอย่างจัง ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างก็เกิดข้อถกเถียงขึ้นภายในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
เป็นที่รู้ๆกันว่า คนที่จะสามารถเข้าร่วมงานปาร์ตี้ในคืนนี้ได้นั้น ล้วนแล้วแต่จะต้องเป็นคนที่มาจากครอบครัวฐานะร่ำรวย และสิ่งที่คนเหล่านี้ไม่ชอบอย่างมากก็คือ การถูกหักหน้ากลางที่สาธารณะ หากเมื่อใดที่เกิดความขัดแย้งขึ้น คนเหล่านี้มักจะเก็บเอาความบาดหมางไว้ภายในใจ และจะลอบกัดอีกฝ่ายเมื่อมีโอกาส
กลุ่มคนมีเงินเหล่านี้มักจะชอบใช้วิธีการแก้แค้นในแบบฉบับของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันต่อหน้าสาธารณชน
แต่ฉีเล่ยกับเหอจือกลับแตกต่างจากพวกเขาสิ้นเชิง ดูเหมือนทั้งคู่คงจะคิดแค่ว่า หากมีปัญหาเกิดขึ้นก็ควรแก้ไขด้วยกำปั้น ด้วยเหตุนี้ ทั้งเหอจือและฉีเล่ยจึงเลือกที่จะพับแขนเสื้อและวิ่งเข้าใส่อีกฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ แทนที่จะถอยไปตั้งหลักและวางแผนลอบจัดการทีหลัง
แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งเหอจื่อและฉีเล่ยก็ยังมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้าง เหอจือนั้นเลือกที่จะใช้กำลังเพื่อจัดการกับอีกฝ่ายให้ตายกันไปข้าง เนื่องจากเธอถูกสอนมาแบบนั้นตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เพียงแค่เรื่องแนวคิดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเรียนทักษะการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวแขนงต่างๆด้วย ทำให้เธอมีความสามารถในการต่อสู้ค่อนข้างสูงมาก เพราะได้ฝึกฝนการต่อสู้อย่างจริงจังกับบอดี้การ์ดและทหารมืออาชีพมาตั้งแต่ยังเด็ก
ในส่วนของฉีเล่ย ถ้าเขาต้องการจะจัดการกับใครสักคนจริงๆ วิธีของเขาก็คือ การใช้เข็มเงินสกัดจุดตายให้กลายเป็นอัมพาตชั่วขณะ หรือไม่ก็ใช้ดัชนีสกัดจุดบริเวณกระเพาะปัสสาวะให้ฉี่ราด…