ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 72 ลองภูมิ
ตอนที่72 ลองภูมิ
หัวหน้าคณะอาจารย์กัวหน้าเสียไปชั่วขณะ แม้ตำแหน่งของที่ประจำอยู่จะไม่ได้ใหญ่อะไร แต่จะอย่างไรสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันถือได้ว่าเป็นสาขาที่สำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มันคือสถานที่ที่พิสูจน์และท้าทายความสามารถของการเป็นอาจารย์อย่างแท้จริง แล้วมีคณะอาจารย์ภาควิชาใดบ้างที่เคยกล้าหักหน้าเขาแบบนี้? หลี่ถงซีเป็นคนแรกเลยที่กล้ามีปากเสียงขัดแย้งกับเขาแบบตาต่อตา
เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็อดหัวเสียไม่ได้และกล่าวขึ้นว่า
“แน่นอนครับ ทุกคนมีอิสระในการเลือกคบเพื่อน และผมก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปห้ามหรือยุ่มย่าม แต่เด็กหนุ่มคนนี้เขามีสถานะแบบไหนในมหาวิทยาลัยของเรา? ผมคงไม่ต้องอธิบายให้มากความไปกว่านี้แล้ว คุณน่าจะมีสามัญสำนึกอยู่บ้าง ถ้ามันเป็นอย่างที่อาจารย์ซูพูดไปจริงๆ แสดงว่าเขาเป็นนักศึกษาของทางเรา เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของทั้งมหาวิทยาลัย หรือไม่คิดเลยว่าตัวเองทำผิดอะไร?”
หัวหน้าคณะอาจารย์กัวพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะระงับความโกรธของตนเองลง เพราะอย่างไรคนที่อยู่หลี่ถงซีมีอิทธิพลอำนาจแข็งแกร่งเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เขาคงไล่เธอออกจากแผนกนี้ไปนานแล้ว
“เขาเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเรา”
หลี่ถงซีกล่าว
“เป็นอาจารย์?”
หัวหน้าคณะอาจารย์กัวขมวดคิ้วแน่น หันควับจ้องตาซูเสี่ยวหยานเขม็งด้วยความหงุดหงิด
เป็นเรื่องปกติมากที่อาจารย์ในที่ทำงานเดียวกันจะแต่งงานมีลูกด้วยกัน ไม่ต้องพูดถึงในเชิงความสัมพันธ์เลย เรื่องนี้มันแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับคำว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ที่ผิดศีลธรรม เรื่องนี้เป็นความรักระหว่างเพื่อนร่วมงาน และไม่ควรมีคนนอกเข้าไปยุ่ง และในฐานะหัวหน้คณะอาจารย์ เขาย่อมต้องสนับสนุนเธอด้วยซ้ำไป
มีครอบครัวอันแสนอบอุ่นเกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย เนื่องจากเป็นอาจารย์ที่เดียวกันทั้งคู่ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องลงหลักปักฐานกันที่นี่และแนวโน้มที่จะลาออกไปสอนที่อื่นก็จะน้อยลง กล่าวคือความซื่อสัตย์ต่อตัวองค์การก็จะเหนียวแน่นขึ้นตามไปด้วย ย่อมส่งผลดีต่อทางมหาวิทยาลัย
“เป็นไปได้ยังไง? หัวหน้าคณะกัว คุณเองก็น่าจะเห็นรูปถ่ายเมื่อกี้แล้ว ดูยังไงอายุก็น่าจะประมาณ20ต้นๆ แล้วจะเป็นอาจารย์ได้ยังไงกัน? แล้วที่สำคัญเลย ถ้าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ของที่นี่จริง ทำไมพวกเราถึงไม่รู้จัก?”
ซูเสี่ยวหยานกล่าวเหน็บแนมทันที ทั้งยังกล่าวกระตุ้นอีกว่า
“หัวหน้าคณะกัว อย่าไปเชื่อที่เธอพูดค่ะ!”
“อาจารย์หลี่ ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยพิสูจน์ได้ไหมว่า เขาเป็นอาจารย์ของทางเราจริง?”
ลึกๆ ภายในใจ เขาเองก็ไม่ค่อยอยากที่จะทำใจเชื่อเท่าไหร่ นี่เป็นถึงมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง สถานศึกษาระดับชั้นแนวหน้าของประเทศ อาจารย์ที่ถูกทาบทามมาสอนล้วนต้องมีอายุและประสบการณ์ประมาณหนึ่ง แต่เด็กหนุ่มคนนี้ที่เห็นในภาพ ดูยังไงก็น่าจะเรียนอยู่ นักศึกษาปริญญาเอกบางคนยังดูแก่กว่าเขาด้วยซ้ำไป
“ฉันพิสูจน์ได้”
หลี่ถงซีกล่าวต่อว่า
“ฉันจะพาพวกคุณไปหาทยังห้องเรียนที่เขากำลังสอนอยู่”
เมื่อได้เห็นท่าทางการแสดงออกของหลี่ถงซีที่ดูมั่นใจเพียงใด ซูเสี่ยวหยานก็เริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อยภายในใจ
หรือไอ้เวรนั่นจะเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนี้จริงๆ ….
…………..
ณ ห้องเรียน406 ทั่วทั้งคลาสพลันเงียบสงัด
“เฮ้! พี่ชาย ไม่ใช่ว่าอำกันเล่นใช่ไหม?”
บริเวณเหนือเวทีเรียน มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดกีฬาไนกี้ตะโกนใสฉีเล่ย
ฉีเล่ยใช้นิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเล็กนน้อย พลางหัวเราะตอบไปว่า
“ไม่ได้อำกันเล่นครับ ผมคงไม่ว่างถึงขนาดนั้น”
ทันใดนั้นก็มีนักศึกษาหนุ่มร่างสูงกำยำ ตัดผมส่งสกินเฮดลุกขึ้นจากที่นั่งและตะคอกใส่ว่า
“จะไปไหนก็ไป! วุฒิภาวะคงไม่ต่างจากพวกเราเท่าไหร่ อาจารย์หนุ่มๆ แบบนี้จะมีปัญญาสอนใครเป็น? นี่อายุเท่าไหร่กัน? ฟันแท้ขึ้นหมดปากยัง?”
ทันทีที่คำถามของนักศึกษาหนุ่มร่างสูงคนนี้ดังขึ้น ทำให้ทั่วทั้งคลาสระเบิดเสียงหัวเราะเยาะดังลั่น
ฉีเล่ยหยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแสว่า
“โทษที วันนี้ผมเพิ่งเข้าทำงานวันแรก คงจะไปตอนนี้ยังไม่ได้ ถ้าอยากลองภูมิกันก็ได้นะ เชิญ”
“ฮ่าฮ่าๆๆ …โอ๊ย…ขำจนท้องแข็งหมดแล้ว! น้ำหน้าอย่างคุณไม่มีคุณสมบัติอะไรให้ลองภูมิด้วยซ้ำ! ไสหัวไปดูดนมแม่ต่อเถอะครับ! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
นักศึกษาหนุ่มที่สวมชุดลำลองคนหนึ่งระเบิดหัวเราะลั่นพลางสบประมาทไม่หยุดหย่อน บางทีครอบครัวของเขาคนนี้น่าจะเป็นพวกมีเงิน ถึงกอดนักศึกษาสาวที่อยู่ข้างๆ อีกคนในอ้อมอกอย่างเปิดเผยในคลาสเรียน ทั้งนี้ทั้งสองยังดูรักใคร่กันมาก ราวกับว่าสามารถเผด็จศึกเร้าร้อนกันกลางห้องได้โดยไม่สนใจใคร
ฉีเล่ยเหลือบมองนักศึกษาหนุ่มคนนั้นเล็กน้อย ยิ้มตอบไปว่า
“นักศึกษาทุกคนครับ ที่นี่คือห้องเรียนไม่ใช่ม่านรูด ถ้ามันอยากจนทนไม่ไหวขนาดนั้นก็เชิญออกไปทำกิจธุระให้เสร็จ แล้วค่อยกลับมาเรียนก็ได้นะครับ หรือถ้าพวกคุณทั้งคู่ติดสัดจนถึงขนาดไม่อายใครแล้ว ก็เชิญตรงนี้เลยก็ได้เลยนะครับ ผมคิดว่าเพื่อนๆ ทุกคนในคลาสน่าจะเข้าใจ”
“มึง!!”
นักศึกษาหนุ่มคนนั้นโกรธจัดทุบโต๊ะชี้หน้าใส่ฉีเล่ยทันที และตะคอกเสียงดังลั่นว่า
“คิดว่าตัวเองเป็นใครวะ! เก่งมาจากไหนถึงมีสิทธิ์วิจารณ์ฉัน!?”
ฉีเล่ยหัวเราะดูเริงร่าอย่างมากราวกับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด
“ดูเหมือนว่านักศึกษาคนนี้จะมีปัญหาด้านความจำนะครับ งั้นผมจะพูดซ้ำอีกแค่ครั้งเดียว ผมเป็นอาจารย์ และกำลังสอนวิชา ‘การวินิจฉัย’ อยู่ในคาบนี้ครับ และแน่นอนถ้านักศึกษาคนไหนเคลือบแคลงใจในความสามารถของผมก็ลองภูมิได้ทุกเมื่อครับ”
“มึง!!!”
นักศึกษาหนุ่มคนนี้ชี้หน้าฉีเล่ยไม่หยุด กำลังจะพ่นคำหยาบต่ออีกชุดใหญ่
“ก็ได้! หยุดเถียงกันก่อน!”
เหอจื่อลุกขึ้นจากที่นั่งคำรามเสียงแทรกขึ้นมา
เมื่อเธอคนนี้ยืนขึ้น ฉีเล่ยพลันตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป เธอสูงอย่างน้อย175ซม.แน่นอน เป็นสาวขายาวราวกับนางแบบ สัดส่วนทั่วร่างกายจัดได้ว่าสมบูรณ์แบบ
เหอจื่อลุกขึ้นยืนหันกลับไปหาพวกนักศึกษาคนอื่นๆ ทั่วห้อง กวาดสายตามองพวกเขารายคน จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า
“ในเมื่อหมอนี่บอกให้ลองภูมิได้ งั้นเราก็ควรทดสอบกันหน่อยว่า เขาจะมีคุณสมบัติสอนพวกเขารึเปล่าจริงไหม?”
ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว เหอจือคนนี้มียศเป็นจ่าฝูงของห้องเรียนแห่งนี้ เมื่อเธอแสดงความคิดเห็นของตนออกมาต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่กล้าปฏิเสธ
ฉีเล่ยหัวเราะยิ้มตอบกลับไปว่า
“ก็ควรจะเป็นแบบนั้น ทดสอบอะไรดีล่ะ?”
เหอจื่อครุ่นคิดอยู้สักพักหนึ่งและกล่าวว่า
“เอาแบบนี้เป็นไง? กล่าวกันว่า เก้าในสิบคนล้วนมีโรคภัยซุกซ่อนอยู่ แค่ลองวินิจฉัยร่างกายพวกเราก็พอว่ามีปัญหาอะไรไหม นี่คงเหมาะสำหรับคุณที่สอนวิชา ‘การวินิฉัย’ ที่สุดแล้ว ว่าไง?”
หลังจากพูดจบ เหอจื่อก็ถกแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง กวาดสายตามองไปโดยรอบอีกคราพลางกล่าวว่า
“มีใครคัดค้านไหม?”
“มะ-มะ-ไม่มี ไม่มี…”
พวกเขาเหล่านั้นต่างรีบส่ายหัวตอบด้วยความยำเกรง
“เอาล่ะ ในเมื่อนักศึกษาทุกคนไม่มีข้อคัดค้านอะไร งั้นเรามาเริ่มกันที่เธอก่อนเลยแล้วกันเหอจื่อ”
หลังจากพูดจาฉีเล่ยก็เดินลงมาจากเวทีหน้าห้องสอน เพียงปราดสายตาผ่านเหอจื่อไปแวบเดียว เขาก็ยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“อาการนอนไม่หลับของเธอเกิดจากความเครียดและความวิตกภายในใจ โดยเฉพาะช่วงระยะห้าวันให้หลัง ทุกคืนเธอจะนอนหลับต่อเนื่องได้ไม่เกิน4ชั่วโมงก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกตลอด”
“….”
เหอจื่อยืนแข็งทื่อตัวเป็นหิวในพริบตา ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองร้องอุทานขึ้นว่า
“รู้…รู้ได้ไง? นี่คุณเป็นพวกถ้ำมองรึเปล่า?”
ครอบครัวของเธออยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงอย่างมาก ดังนั้นพอสอบเข้าได้มาศึกษาต่อที่นี่และเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เธอก็เพิ่งที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักนักศึกษา ช่วงที่ยังไม่ย้ายเธอก็กังวลเรื่องที่ต้องห่างบ้านห่างครอบครัวจนน่าไม่ค่อยจะหลับ โดยเฉพาะหลังย้ายมาอยู่ได้ห้าวัน เธอนอนหลับไม่เคยสนิทเลยสักคืน เพราะรูมเมทร่วมห้องดันชอบขบฟันเสียงดังตลอดทั้งคืน บางทีก็ไม่หลับไม่นอนโทรคุยกับผู้ชายเกือบเช้า ส่วนเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอนจากทน
หลังจากกล่าวจบ ฉีเล่ยก็เดินผ่านหน้าเธอไปหานักศึกษาสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหลังขณะเอ่ยขึ้นว่า
“ใบหน้าดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ ระบบไหลเวียนเลือดทำงานผิดปกติ ติดขั้นอยู่บางช่วงบางจุด ส่งผลให้เวลานั่งนานๆ จะรู้สึกเจ็บแปร๊บบริเวณเอว หนักเข้าจะถึงขั้นนั่งไม่ได้ ภายในตัวคนเราจะมีพลังปราณอยู่นะ ถ้ายังไม่รีบแก้ไข มันอาจส่งผลกระทบต่อไตของเธอได้”
นักศึกษาสาวเบิกตาโตด้วยความตื่นตะลึงก่อนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจขึ้นว่า
“อาจารย์ค่ะ อาจารย์มีวิธีรักษาไหม?”
ฉีเล่ยหยิบปากกาบนโต๊ะเรียนของเธอขึ้นมาและจดชื่อสมุนไพรลงบนสมุดเรียนของเธอสองถึงสามรายชื่อ จากนั้นก็ระบุปริมาณที่ควรต้มดื่มในแต่ละวันให้โดยละเอียด
“กลับไปซื้อสมุนไพรตามที่อาจารย์เขียนไว้ ต้มกินติดต่อกันสักอาทิตย์น่าจะดีขึ้นเอง”
“ขอบคุณมากค่ะอาจารย์!”
นักศึกษาสาวยิ้มร่า ถือสมุดเรียนหน้านั้นไว้อ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่ามันเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง
ฉีเล่ยหันไปพูดต่อกับนักศึกษาชายอีกคน
“เหงื่อออกง่ายแม้ตอนอยู่ในที่เย็น เกิดจากความร้อนที่สะสมอยู่ภายใน นอกจากนี้…อย่าหาว่าอาจารย์ประจานเราเลยนะ ตอนนี้กำลังเป็นริดสีดวงทวารใช่ไหม?”
“ส่วนเธอ มือเท้าร้อนๆ เย็นๆ เป็นบางครั้งสลับกันไป บริเวณท้องน้อยรู้สึกจุกเสียดเป็นบางช่วง เป็นผลมาจากระบบไหลเวียนเลือดเหมือนกันนักศึกษาคนเมื่อกี้เลย เธอลองไปถ่ายสูตรยาของเพื่อนที่นั่งข้างหน้าดูนะ”
“อือหือ ตาเริ่มเหลืองแล้วนะ ริมฝีปากแห้งแตก ตับทำงานหนักมาก ช่วงนี้ก็พักด่วนเรื่องแอลกอฮอล์น่ะ!”
“ส่วนนาย…ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่อ้วน”
“….”