ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 159 งานแถลงข่าวขนาดย่อม
ตอนที่159 งานแถลงข่าวขนาดย่อม
ปรากฏว่า หลังจากที่ฉีเล่ยได้ครอบครองป้ายประจำตระกูลเป่ยไปเมื่อสามวันก่อน เป่ยฉวนเทียนและหลานชายอย่างเป่ยจ้าวหยวนก็ได้นั่งปรึกษาหารือกันอยู่เป็นเวลานาน
เป่ยฉวนเทียนซักถามหลานชายเกี่ยวกับทุกอากัปกิริยาระหว่างที่ฉีเล่ยทำการฝังเข็มอย่างละเอียด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่า เคล็ดวิชาที่ฉีเล่ยใช้นั้นใช่วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ที่หายสาบสูญไปจริงๆหรือไม่?
ทั้งหมดทำไปเพื่อประเมินว่าฉีเล่ยเป็นบุคคลที่พวกเขาตามหามาตลอดหลายปีหรือไม่ หลังจากมั่นใจ และแผนการทุกอย่างได้ถูกเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว เป่ยฉวนเทียนจึงได้อาสาโทรชวนฉีเล่ยให้มาหาตนเองที่คลีนิคตระกูลเป่ย เพื่อมาทำการประลองในวันนี้
การวินิจฉัย การเลือกใช้ยา และการฝังเข็ม หากฉีเล่ยสามารถผ่านการทดสอบทั้งสามอย่างไปได้อย่างราบรื่น นั่นย่อมหมายความว่าเขาคือคนที่พวกเขาเฝ้าตามหามาโดยตลอดนั่นเอง
มิหนำซ้ำ ทักษะฝีมือที่ฉีเล่ยแสดงออกมาให้ทุกคนเห็นนั้น ยังเหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมากด้วย
ดังนั้นทันทีที่เสร็จสิ้นการฝังเข็มในรอบที่สาม เป่ยฉวนเทียนจึงได้ขยิบตาส่งสัญญาณให้หลานชายของตนเอง ไปจัดการเรียกนักข่าวมาตามแผน ทันทีที่เดินลงมายังชั้นล่าง ก็ได้ทำการเปิดตัวฉีเล่ยอย่างเป็นทางการครั้งแรก
จากนี้ต่อไป ฉีเล่ยจะกลายมาเป็นตัวแทนของศาสตร์แพทย์แผนจีนอย่างสมบูรณ์แบบ และเขายังจะเป็นแพทย์แผนจีนที่โด่งดังที่สุดทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย โดยการอาศัยแรงผลักดันจากบรรดาอาวุโสเหล่านี้ที่จะคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
“แล้วผมควรจะทำยังไงต่อไปดีครับ?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้น
“ก็อวดให้เต็มที่ได้เลย!”
เป่ยฉวนเทียนยกนิ้วโป้งให้ หวังจะเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ฉีเล่ยได้
อวดเหรอ?
บ้าแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดเลยแม้แต่น้อย
แต่ใครบ้างที่ไม่เคยเริ่มเดินจากก้าวแรก?
ฉีเล่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินลงบันไดไปยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางดงนักข่าวและกล้องมากมาย
ฉีเล่ยโบกมือให้ทุกคนที่กำลังยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพตนเอง พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นักข่าวทุกท่านครับ รบกวนช่วยเงียบก่อนนะครับ ถ้าอยากถามอะไรผม กรุณาช่วยถามทีละคนได้ไหมครับ?”
เมื่อเป่ยจ้าวหยวนเห็นว่า ฉีเล่ยยินยอมที่จะให้สัมภาษณ์กับพวกนักข่าวแล้ว เขาก็ได้แต่เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
“นักข่าวทุกท่านครับ ในเมื่อทายาทผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ยินยอมที่จะให้สัมภาษณ์แล้ว ขอเชิญทุกท่านเข้าไปนั่งสัมภาษณ์ดีๆในห้องประชุมของทางคลีนิคเราจะดีกว่าครับ แล้วกรุณยกมือถามทีละคนนะครับ กรุณาอย่าเสียมารยาท”
ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา แล้วร้องบอกนักข่าวทุกคนอย่างมีมารยาท
“ผมจะให้เวลาทุกคนสิบนาทีนะครับ”
ฉีเล่ยจำได้ว่า เวลาที่เหล่าดาราคนดังให้สัมภาษณ์สื่อนั้น พวกเขาจำเป็นจะต้องจำกัดเวลา แม้เขาจะไม่เคยเป็นคนดังมาก่อนในชีวิต แต่เขาเองก็มีดาราในดวงใจที่ติดตามดูเช่นกัน จึงไม่แปลกที่จะรู้วิธีจัดการ
เวลานี้ ฉีเล่ยและเหล่าอาวุโสต่างก็พากันนั่งไล่เรียงกันไปตามลำดับ เริ่มจากเป่ยจ้าวหยวน, ฉีเล่ย, เป่ยฉวนเทียน, อาวุโสเหวิน, อาวุโสหลัวและอาวุโสปิง ตรงข้ามพวกเขาเป็นบรรดานักข่าวที่นั่งประจำที่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในห้องประชุม ที่ทางคลินิกได้จัดเตรียมไว้สำหรับการสัมภาษณ์วันนี้โดยเฉพาะ
บรรยากาศตอนนี้ดูศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก เพราะบนเวทีสัมภาษณ์รายล้อมไปด้วยเหล่าปรมาจารย์แพทย์แผนจีนผู้มีชื่อเสียงหลายคนในเมืองหลวง ทั้งสองคู่ปู่หลานตระกูลเป่ย, อาวุโสเหวิน, หลัวไป่ซิ่ว, ปิงโหย่วหลิน
ภาพฉากที่ได้เห็นอยู่ในเวลานี้ ดูคล้ายกับการตั้งโต๊ะแถลงข่าวขนาดย่อมทีเดียว
“ขอบคุณสำหรับทุกความร่วมมือนะครับ เวลานี้ทุกคนสามารถยกมือขึ้นถามได้ตามสบายเลยครับ ใครยกมือก่อนได้ถามก่อนครับ”
เป่ยจ้าวหยวนรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพควบรวมกับตำแหน่งพิธีกรในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ และทันทีที่เขาพูดจบ นักข่าวต่างก็แย่งกันยกมือขึ้นทันที
คนแรกที่ได้สิทธิ์ถามเป็นหญิงสาวสวมแว่นตาหนาเตอะ เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“คุณฉีช่วยแนะนำตัวโดยสังเขปหน่อยได้ไหมคะ นักข่าวจากทุกสื่อต่างก็คงอยากทราบข้อมูลเหล่านี้ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการเขียนข่าวในคอลัมน์เหมือนกันค่ะ”
ฉีเล่ยจึงได้กล่าวแนะนำตัวเองทันที
“ผมชื่อฉีเล่ย ที่มีความหมายว่าหินผา ร่ำเรียนวิชาการแพทย์จีนจากตระกูลเฉินในหนานหยาง เฉินชางเซิง ผู้เป็นอาจารย์ของผมได้ล่วงลับไปแล้ว และเขายังเป็นพ่อตาของผมอีกด้วย ส่วนภรรยาของผม เธอชื่อว่าเฉินอวี้หลัว เป็นศัลยแพทย์กระดูกที่มีชื่อเสียงในหนานหยางเช่นกันครับ”
หลังจากฟังการแนะนำตัวของฉีเล่ยจนจบ ทุกคนต่างก็หันขวับไปมองหน้ากันทันที
นั่นเพราะคำแนะนำตัวของฉีเล่ยที่เปิดเผยออกมานั้น มีข้อมูลค่อนข้างน้อย โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางบ้านของฝั่งภรรยาเสียมากกว่า
“คุณฉีอายุเท่าไหร่คะ?”
นักข่าวสาวอีกคนรีบเร่งยกมือเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่านักข่าวสาวคนนี้จะสนใจในตัวฉีเล่ยมากกว่าเรื่องภรรยาของเขา และแน่นอนนี่ออกจะดูเป็นคำถามที่ค่อนข้างส่วนตัวไม่น้อย ซึ่งนักข่าวชายส่วนใหญ่จะไม่ค่อยถามกัน
ฉีเล่ยยิ้มและย้อนถามกลับไปว่า
“แล้วคุณคิดว่าผมอายุเท่าไหร่ครับ?”
นักข่าวสาวคนนั้นเดาไปว่า
“ไม่ 21ก็…22ใช่ไหมค่ะ?”
ฉีเล่ยหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“อายุของผู้ชายเองก็เป็นความลับเหมือนกันนะครับ แต่คงบอกใบ้ได้แค่ว่า ผมแก่กว่านั้นครับ”
“แต่คุณฉีดูหน้าเด็กมากเลยนะคะ…แล้วทำไมจู่ๆถึงได้เป็นผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยล่ะคะ?”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบทันที
“ผมเชื่อเสมอว่า ความสามารถของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับอายุน่ะครับ บางคนอายุปาเข้าไป50ปีแล้วยังทำตัวเอาแต่ใจอย่างกับเด็กน้อยก็ยังมี ส่วนที่ว่าทำไมจู่ๆ ผมถึงได้มาเป็นผู้สืบทอดวิชานี้ได้ คงต้องตอบว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรสวรรค์ของผมมากเพียงพอครับ”
“ไม่ใช่ว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ได้หายสาบสูญไปกว่าหลายร้อยปีแล้วเหรอคะ? แล้วการที่วันนี้คุณบอกว่าได้รับสืบทอดมา แสดงว่าต้องมีผู้รับช่วงสืบทอดวิชานี้มาโดยตลอดสินะคะ เพียงแต่อาจไม่ได้เปิดเผยใช่ไหมคะ? หรือเป็นไปได้ไหมคะว่า เฉินชางเชิงผู้เป็นพ่อตาของคุณจะเป็นคนถ่ายทอดวิชานี้ให้กับ?”
นักข่าวหญิงอีกคนได้โอกาสจึงรีบยกมือชิงถามขึ้นต่อทันที
เพื่อที่จะให้คำตอบที่ฟังดูสมเหตุสมผลและฟังดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ฉีเล่ยจึงจำเป็นต้องโกหกไปว่า
“วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์เป็นมรดกคู่ตระกูลเฉินมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณแล้วครับ ถ้าจะให้พูดกันตามความจริงก็คือ วิชานี้ไม่เคยหายสาบสูญไปไหน แต่เพราะไม่มีใครสามารถฝึกวิชานี้สำเร็จเลยน่าจะถูกต้องกว่า จนกระทั่งมาถึงรุ่นของเฉินชางเชิงพ่อตาของผม แม้เขาจะไม่สามารถรับสืบทอดได้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็ยังเฝ้าอบรมสั่งสอนผมมาโดยตลอด จนท้ายที่สุดเขาก็ได้ล่วงลับไป”
เมื่อพูดมาถึงประโยคนี้ ฉีเล่ยก็ได้หันไปมองเป่ยฉวนเทียนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆและกล่าวต่อทันที
“เวลานี้ อาวุโสเป่ยฉวนเทียนเองก็นับได้ว่าเป็นอาจารย์คนสำคัญของผมอีกคน เขาได้ถ่ายทอดทักษะความรู้มากมายให้แก่ผมเช่นกัน และทุกๆท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ต้องการฟื้นฟูและสืบสานวัฒนธรรมการแพทย์จีนที่มีตั้งแต่สมัยโบราณ ให้อยู่คู่เป็นสมบัติของประเทศชาติต่อไป”
เมื่อได้ยินฉีเล่ยกล่าวว่า ตนเป็นผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จากตระกูลเฉิน ทั้งยังเคารพเป่ยฉวนเทียนเปรียบเสมือนอาจารย์คนหนึ่ง บรรดานักข่าวจึงเบี่ยงความสนใจไปทางเป่ยฉวนเทียนทันที
“อาจารย์เป่ยครับ ไม่ทราบว่าคุณเคยประลองทักษะการแพทย์กับคุณฉีหรือไม่ครับ? แล้วไม่ทราบว่าใครเก่งกว่ากันครับพอจะบอกได้ไหมครับ?”
เป่นฉวนเทียนเหลือบมองฉีเล่ยเล็กน้อยและตอบไปตามตรงว่า
“ฉันแพ้การประลองทั้งหมดสามรอบให้กับฉีเล่ย ฉันแพ้สามรอบรวดเลยล่ะ”
“ในเมื่อผลออกมาแบบนี้ แล้วทำไมเขายังนับถือคุณเป็นอาจารย์อยู่อีกล่ะครับ?”
เป่ยฉวนเทียนยิ้มพร้อมกับอธิบายไปว่า
“นี่ยังไงล่ะที่ทำให้ฉีเล่ยแตกต่างจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยหยิ่งยโสอวดดี ไม่เคยทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ตรงกันข้าม เขากลับใฝ่รักในการศึกษาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและให้เกียรติผู้อื่น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเด็กหรือว่าอาวุโสกว่า ประกอบกับพรสวรรค์ด้านการแพทย์อันไร้ที่ติของฉีเล่ย ทำให้เขาเป็นบุคคลที่น่ายกย่องอย่างมาก แม้ฉันจะพ่ายแพ้ให้กับเขาไปถึงสามรอบติด แต่ก่อนหน้าเขาก็พยายามที่จะเลี่ยงการแข่งรอบที่สามโดยอ้างว่าตนเองเหนื่อยล้าจนสู้ไม่ไหว เพราะกังวลว่าเมื่อผลแพ้ชนะอย่างเป็นทางการออกมา ฉันอาจจะเสียชื่อเสียงได้ พวกเธอดูเอาเองก็แล้วกันว่า อีกฝ่ายให้เกียรติฉันมากขนาดไหน ด้วยความกตัญญูนี้เอง ฉันจึงได้ถ่ายทอดวิชาประจำตระกูลเป่ยอย่างวิชาห้าธาตุหยินหยางให้แก่ฉีเล่ย จนท้ายที่สุดฉีเล่ยจึงขอคำนับฉันเป็นอาจารย์ แต่พูดตามตรงนะ ฉันไม่มีคุณสมบัติจะสอนอะไรเขาได้เลย”
“อาจารย์เป่ย นี่คุณกำลังหมายความว่า…ทักษะการแพทย์ของคุณฉีเหนือชั้นกว่าตัวคุณอีกงั้นเหรอครับ?”
“ถูกต้อง! เขาเก่งกว่าฉันมาก”
เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังชัดเจน
ทันใดนั้นก็มีนักข่าวปากแหลมเอ่ยถามขึ้นว่า
“อาจารย์เป่ย! ด้วยความเคารพอย่างสูงนะคะ นี่คุณจงใจด้อยค่าตัวเองเพื่ออุ้มชูลูกศิษย์ตัวเองรึเปล่าคะ?”
“ฉันเป็นพยานได้”
อาวุโสเหวินที่นั่งอยู่ข้างๆโพล่งกล่าวขึ้นทันที ทั้งยังกล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ทักษะทางการแพทย์ของฉีเล่ยยังเหนือกกว่าฉันมากเหมือนกัน”
“ขนาดฉันเองยังเก่งไม่เท่าเขาเลย”
หลัวไป่ซิ่วที่นั่งกอดอกปั้นหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอด เวลานี้ก็ได้กล่าวเสริมอีกแรงเช่นกัน
“ฝีมือของฉันเองก็สู้เขาไม่ได้เหมือนกัน”
ปิงโหย่วหลินกล่าวปิดท้าย
เป่ยฉวนเทียนเหลือบมองชายชราทั้งสามที่ออกหน้าเป็นประจักษ์พยานให้กับทักษะทางการแพทย์ของฉีเล่ย ด้วยแววตาขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างมาก ก่อนจะหันไปบอกกับนักข่าวว่า
“คราวนี้ทุกคนคงเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ต่อให้ฉันสามารถโยนศักดิ์ศรีรวามถึงชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดชีวิตทิ้งไป เพียงเพื่ออุ้มชูเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ แต่มีหรือที่ตาเฒ่าพวกนี้จะยอมทำแบบนั้น? ส่วนที่ว่าจะจริงแค่ไหน ในอนาคตเดี๋ยวพวกเธอก็จะได้คำตอบกันเอง”
ปรมาจารย์ทั้งสี่ระดับชาติแห่งกรุงปักกิ่งต่างก็ยืนกรานเป็นพยานให้กับความแข็งแกร่งของฉีเล่ยอย่างพร้อมเพรียงกันแบบนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีน้ำหนักเพียงพอให้เชื่อถือได้แล้ว
บรรดาชายชราเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน บุคลิกและอุปนิสัยของแต่ละคนนั้น แม้จะเป็นคนใจกว้างเพียงใด แต่ต่างก็มีศักดิ์ศรีและตัวตนอันหยิ่งยโสของตัวเองกันทั้งนั้น การที่พวกเขาทั้งหมดจะยอมเต็มใจเอ่ยปากยอมรับในความสามารถของฉีเล่ยโดยถ้วนหน้าแบบนี้ แสดงว่าชายหนุ่มเองก็ต้องมีฝีมือจริงๆ
และสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถเก็บซ่อนไว้ได้เลยก็คือ ความจริงใจที่เผยออกมาทางสีหน้าของอาวุโสเหล่านั้นในระหว่างที่กล่าวชมฉีเล่ย!