ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 114 ในที่สุดก็มีQQ
ตอนที่114 ในที่สุดก็มีQQ
หลี่ถงซีถึงกับกุบขมับ
หรือเพื่อนหนุ่มคนนี้ของเธอไม่รู้แม้แต่วิธีจุดไฟด้วยซ้ำ นี่เขากำลังแกล้งโง่เพื่อกวนประสาทเธองั้นเหรอ?
ดูเหมือนว่าบทเรียนการสอนใช้คอมพิวเตอร์ในครั้งนี้คงต้องใช้เวลานานเป็นพิเศษ แต่อีกใจหนึ่งหลี่ถงซีก็รู้สึกมีความสุขไม่น้อยเลยเช่นกัน
นี่เท่ากับว่าเธอมีข้ออ้างที่จะได้อยู่กับฉีเล่ยสองต่อสองแล้วไม่ใช่เหรอ?
“ฉันจะสอนนายตั้งแต่วิธีการเปิดและปิดแล็ปท็อปเครื่องนี้ก่อน ซึ่งนี่เป็นบทเรียนขั้นพื้นฐานที่สุด”
หลี่ถงซีอธิบายต่อทันที
“วิธีเปิดเครื่องของนายถูกต้องแล้ว แต่วิธีปิดนั้นผิด การกดปิดโดยตรงแบบนั้นอาจทำให้ระบบภายในรวนได้ เดี๋ยวฉันจะสาธิตให้ดูทีหลัง แล้วตอนนี้นายมีอะไรที่อยากเรียนรู้เป็นพิเศษไหม?”
ถ้าสังเกตให้ดีๆ ตั้งแต่หลี่ถงซีผ่านเหตุการณ์การเผชิญหน้าระหว่างตัวเธอกับหลินชูวโม่มา หญิงสาวก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกฉีเล่ยจาก‘คุณ’กลายมาเป็น‘นาย’ เพื่อย่นระยะความสัมพันธ์ไม่ให้ดูเหินห่างนัก
“มีครับ”
“ต้องการเรียนรู้เรื่อง?”
“สิ่งที่เรียกว่า QQ”
“QQงั้นเหรอ?”
“ครับ”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ เขาได้ยินไอ้สิ่งที่เรียกว่า QQ มานานมากแล้ว เห็นว่าทุกคนมักจะใช้เจ้าสิ่งนี้สำหรับสนทนากับทุกคนบนโลกอินเตอร์เน็ต และเขาเองก็อยากลองใช้งานมันเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้น ภายใต้การกดขี่ตลอดแปดปีที่ผ่านมาของสองแม่ลูกสกุลเฉิน ทำให้เขาไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง ก็เลยไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้เจ้าสิ่งนี้เลย
หลี่ถงซีตอบกลับไปทันที
“โอเค อย่างแรกต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก่อน”
เธอกดเข้ารหัสพร้อมเชื่อมต่อกับรหัสไวไฟบนเครื่องของฉีเล่ยให้ทันที
หลังจากเชื่อมต่อสัญญาณเรียบร้อย หลี่ถงซีก็ช่วยโหลดโปรแกรมQQเข้ามาในเครื่องให้ทันที คลิกเข้าไปยังQQ บนหน้าจอปรากฏหน้าแรกสำหรับลงชื่อเข้าใช้ มาถึงตรงนี้เธอก็หันไปถามอีกฝ่ายว่า
“ต้องสมัครบัญชีก่อน”
“ต้องใช้อะไรบ้าง? ผมมีบัตรประชาชนกับบัญชีธนาคารอยู่ น่าจะพอสำหรับการสมัครใช่ไหม?”
“…”
หลี่ถงซีถึงกับถอนหายใจ และอาสาใช้อีเมลของตัวเธอเองกรอกข้อมูลสมัครให้โดยทันที พลางคิดไปว่า ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายสมัครด้วยตัวเอง ทั้งวันก็ไม่น่าจะเสร็จ
“เอาล่ะ นายจะตั้งชื่อบัญชีว่าอะไร?”
ฉีเล่ยเกาศีรษะเล็กน้อยพลางครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ชั่วครู่ เขากล่าวขึ้นว่า
“เซียนแพทย์สวรรค์หัตถ์นภาเคียงฟ้าสะท้านภพ”
“….”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากได้ฟัง หลี่ถงซีก็แทบอยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด
“เซียนแพทย์สวรรค์หัตถ์นภาเคียงฟ้าสะท้านภพ…เอ่อ….แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะใช้ชื่อนี้?”
ภายในใจหลี่ถงซีต่อต้านชื่อนี้อย่างสุดกำลัง จึงเอ่ยถามย้ำหวังกระตุ้นให้อีกฝ่ายคิดชื่อใหม่
แต่ฉีเล่ยยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะเอาชื่อนี้ หลี่ถงซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพิมพ์ชื่อดังกล่าวลงไป ก่อนพบว่าระบบแจ้งกลับมาทันที[จำนวนอักษรเกินกว่าที่กำหนด]
“ตัวอักษรเกินมา นายต้องตัดส่วนหนึ่งออก”
“ตัดส่วนหนึ่งออก?”
ฉีเล่ยพยายามคิดชื่อนี้ขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ แต่จะบอกให้ตัดส่วนหนึ่งออกแบบนี้มัน…ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากพอควร
แต่ในที่สุด เขาก็จำใจต้องตัดส่วนหนึ่งออกไปเหลือแค่ [เซียนแพทย์สวรรค์หัตถ์นภา]
กว่าจะสมัครเข้ามาหน้าบัญชีได้ หลี่ถงซีถึงกับปวดหัวลามไปเกือบครึ่งซีก แต่ในที่สุดบัญชีQQแรกของฉีเล่ยก็ได้ถือกำเนิดขึ้น!
“เราเข้าสู่ระบบได้แล้ว”
หลี่ถงซีกล่าว
แต่พอเปิดหน้าแชทสนทนาขึ้นมา ฉีเล่ยกลับไม่เห็นรายชื่อเพื่อนแม้แต่คนเดียวในQQเลย
“ในนี้ไม่มีใครเลยเหรอ?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้นต่อว่า
“แล้วเลขบัญชีของคุณล่ะ? ขอเพิ่มเพื่อนกับคุณได้ไหม?”
หลังจากคิดอยู่นาน ในที่สุดหลี่ถงซีก็จำเลขบัญชีQQที่แทบจะไม่ได้ใช้มาเป็นปีๆขึ้นมาได้ พอบอกเลขบัญชีของเธอเสร็จสรรพ ฉีเล่ยก็ได้เพื่อนคนแรกในQQสักที
สักพักหนึ่ง ฉีเล่ยก็ร้องถามขึ้นมาอีกว่า
“แล้วผมจะสนทนากับคุณยังไง?”
“ใช้คีย์บอร์ดเป็นใช่ไหม?”
“เป็นครับ”
จากนั้นหลี่ถงซีก็ชี้ให้เขาลองดับเบิ้ลคลิกไปที่รูปโปรไฟล์ของเธอ จากนั้นลองให้ฉีเล่ยพิมพ์คำว่า‘สวัสดี’ส่งไปในช่องแชทสนทนา
ฉีเล่ยจับจ้องหน้าจออยู่สักพักและเอ่ยถามขึ้นว่า
“ทำไมไม่มีคนตอบล่ะ?”
“…ก็ฉันอยู่ตรงนี้”
“งั้นคุณกลับไปที่ห้องเถอะ พวกเรามาคุยผ่านQQกันดีกว่า”
“…”
หลี่ถงซีอยากจะเอามีดสักเล่มมาปาดคอเขาให้ตายไปตรงนี้เลย
ตอนนี้ก็เจอกันตัวเป็นๆอยู่แล้วไง จะให้แยกออกไปคุยผ่านออนไลน์เพื่อ? นายเอาสมองไปใช้กับทางการแพทย์จีนจนไม่เหลือแล้วรึไง?
หลี่ถงซีกล่าวตอบไปว่า
“ฉันจะไปนอนพักสายตาแล้ว ที่เหลือก็ลองศึกษาเอาเองแล้วกัน”
“อืม ฝันดีครับ”
พอเหลือบไปมองใบหน้าของหลี่ถงซีที่ดูค่อนข้างเย็นชา ฉีเล่ยก็พลันสงสัยว่า ตัวเองพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?
วันต่อมา
ขณะที่กำลังยืนอยู่บนเวทีหน้าห้องเรียน ฉีเล่ยก็ยืนยิ้มแย้มอย่างมีความสุขขณะจับจ้องไปทางเหล่านักศึกษาเกือบร้อยคนที่อยู่ตรงหน้า
หลังจากผ่านไปได้สองถึงสามคลาส ในที่สุดก็มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งหมดความอดทนเนื่องจากความเคี่ยวของฉีเล่ย และเลือกที่จะไม่กลับมาเรียนอีกต่อไป ถึงแบบนั้นก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังมีจิตวิญญาณอันแรงกล้าและยืนหยัดอยู่ต่อ เป็นจำนวนสองเท่าจากจำนวนนักศึกษาในคาบแรก
ฉีเล่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างว่า
“ก่อนจะเข้าเรียน ผมมีข่าวดีที่จะประกาศกับทุกคน”
“ข่าวดีอะไรครับอาจารย์?”
“หรือว่า…หรือว่าเป็นไปได้ไหมที่อาจารย์ฉีกับอาจารย์หลี่กำลังจะแต่งงานกัน?!”
“จริงด้วย! จริงด้วย! มีความเป็นไปได้สูงที่อาจารย์ฉีกับอาจารย์หลี่จะกำลังคบหาดูใจกันอยู่! ไอ้บอร์ดสนทนาหน้าเว็บมหาวิทยาลัยเวรนั่นเตรียมหน้าแตกกันได้เลย!”
กลางดงของเหล่านักศึกษาแทบระเบิดออกมาในทันใด พวกเขาแต่ละคนต่างคาดเดากันไปต่างๆนานา ราวกับว่าไม่เห็นฉีเล่ยอยู่ในฐานะอาจารย์คนหนึ่งเลย
เนื่องจากความแตกต่างของอายุระหว่างฉีเล่ยกับพวกนักศึกษาเหล่านี้ไม่ค่อยห่างกันมากนัก ผนวกกับรูปแบบการสอนของฉีเล่ยที่ค่อนข้างผ่อนคลายเป็นกันเอง ดังนั้นทุกคนจึงมีสายสัมพันธ์อันดีต่อเขามาก หากให้เปรียบเทียบกับอาจารย์ท่านอื่น พวกเขาปฏิบัติต่อฉีเล่ยเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งมากกว่า
ฉีเล่ยโบกมือปฎิเสธ ก่อนจะรีบร้องบอกทุกคนว่า
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมอยากจะบอกทุกคนว่า ตอนนี้ผมใช้QQเป็นแล้วนะ! หลังจากนี้ ต่อไปทุกคนก็สามารถทักคุยกับผมได้ทุกเวลา!”
“….”
บรรยากาศทั่วทั้งห้องกลับกลายเป็นเงียบสงัดลงทันใด
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ ก็มีนักศึกษาคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองขึ้นว่า
“อาจารย์ฉีเพิ่งใช้QQเป็นเหรอครับ?”
“โถ่วจารย์…หลุดมาจากยุคหินรึเปล่า?”
“อาจารย์ฉีช่วยเพิ่มหนูเป็นเพื่อนหน่อยค่ะ เดี๋ยวดึกๆหนูจะวีดีโอคอลไปหา อิอิ…”
ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“เอาล่ะทุกคน เตรียมเอาปากกามาจดหมายเลขQQของผมนะ”
ขณะที่พูดจบ ฉีเล่ยก็หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋า ซึ่งมันก็คือแผ่นที่จดหมายเลขQQของตัวเขาเองไว้ และเริ่มอ่านให้นักศึกษาฟังทันที ส่วนทุกคนก็รีบหยิบปากกาขึ้นมาจด
เหอจื่อเป็นคนที่มือไวที่สุดแล้ว เธอหยิบมือถือขึ้นมาเข้าสู่ระบบQQและกดเพิ่มเพื่อนกับฉีเล่ยอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ มาเริ่มคลาสเรียนกันเลย”
เมื่อทุกคนจดเสร็จแล้ว ฉีเล่ยก็เคาะกระดานดำและเริ่มนำสู่คลาสเรียนทันที
“อาจารย์ฉี”
ทันใดนั้นก็มีสาวสวยใส่แว่นคนหนึ่งเดินมาเคาะประตูห้องเรียนพร้อมเอ่ยปากเรียกชื่อเขา
“หื้ม?”
ฉีเล่ยหันศีรษะไปมองก่อนจะพบว่าเป็นเสมียนประจำห้องพักอาจารย์ที่ชื่อว่าเซียวเกอ
“ว่าไงครับ?”
เซียวเกอกล่าวตอบไปว่า
“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเรียกไปพบด่วนค่ะ”
“ตอนนี้เลย?”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เลย”
ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า
“ตอนนี้ผมต้องสอนลูกศิษย์ก่อน ฝากบอกหัวหน้าคณะอาจารย์ซีไปทีครับว่า ผมจะไปหาเขาหลังจบคลาส”
เซียวเกอเผยอริมฝีปากขึ้นคล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง และดูเหมือนจะลังเลก่อนจะหยุดไปในที่สุด เธอคิดกับตัวเองว่า
‘ช่างมันเถอะ เธอไม่น่าจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายได้สำเร็จ เพราะชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้เป็นเพียงคนเดียวที่กล้าแตกหักกับอาจารย์ผู้อาวุโสที่สุดในสาขาแพทย์แผนจีนแห่งนี้’
หลังจากจบการสอนในคาบแรกไป ฉีเล่ยก็เดินไปยังห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์และเคาะประตูตามมารยาท
“เข้ามา”
ฉีเล่ยผลักประตูเข้าไปและเอ่ยถามขึ้นว่า
“หัวหน้าคณะอาจารย์ซี ต้องการพบผมใช่ไหมครับ?”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกำลังก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับการเขียนเอกสารแผ่นหนึ่งตรงหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมากล่าวว่า
“อาจารย์ฉี รบกวนนั่งรอก่อนสักครู่ ผมมีธุระที่ต้องจัดการโดยด่วนน่ะครับ”
“ครับผม”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ
ภายในห้องทำงานแห่งนี้ เว้นแต่เสียงนาฬิกาแขวนที่กำลังเดินพร้อมกับเสียงปลายปากกากระทบลงบนแผ่นกระดาษแล้ว ฉีเล่ยก็ได้แต่ยืนรออย่างเงียบงัน พลางคาดเดาไปว่า เหตุใดหัวหน้าคณะอาจารย์ซีถึงต้องเรียกเขาเข้าพบเป็นการด่วนแบบนี้
หลังจากนั้นประมาณ2-3นาที หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็ปิดแฟ้มเอกสารและวางปากกาในมือลง
“อาจารย์ฉี อยากดื่มอะไรเป็นพิเศษไหม?”
“ดื่มชาแล้วกันครับ”
ฉีเล่ยกล่าวเสนอออกไป เนื่องจากเพิ่งยืนเอ่ยปากสอนอยู่เกือบชั่วโมงเต็ม ส่งผลให้ตอนนี้เขาเริ่มกระหายน้ำเล็กน้อย
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีถึงกับขมวดคิ้ว ‘นี่ฉันถามเป็นมารยาท แต่จะให้ฉันรินชาให้เธอจริงๆน่ะเหรอ?’
ก่อนหน้านี้ที่ฉีเล่ยขอให้เซียวเกอกลับไปรายงานแทนว่า ขอให้สอนคาบนี้จบก่อนเดี๋ยวจะมาพบ เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีหัวเสียเต็มทนแล้ว แต่ตอนนี้ฉีเล่ยยังจะกล้ามาสั่งให้ตนเองรินน้ำชาให้อีก นี่เขายังรู้จักคำว่ามารยาทอยู่ไหม?
แต่สุดท้ายจำต้องระงับความโกรธของตัวเองลง หัวหน้าคณะอาจารย์ซีได้แต่จำใจรินชาลงไปในถ้วยให้ฉีเล่ย สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“อาจารย์ฉี ที่เรียกมาแบบนี้เพราะผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“ผมทราบครับ ว่ามาได้เลย”
ฉีเล่ยรับแก้วชาขึ้นมาจิบแก้กระหายไร้ซึ่งความประหม่าใดๆ ปากก็ร้องตอบกลับไปทันที
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกล่าวต่อว่า
“ผมค่อนข้างพึงพอใจกับการสอนของคุณนะ มีหนุ่มสาวไฟแรงเข้ามาสอนแบบนี้ก็ดีอยู่หรอก”
ฉีเล่ยทราบทันทีว่านี่เป็นเพียงการเกริ่นนำเท่านั้น เขายังคงตั้งใจฟังต่อไปอย่างใจเย็น
“แต่…”
ในที่สุดก็เข้าประเด็นสักที หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเอ่ยขึ้นต่อว่า
“เราติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง”