ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 3 ทักษะล้ำเลิศ
ตอนที่ 3 ทักษะล้ำเลิศ
เวลานี้ ประสบการณ์ และทักษะตลอดชีวิตของบรรพชนสกุลเฉิน ได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของฉีเล่ยแล้ว
ฉะนั้น เมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดเสียใจของหวู่เฉินเทียน ฉีเล่ยจึงไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยเหลือ และแม้ว่าน้ำเสียงของฉีเล่ยที่พูดออกไปนั้นจะไม่ได้ดังมาก แต่ก็สามารถทำให้เสียงร้องห่มร้องไห้ภายในห้องฉุกเฉินเงียบลงได้ในทันที
“นี่เธอเป็นใคร ? เข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ยังไง ? นี่มาจากแผนกไหน .. แต่ไม่สิ ? นี่เธอยังสวมชุดคนไข้ของโรงพยาบาลอยู่เลย นี่เธอสติ ไม่ดี หรือเปล่า พ่อหนุ่ม ? ”
“เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหายหัวไปไหนกันหมด ? ทำไมยังไม่มาห้ามปรามเขาอีก ? ”
หวู่เฉินเทียนยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา แต่รองประธานหวังถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด พร้อมกับร้องตะโกนโหวกเหวกด้วยความโมโห เพราะชายหนุ่มคนนั้นถึงกับพูดเพ้อเจ้อว่า อาวุโสหวู่ยังไม่ตาย ..
จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน ? นี่ถ้าหวู่เฉินเทียนไปหลงเชื่อคำพูดของคนแบบนั้นเข้า เขาในฐานะรองประธานของโรงพยาบาล คงต้องถูกไล่ออกแน่ๆ
“นี่มันคนไข้ของใครกัน ? ยังไม่รีบมาเอาตัวออกไปอีก ! เธอรีบออกไปจากที่นี่ได้แล้วพ่อหนุ่ม ! ”
รองประธานหวังรีบวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที พร้อมกับคว้าคอเสื้อของฉีเล่ยไว้ และพยายามที่จะลาก และผลักเขาให้ออกจากห้องฉุกเฉินให้ได้
ในระหว่างนั้น เสียงของเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาล ต่างก็พากันร้องตะโกนออกไปว่า ..
“นั่นมันสามีไม่เอาไหนของเฉินอวี้หลัวไม่ใช่เหรอ ?”
“ใช่ๆ เป็นเขาจริงๆด้วย ! เมื่อเช้าที่เขาถูกนำตัวมาส่งโรงพยาบาล ยังแต่งตัวไม่ต่างจากขอทานเลย ! ”
“คุณหมอเฉิน มัวแต่ยืนเฉยอยู่ได้ ยังไม่รีบไปเอาตัวสามีคุณออกไปอีก ! แล้ว วันหน้าวันหลัง ก็ ช่วยอบรมสามีหน่อย จะได้ ไม่ มาพล่ามไร้สาระแบบนี้อีก ! ”
เฉินอวี้หลัวที่เดินเข้ามาพอดี เมื่อได้เห็นรองประธานจ้องมองมาทางตนเอง และร้องตะโกนออกมาเสียงดังท่ามกลางสาธารณชนแบบนั้น เธอก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอับอาย หรือว่าโกรธฉีเล่ยกันแน่ ?
“ตาบ้านี่ ! นี่นายคิดจะทำอะไร ? ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่ที่ที่จะนายมาพล่ามไร้สาระแบบนี้ ! ออกไปกับฉันเดี๋ยวนี้ แล้วก็หยุดสร้างปัญหาวุ่นวายให้กับฉันซะที ! ”
ทันทีที่เฉินอวี้หลัววิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ เธอก็ตวาดฉีเล่ยเสียงดัง พร้อมกับพยายามลากแขนของเขาออกมาจากห้องทันที
“นั่นน่ะสิ ! รีบๆพาคนไม่เอาไหนแบบนั้นออกไปเร็วเข้า ! ”
สิ้นเสียงร้องตะโกนออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนดูอยู่ หลายๆคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้
รองประธานถึงกับหันไปถลึงตาใส่ทุกคน เป็นการเตือนว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาหัวเราะอย่างสนุกสนาน
สำหรับเฉินอวี้หลัว เพียงแค่ให้ทุกคนในที่ทำงานรู้ว่า สามีของเธอเที่ยวเดินเก็บขยะตามท้องถนน ก็นับว่าอับอายขายหน้ามากแล้ว แต่สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ กลับยิ่งทำให้หญิงสาวอับอายมากยิ่งขึ้น จนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน และไม่แน่ว่า สิ่งที่ฉีเล่ยกำลังทำอยู่ตอนนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของเธอในโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ได้ ..
“อวี้หลัว อาวุโสท่านนี้ยังไม่ตาย ! นี่เป็นเพียงการตายปลอมๆเท่านั้น ! ” ฉีเล่ยหันไปบอกหญิงสาว
“นี่คุณพล่ามไร้สาระอะไร ? ตายปลอมอะไรกัน ? ถ้าตายปลอม ป่านนี้ผมคงทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นขึ้นมาได้ตั้งนานแล้ว ..”
คุณหมอหลิวซึ่งเป็นเจ้าของไข้ ถึงกับร้องตะโกนโต้เถียงกลับไปอย่างไม่พอใจ นั่นเพราะคำพูดของฉีเล่ยเท่ากับประกาศว่า เขาเป็นหมอที่ไร้ความสามารถ และขาดความรับผิดชอบ ซึ่งเขาไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้
เฉินอวี้หลัวแทบอยากฆ่าฉีเล่ยให้ตายคามือ หญิงสาวไม่พูดอะไรอีก และรีบลากแขนฉีเล่ยให้ออกไปจากห้องฉุกเฉินทันที
แต่แล้วจู่ๆ หวู่เฉินเทียนก็ลุกขึ้นยืน และร้องตะโกนห้ามเสียงดัง พร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาที่มีความหวัง
“หยุดก่อน ! ให้เขาได้อธิบายก่อน ! ”
“คุณหวู่ครับ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของคนพรรณนี้เลยครับ ! เขาเป็นแค่คนเก็บขยะตามท้องถนนนะครับ .. ”
รองประธานหวังรีบหันไปบอกหวู่เฉินเทียนทันที แต่เขากลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไร และยังคงจ้องมองฉีเล่ยแน่นิ่ง
“คุณหวู่ครับ ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออีกราวยี่สิบนาที ! ถ้าไม่รีบรักษาภายในเวลานี้ ก็คงยากที่จะช่วยอาวุโสหวู่ได้อีกแล้ว ! แต่ถ้าคุณเชื่อใจผม ผมจะทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นจากการตายปลอมๆนี้ได้ ! ”
ฉีเล่ยจ้องมองหวู่เฉินเทียน พร้อมกับอธิบายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น และเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ
หวู่เฉินเทียนจ้องมองฉีเล่ยแน่นิ่ง ราวกับว่ากำลังต้องการมองทะลุเข้าไปให้เห็นเนื้อในของเขา ..
หวู่เฉินเทียนนั้นมีฐานะทางสังคมสูงส่งกว่าฉีเล่ยมาก สายตาที่จ้องมองเขานั้นคมกริบราวกับใบมีด แต่ฉีเล่ยกลับยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบ และจ้องมองหวู่เฉินเทียนกลับอย่างไม่เกรงกลัว และยังคงสงบเยือกเย็นเช่นเดิม
“แล้วถ้าเธอทำไม่ได้ล่ะ ? ” หวู่เฉินเทียนเอ่ยถามฉีเล่ยเพียงแค่สั้นๆ
แต่ฉีเล่ยตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม “ด้วยฐานะของคุณในเมืองหนานหยาง คุณไม่ควรที่จะถามคำถามแบบนี้ออกมา .. ”
สิ่งที่ฉีเล่ยได้รับสืบทอดมาจากบรรพชนสกุลเฉินนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ทักษะทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังมีประสบการณ์ต่างๆ ตลอดทั้งชีวิตที่อาวุโสผู้นั้นพบเจอมาด้วย ฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ศรี หรือความหนักแน่นมั่นคงทางจิตใจในเวลานี้ ทำให้ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน เมื่อต้องเผชิญหน้าอยู่กับหวู่เฉินเทียนเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม หากเป็นฉีเล่ยเมื่อก่อนนี้ หากต้องยืนประจันหน้าอยู่กับหวู่เฉินเทียนเช่นนี้ ป่านนี้เขาคงต้องประหม่า และตระหนกตกใจจนพูดอะไรไม่ออกแน่ แต่ฉีเล่ยในตอนนี้ กลับไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย !
หวู่เฉินเทียนมั่นใจว่า ฉีเล่ยไม่ได้แกล้งทำเป็นรักษาภาพให้ดูสงบเยือกเย็นแน่ เขาจึงได้แต่ร้องตอบฉีเล่ยไปว่า
“ตกลง !”
หวู่เฉินเทียนพยักหน้า แต่ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวฉีเล่ย แต่เป็นเพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น และจำเป็นต้องเดิมพันเอาว่า จะเชื่อ หรือไม่เชื่อคำพูดของชายหนุ่มคนนี้เท่านั้นเอง !
แต่เมื่อรองประธานหวังที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำท่าจะพูดขัดขึ้นมา หวู่เฉินเทียนก็ได้แต่หันไปมองหน้า ทำให้รองประธานหวังได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไร
“ช่วยให้คนไปนำเข็มสำหรับใช้ในการฝังเข็มมาให้ผมด้วย .. ”
ฉีเล่ยตบหลังมือของเฉินอวี้หลัวเบาๆ เป็นการปลอบประโลม ในขณะเดียวกันก็หันไปทางสั่งรองประธานหวังที่อยู่ตรงข้าม
ในเมื่อหวู่เฉินเทียนเห็นด้วย และได้ตัดสินใจไปแล้ว รองประธานหวังก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ จึงได้แต่สั่งให้คนไปนำเข็มมาให้กับฉีเล่ยตามที่ร้องขอ
ฉีเล่ยถือเข็มเงินไว้ในมือพร้อมกับพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“เข็มนี่ไม่สู้ดีนัก แต่ก็ยังพอใช้ได้ …”
รองประธานหวังได้แต่แอบกัดฟันกรอด พร้อมกับร้องคำรามอยู่ในใจ ‘ฮึ่ม ! ฉันว่าแกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ! แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าแกรักษาไม่ได้ หวู่เฉินเทียนจะได้หันไปเล่นงานแกแทนฉัน !’
“อาวุโสได้มาพบผมเข้าโดยบังเอิญแบบนี้ นับเป็นความโชคดีของคุณแล้ว !”
ฉีเล่ยพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วทั้งสองสัมผัสที่หน้าผากของอาวุโสหวู่ และก่อนที่จะเขาจะพูดจบ เข็มเงินสองเล่มก็ได้เข้าไปอยู่ในนิ้วทั้งสองของฉีเล่ยแล้ว ก่อนจะปักลงไปบนขมับทั้งสองข้างของชายชราอย่างไม่ลังเล และปลายเข็มก็จมลึกลงไปจนน่าตกใจ
เวลานี้ เสียงร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจดังไปทั่วทั้งห้องฉุกเฉิน นั่นเพราะในบริเวณจุดฝังเข็มซึ่งนับเป็นจุดที่อันตรายที่สุดของมนุษย์ แทบไม่มีแพทย์แผนจีนคนไหน จะกล้าแทงเข็มลงไปในจุดที่อันตรายเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มซอมซ่อคนหนึ่ง กลับสามารถปักปลายเข็มลงไปจนลึกเกือบสองนิ้ว โดยแทบไม่ต้องปรายตามอง
แม้แต่หวู่เฉินเทียนเองยังถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขากลั้นหายใจนิ่ง และเกือบจะเผลอยื่นมือออกไปดึงแขนของฉีเล่ยไว้
“หุบปากกันให้หมด !”
หลังจากฝังเข็มทั้งสองเล่มลงไปบนขมับทั้งสองของชายชราแล้ว ฉีเล่ยก็เงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับตวาดเสียงดัง แม้แต่หวู่เฉินเทียนเองยังถึงกับชะงักแน่นิ่งไปเช่นกัน
จากนั้น เข็มเงินเล่มยาวที่สุดหนึ่งเล่ม ก็ถูกปักลงไปที่จุดป่ายฮุ่ย ซึ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อมของชายชรา
ตามมาด้วยจุดเทียนเฉวียน จุดชิงหลิง และอีกหลายจุดทั่วศรีษะ ..
เข็มสีเงินทั้งเก้าเล่มในมือของฉีเล่ยนั้น ได้ปักลงไปบนจุดฝังเข็มสำคัญต่างๆอย่างราบรื่น ภายในเวลาเพียงแค่สองสามวินาทีเท่านั้น
หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ทำการบิดเข็มแต่ละเล่มไปมาด้วยความชำนิชำนาญ ..
หวู่เฉินเทียนซึ่งยืนมองอยู่นั้น ถึงกับมีสีหน้าตกใจอย่างมาก นั่นเพราะวิธีการฝังเข็มของฉีเล่ยนั้น ดูล้ำเลิศแล้วก็ล้ำลึกยิ่งนัก ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง และเริ่มมั่นใจว่าตนเองนั้นตัดสินใจถูกต้องแล้ว เพราะชายหนุ่มคนนี้อาจจะสามารถชุบชีวิตพ่อของเขาให้ฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ
ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาอย่างไม่พอใจกับสภาพของตนเองในเวลานี้นัก นั่นเพราะหากเขาสามารถควบคุมพลังปราณภายในร่างได้ดีกว่านี้ การรักษาคงจะเป็นไปได้ราบรื่นกว่านี้มาก
ผ่านไปราวสิบกว่านาที ฉีเล่ยจึงได้ยกมือขึ้นสัมผัสหน้าผากของอาวุโสหวู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดมือไปมา แล้วเข็มเงินทั้งเก้าเล่มก็ถูกถอนออกอย่างรวดเร็ว
“พ่อหนุ่ม พ่อของฉัน ..”
หวู่เฉินเทียนรีบหันไปถามฉีเล่ยด้วยท่าทีระมัดระวัง แม้แต่ตัวเขาเองก็เพิ่งรู้ตัวว่า เขาไม่เคยพูดกับใครด้วยท่าทางระมัดระวังตัวแบบนี้มานานแล้ว
ฉีเล่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตนเอง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “อีกราวห้านาที อาวุโสก็คงจะฟื้นคืนสติแล้วล่ะ ! ส่วนเครื่องหอมภายในบ้าน ก็ควรต้องมีการปรับเปลี่ยน ..”
ฉีเล่ยเข้าใจกระจ่างแจ้งว่า ลักษณะการตายปลอมของอาวุโสหวู่นั้น เกิดจากการที่จิตวิญญาณของเขาถูกผนึกไว้ภายในร่าง ฉะนั้น ต่อให้ร่างกายถูกช้อตด้วยไฟฟ้า ก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เขาตื่นขึ้นมาได้
“จะฟื้นขึ้นมาได้ยังไงกัน ? มันเป็นไปไม่ได้ ! ดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่หน้าจอสิ ยังคงเป็นเส้นตรงอยู่เลย .. ” คุณหมอหลิวเบะปาก พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“หุบปากได้แล้ว !”
รองประธานหวังหันไปตวาดคุณหมอหลิวทันที นั่นเพราะเขาเข้าใจดีว่า ขืนทั้งเขา และหมอหลิวยังคงต่อต้านฉีเล่ยแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นปรปักษ์กับหวู่เฉินเทียนไปด้วย และแน่นอนว่า พวกเขาทั้งสองคงไม่อาจรับผลที่จะตามมาได้
แต่หลังจากผ่านห้านาทีไปแล้ว หากอาวุโสหวู่ไม่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ฉีเล่ยต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์โกรธของหวู่เฉิงเทียนแทนเขา
การปลุกคนที่ตายแล้วให้ฟื้นคืนชีพ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นพ่อของหวู่เฉินเทียนก็ตาม รองประธานหวังได้แต่คิดในใจว่า
‘พ่อหนุ่ม เธอโชคร้ายแน่ !’
เวลาค่อยๆเดินผ่านไปอย่างช้าๆ ในขณะนั้น คุณหมอหลิวก็ได้แต่พึมพำออกมาว่า “หึ ! ใกล้ถึงเวลาแล้ว ถ้าอาวุโสหวู่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ฉันจะยอมกินอุจจาระ .. ”
ในขณะที่ สีหน้าของหวู่เฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อย ..
“คุณพูดเองนะคุณหมอหลิว ! ”
ฉีเล่ยหันไปพูดกับหมอหลิวที่กำลังหัวเราะหึๆ ก่อนจะใช้นิ้วชี้เคาะลงไปบนเตียงผู้ป่วย ในส่วนที่เป็นโลหะ จนเกิดเสียงดัง ‘เคร้ง’ ขึ้น พร้อมกับร้องบอกชายชราที่กำลังนอนหลับไหลอยู่
“ตื่นได้แล้ว ! ”