ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 66 สร้างนิยามคำว่า ‘การแพทย์’ ใหม่
ตอนที่66 สร้างนิยามคำว่า ‘การแพทย์’ ใหม่
หลี่ฮั่วเฉินมองไปที่ฉีเล่ย และเอ่ยชื่นชมว่า
“หนุ่มสาวอย่างเธอช่างเป็นคนน่านับถือจริงๆ พูดตามตรง ตาแก่อย่างพวกเราใจกว้างไม่เท่าเธอด้วยซ้ำไป ดั่งคำพูดของเหล่าบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดต่อกันมา ชาวคริสต์จักรรู้จักแบ่งปัน เพราะสภาพความเป็นอยู่ที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน แตกต่างจากพวกเราที่ล้วนแต่หวงแหน เห็นแก่ตัว จนทำให้ศาสตร์แพทย์แผนจีนตกต่ำอย่างทุกวันนี้”
“ในทางตรงกันข้าม การแพทย์ตะวันตกถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งโลก ไม่มีคำว่า วิชาลับหรืออะไรแบบนี้ แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึง และเรียนรู้ได้ ยิ่งมีคนเรียนรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนรู้จักนำไปต่อยอด และใช้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น จึงทำให้การแพทย์ตะวันตกได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบกลับไปว่า
“อาวุโสหลี่พูดถูกต้องแล้วครับ การแพทย์แผนจีนในปัจจุบันกลายไปเป็นวัฒนธรรมประจำประเทศจีนไปแล้ว แทนที่จะถูกยกขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งศาสตร์ทางการแพทย์ที่สำคัญระดับโลก”
“ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ศาสตร์การแพทย์แผนจีนตกต่ำ จนกระทั่งบางประเทศออกนโยบายห้ามทำการรักษาโดยการฝังเข็ม หรือรมสมุนไพร กลายเป็นว่าต้องพึ่งพาแต่ยารักษาโรค ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โรคภัยไข้เจ็บบนโลกใบนี้ มันมีมากมายซะจนยาแผนปัจจุบันก็ไม่สามารถรักษาได้ทั่วถึง จัดการได้แค่ปลายเหตุ แต่ไม่อาจระงับถึงต้นเหตุได้”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคสมัยนี้ ที่มีรากฐานหยั่งลึกไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต และยากเกินกว่าจะใช้ยาปฏิชีวนะแผนปัจจุบันรักษาได้”
ฉีเล่ยตระหนักดีว่า โลกในยุคสมัยปัจจุบัน การแพทย์แผนจีนกำลังตกต่ำอย่างมาก ตรงกันข้ามกับการแพทย์แผนตะวันตก ที่กำลังได้รับความนิยมถึงขีดสุด ถึงขนาดที่ว่า บางประเทศในแถบตะวันตกมองว่า ศาสตร์การแพทย์ของจีนเป็นเพียง ‘สิ่งงมงาย’ ที่ใช้หลอกผู้ป่วย ประโคมความเชื่อผิดๆในการรักษาเพื่อเอาเงินเท่านั้น
แม้ว่าศาสตร์แพทย์แผนจีนจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี จนกลายมาเป็นศาสตร์ประจำชาติจีน ทั้งยังเป็นสมบัติของหน้าประวัติศาสตร์โลก
แต่ถึงอย่างนั้น ในประเทศจีนเอง คนที่เชื่อถือในศาสตร์ดังกล่าวก็มีจำนวนลดลงจนน่าใจหาย เพราะบรรดาแพทย์แผนจีนในปัจจุบัน ไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้แห่งศาสตร์นี้ได้ ผู้คนที่เข้ารักษาด้วยแพทย์แผนจีน ไม่ว่าจะรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที จนท้ายที่สุดก็หมดความศรัทธา และหันไปพึ่งการแพทย์แผนตะวันตกแทน
“ฉันไม่คิดหรอกนะว่า ตัวเองในตอนนี้จะช่วยฟื้นฟูการแพทย์แผนจีนได้ แต่เธอน่ะ…ฉีเล่ย เธอยังสามารถทำได้นะ”
น้ำเสียงของหลี่ฮั่วเฉินที่กล่าวออกมามันเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
“ผมเหรอ?”
ฉีเล่ยชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พลางคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นส่ายหัวอานกล่าวตอบไปว่า
“อาวุโสหลี่อย่าล้อกันเล่นสิครับ ลำพังแค่ผมตัวคนเดียว จะไปเปลี่ยนโลกอะไรได้ขนาดนั้น?”
“ทำไมจะทำไม่ได้? แค่ทักษะการแพทย์อันมหัศจรรย์ของเธอ มันก็มากเพียงพอแล้ว ขอแค่เธอมีโอกาสได้แสดงทักษะเหล่านั้นออกมาให้ทุกคนได้เห็น เพียงเท่านี้การจะเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนที่มีต่อการแพทย์แผนจีน ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป”
ฉีเล่ยยังคงส่ายหัว
“ไม่ว่าทักษะทางการแพทย์ของผมจะดีแค่ไหน แต่มันก็ใช้ได้กับแค่ผู้ป่วย และรักษาโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น ทัศนคติแนวคิดของผู้อื่นที่มีต่อการแพทย์แผนจีนไม่ใช่โรค แล้วผมจะเปลี่ยนแปลงได้ยังไง?”
“เพราะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โลกถึงได้ขับเคลื่อนต่อไปได้ ลองบอกให้ฉันฟังหน่อยสิ ถ้าเธอต้องการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนเรา ควรทำอย่างไรบ้าง?”
หลี่ฮั่วเฉินจ้องลงไปในดวงตาคู่นั้นของฉีเล่ย เปล่งน้ำเสียงหนักแน่นดูจริงจังออกมา
หลังจากขมวดคิ้วถักแน่นเป็นปมอยู่ครู่ใหญ่ เนื่องด้วยกำลังใช้ความคิด ฉีเล่ยก็กล่าวตอบกลับไปว่า
“ให้ทุกคนเรียนแพทย์จีน ให้ทุกคนใช้ยาจีน สร้างนิยามคำว่า ‘การแพทย์’ ขึ้นมาใหม่ โดยมีพื้นฐานจากการแพทย์ของจีน แทนที่จะเป็นศาสตร์การแพทย์ตะวันตก”
หลี่ฮั่วเฉินพยักหน้าและกล่าวต่อว่า
“แล้วต้องทำยังไง ถึงจะให้ทุกคนมีโอกาสร่ำเรียนแพทย์แผนจีน และใช้ยาจีนกันอย่างแพร่หลายล่ะ?”
ฉีเล่ยตอบไปว่า
“เปิดโรงเรียนการแพทย์แผนจีนเฉพาะทาง เปิดโรงพยาบาลที่มีกระบวนการรักษา และฟื้นฟูเป็นแขนงแพทย์จีนล้วน”
“แต่เท่าที่ผมทราบมา ขนาดหลักสูตรแพทย์แผนจีนในคณะแพทย์ศาสตร์ คนที่เลือกเรียนสายนี้ยังมีน้อยมาก แถมคนที่เต็มใจเข้ามาเรียนด้านนี้จริงๆก็ไม่ได้มากเลย”
หลี่ฮั่วเฉินที่ได้ยินแบบนั้นจึงกล่าวต่อว่า
“ไม่เพียงแค่นักศึกษาที่น้อยลง แม้แต่คนที่เต็มใจมาเป็นอาจารย์สอนในสาขานี้ ยังลดน้อยลงมาก”
“ในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งตอนนี้ อาจารย์หลายคนที่สอนอยู่มานาน พักนี้เห็นเข้ามาบ่นกับฉันบ่อยๆว่า พวกเขาต้องการอาจารย์ที่มีพรสวรรค์ และความสามารถจริงๆ มาสอนนักศึกษา ไม่ใช่ว่าแค่มายืนท่องตัวหนังสือตามตำราให้ฟัง และสอนปักเข็มมั่วๆซั่วๆ”
“เมื่อหลายปีก่อน ก็มีอาจารย์ที่จบด้านนี้มาสมัครจำนวนมากเลยนะ แต่ส่วนใหญ่ก็เอาแต่พึ่งพาขวดยา คนที่เข้าถึงแก่นของศาสตร์แพทย์แผนจีนจริงๆ มีน้อยมากจนน่าเป็นห่วง”
พอพูดถึงตรงนี้ หลี่ฮั่วเฉินจึงคว้ามือของฉีเล่ยขึ้นมาจับแน่น และกล่าวว่า
“ฉีเล่ย ฉันคิดว่ามันไม่น่าเสียหายอะไร ที่จะแนะนำเธอให้รู้จักกับคณะอาจารย์แพทย์แผนจีนพวกนั้น เธอควรใช้ความสามารถ และทักษะที่ตัวเองมี ถ่ายทอดให้กับนักศึกษาที่เต็มใจเข้ามาเรียนด้วยใจจริง เลี้ยงดูต้นกล้าให้พวกเขาเติบใหญ่ และเบ่งบานเฉิดฉายต่อไปในอนาคต!”
“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยรักษาการแพทย์แผนจีนให้มีที่ยืนในสังคมต่อไปได้!”
หลี่ฮั่วเฉินดูเหมือนจะยิ่งตื่นเต้นดีใจขึ้นเรื่อยๆ กระชับกุมมือฉีเล่ยแน่นและกล่าวต่อว่า
“พรุ่งนี้ พรุ่งนี้เลย! พรุ่งนี้ฉันจะจัดการให้เธอเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ทันที!”
“มันไม่กระทันหันเกินไปเหรอครับ?”
ฉีเล่ยขมวดคิ้วแน่น
“ไม่ต้องห่วง ฉันกำลังหารือเรื่องพัฒนาสาขาแพทย์แผนจีนอยู่พอดี ไม่กะทันหันเกินไปหรอก กลับเป็นฉันเองมากกว่าที่พบเธอช้าเกินไป”
อย่างไรเสีย ยังมีอีกหนึ่งความตั้งใจที่หลี่ฮั่วเฉินไม่ได้พูดออกไป
นั่นก็คือ เมื่อฉีเล่ยเข้าไปสอนในมหาวิทยาลัย ฉีเล่ยกับหลานสาวของเขาก็จะต้องไปเป็นเพื่อนร่วมงานกันอยู่ดี แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ลงรอย หรือไม่สนใจกันแค่ไหน แต่ถ้าโดนจับมัดติดกันขนาดนี้ จะขอดูหน่อยว่า ยังหาลู่ทางหลีกหนียังไงได้อีก?
………
ก่อนเข้าทำงานในวันแรก หลี่ฮั่วเฉินพาฉีเล่ยไปพบกับชายคนหนึ่ง เขาคือหัวหน้าภาคหลักสูตรแพทย์แผนจีนแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นอาจารย์เก่าแก่ผู้มากประสบการณ์ของที่นี่ และสร้างชื่อเสียงมากมายให้แก่วงการแพทย์แผนจีน ทั้งยังเป็นเพื่อนของหลี่ฮั่วเฉินมานานหลายปีแล้ว
หัวหน้าภาคหลินอาศัยอยู่บริเวณแถบชานเมืองตะวันออกของกรุงปักกิ่ง หน้าบ้านมีลานเล็กๆปลูกเป็นสวนดอกไม้ และกองหญ้าวางเป็นตับ มิหนำซ้ำยังมีไก่ที่เลี้ยงไว้อีกสองสามตัว นี่ยังไม่รวม เป็ดและบรรดาสรรพสัตว์ตัวน้อยอีกหลากหลายชนิด
พินิจโดยรวมแล้วอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนใช้ชีวิตติดดินคนหนึ่ง
หัวหน้าภาคหลินเป็นชายชราผิวขาว รูปร่างสมส่วนดี และยังดูเด็กกว่าหลี่ฮั่วเฉินมาก หลังจากเชื้อเชิญแขกเข้าไปภายในบ้าน คณบดีหลินก็ยิ้มถามขึ้นว่า
“อภิบดีหลี่ ไหนวันนี้ถึงว่างมาหาฉันที่นี่ได้?”
หลี่ฮัวเฉินและหลินหมิงซางจับมือทักทายกันเล็กน้อย พร้อมเข้าเรื่องทันที
“จำได้ไหมที่แกบ่นกับฉันครั้งล่าสุดว่า ต้องการอาจารย์สาขาแพทย์จีนที่เก่งจริงๆเข้ามาสอน ฉันก็พามาแล้วนี่ไง”
“เด็กหนุ่มคนนี้นี่นะ?”
หลินหมิงซางเหลือบมองไปทางฉีเล่ยแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขึ้นเจือน้ำเสียงดูแคลนทันที
“เขานี่แหละ”
หลี่ฮัวเฉินยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ฉีเล่ย
หลินหมิงซางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ ชำเลืองสายตาสำรวจฉีเล่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ไม่ไหว ไม่ไหว ยังเด็กเกินไป”
ซึ่งคำกล่าวนี้พูดเป็นนัยว่า เด็กหนุ่มคนนี้จะไปมีคุณสมบัติสอนอะไรใครได้?
หรือจะให้สอนนักศึกษาร้องเพลงเต้นรำ? หรือไม่ก็สอนกินดื่มเวลาสังสรรค์รึไง?
ทุกคนล้วนทราบดีว่า คำว่าแพทย์แผนจีนมันหมายถึงอะไร? ในวงการนี้เด็กวัยหนุ่มสาวเท่ากับมือใหม่ และมือใหม่ก็หมายความว่าประสบการณ์ยังไม่มี และสิ่งสำคัญในศาสตร์แพทย์แผนจีนก็คือประสบการณ์
ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งสนทนากันอยู่นั้น จู่ๆก็มีหญิงชราคนหนึ่งรีบวิ่งลงจากบันไดชั้นบนมา เอ่ยกล่าวด้วยความร้อนใจว่า
“พ่อ! แย่แล้ว! ซั่วเอ๋อร์ยังร้องไห้บ่นปวดฟันไม่หยุดเลย! นี่อาการหนักใหญ่แล้วนะ รีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาลเถอะ!”
เมื่อเห็นภาพฉากชุลมุนของอีกฝ่าย หลี่ฮั่วเฉินจึงรีบเอ่ยถามขึ้นทันที
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
หลินหมิงซางรีบกล่าวอธิบายทันที ใบหน้าดูขมขื่นไม่ใช่น้อยเลย
“ก็เด็กมันฟันน้ำนมหลุดเฉยๆ แล้วฟันแท้ก็ยังไม่ขึ้นสักที เธอบ่นปวดมาหลายวันแล้ว ดูท่าฉันคงต้องพาหลานสาวไปส่งโรงพยาบาลก่อนนะ แล้วค่อยคุยกันใหม่วันหลัง”
ฉีเล่ยเห็นท่าทีกังวลใจของสองตายาย ก็เลยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ปัญหาเล็กน้อยเองครับ ไม่จำเป็นต้องพาไปส่งโรงพยาบาลให้เสียเวลา ไหนจะต้องรอเข้าคิวอีก หลานสาวพวกคุณคงทรมานตายก่อน”
หลินหมิงซางหันมองไปทางฉีเล่ย และเอ่ยถามว่า
“แล้วเธอมีวิธีแก้ไขไหม?”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปว่า
“ไปหาเม็ดพริกไทยมาให้หน่อยครับ”
หลินหมิงซางรีบตะโกนบอกภรรยาทันที
“ไปห้องครัวหยิบเม็ดพริกไทยมาเร็ว”
“ได้ ได้!”
หญิงชราเอ่ยปากตอบรับ และรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว สักครู่หนึ่งต่อมา เธอก็ออกมาพร้อมกับกระปุกเครื่องปรุงมากมายเต็มตะกร้า
รีบวางตะกร้าเครื่องปรุงเหล่านั้นไว้เต็มโต๊ะ หญิงชราคนนั้นเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวลเป็นอย่างมาก
“อยู่นี่หมดแล้ว แต่พวกนี้มีแต่ของใช้แล้ว ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะรีบออกไปซื้อให้ใหม่นะ”
ฉีเล่ยเปิดฝาขวดพริกไทยออก และหยิบเม็ดพริกไทยประมาณสองสามเม็ดออกมาวางไว้ในอุ้งมือ จากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า
“แค่นี้ก็พอแล้วครับ”