ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 10 อยากตาย หรืออยากมีชีวิต
ตอนที่ 10 อยากตาย หรืออยากมีชีวิต
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยจึงได้ช่วยประคองต่งซีหยุนไปเดินย่อยอาหารรอบๆบ้าน หลังจากก้าวเดินออกไปได้เพียงแค่สองสามก้าว ฉีเล่ยก็ได้ปล่อยให้อาวุโสต่งเดินด้วยตัวเอง
หลังจากที่เดินไปสักครู่ และเหงื่อเริ่มไหลท่วมตัว ฉีเล่ยจึงถามออกไปว่า “อาวุโสต่ง ไม่ทราบว่าตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ ?”
ต่งซีหยุนทดลองก้มลงมองที่พื้น แต่แล้วก็ถึงกับต้องร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ !
“ห๊ะ ?!”
“นี่ฉัน .. ฉันไม่เป็นอะไรเลย !”
ชายชราร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ สีหน้าของเขาบ่งบอกว่ากำลังมีความสุขอย่างมาก
“ฉันไม่วิงเวียนศรีษะเหมือนทุกครั้ง แล้วก็ไม่เป็นลมล้มฟุบลงไปด้วย !”
ต่งซีหยุนได้แต่ยืนตาโตและอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น หากให้ใครมาพบเห็นเข้า หรือถ่ายรูปในเวลานี้ คงต้องคิดว่าชายชรากำลังพบเจอสัตว์ประหลาด หรือไม่ก็พบเจอมนุษย์ต่างดาวกำลังบุกโลกเป็นแน่ !
แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี !
แม้ว่าอาการป่วยของต่งซีหยุนจะไม่ได้รุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิต แต่ก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินเหินเป็นปกติได้อีก ไม่สามารถเดินลงบันไดได้อย่างที่เคยทำ และไม่สามารถก้มลงมองปลายเท้าได้
เพื่อรักษาอาการป่วยครั้งนี้ แพทย์ประจำตัวของเขาถึงกับสั่งงดอาหารที่มีไขมัน อาหารทะเลทุกชนิด และแม้กระทั่งเนื้อสัตว์ ข้อห้ามเหล่านี้ได้สร้างความเจ็บปวดใจให้กับชายชรามากเท่าไหร่นั้น คงจะมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รับรู้ ..
หลายวันที่ผ่านมา ต่งซีหยุนต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วยครั้งนี้ของตนเอง และรู้สึกราวกับว่า โรคนี้แม้จะไม่มีอาการรุนแรง แต่ก็ไม่ต่างจากการถูกฆ่าตายด้วยวิธีที่นุ่มนวลไปทีละเล็กทีละน้อย
แต่ตอนนี้ ต่งซีหยุนกลับคิดไม่ถึงว่า อาการเจ็บป่วยที่สร้างความทุกข์ทรมานทั้งกาย และใจให้กับเขา ซึ่งแม้แต่ทีมแพทย์ และทีมผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพ ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้นั้น ชายหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่ง กลับสามารถรักษาให้หายเป็นปลิดทิ้งได้อย่างง่ายดาย ..
โดยที่ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องรับประทานยา แต่เพียงแค่รับประทานอาหาร และดื่มให้มากพอ จากนั้น ก็ออกมาเดินเล่นย่อยอาหาร เพียงแค่นี้ อาการทั้งหมดก็อันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ !
ต่งซีหยุนหันไปมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชื่นชม เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าท่าทางเคารพศรัทธา
“ท่านหมอ .. ผมขออนุญาตถามว่า นี่คือการรักษาโรคแบบไหนกัน ?”
ต่งซีหยุนเป็นคนที่ดูแลสุขภาพของตนเองมาอย่างดีโดยตลอด อีกทั้งยังมีแพทย์ประจำตัวที่คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ตัวเขาเองพอมีความรู้เรื่องยาจีนบ้างเล็กน้อย จึงอดที่จะงุนสงสัยกับการรักษาที่แปลกประหลาดของฉีเล่ยไม่ได้
“ผมคงต้องเริ่มเล่าจากสาเหตุของโรคก่อน .. ” ฉีเล่ยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ และได้เอ่ยปากบอกชายชรา
“ในวันที่เกิดเหตุ อาวุโสดื่มหนักจนเกินไป ทำให้ตับทำงานหนักจนเสียหาย หลังจากนั้นยังไปหกล้มเพราะเมาอีก แม้จะไม่ได้ล้มรุนแรงอะไรนัก แต่นั่นก็ทำให้อาวุโสเกิดอาการตกใจกลัวจนช็อค ! ”
“เมื่อคนเราหวาดกลัวมากๆ ตับในร่างกายก็จะยิ่งทำงานหนัก ประกอบกับคืนนั้นอาวุโสดื่มเหล้าเข้าไปมาก ตับจึงเกิดปัญหาเล็กน้อย ..”
“หลักการของศาสตร์อย่างแพทย์แผนจีนนั้นบ่งบอกไว้ว่า ตับของคนเราเชื่อมโยงกับดวงตา เมื่อตับมีปัญหาจึงไม่สามารถใช้สายตามองลงต่ำได้ แต่เมื่อนอนราบกลับไม่มีอาการอะไร นั่นเพราะในขณะนอนราบ เหมือนกับว่าตับได้ถูกรีเซ็ตค่าใหม่ ทุกอย่างจึงดูเหมือนเป็นปกติ แต่เมื่ออาวุโสขยับร่างกายอีกครั้ง ตับก็จะเกิดการสั่นไหว ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ ..”
“…”
“สุดยอด ! ช่างมหัศจรรย์จริงๆ !”
ต่งซีหยุนถึงกับพึมพำออกมาด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ “ฉันอยู่มาจนอายุเจ็ดสิบกว่าปี หาหมอจีนมาก็เยอะ หากจะพูดว่ามีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนไม่น้อย ก็คงจะไม่เป็นการโอ้อวดนัก แต่ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังอะไรเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนที่ลึกซึ้งแบบนี้มาก่อนเลย .. ”
หลังจากที่ได้ฟังในสิ่งที่ฉีเล่ยอธิบาย อาวุโสต่งก็อดที่จะถามต่อไม่ได้ “แล้วที่ท่านหมอรักษาฉัน ใช้หลักการอะไรงั้นเหรอ ?”
ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมา “ผมก็ใช้หลักการพื้นๆนี่ล่ะครับ ! ผมแค่ให้อาวุโสกินอาหาร และดื่มให้เต็มที่ เพื่อให้กระเพาะและปอดทำงาน หลังจากอวัยวะทั้งสองทำงานร่วมกัน ก็จะบีบดันให้ตับกลับสู่ตำแหน่งเดิม อาการทั้งหมดจึงได้หายไป ..”
เวลานี้ ต่งซีหยุนได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ..
‘ช่างเป็นหมอที่อัศจรรย์มากจริงๆ !’
‘สมแล้วที่เฉิงเฟิงเรียกเขาว่าหมอเทวดา !’
ไม่จำเป็นต้องใช้ยา หรือเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ในการรักษาให้วุ่นวาย มีเพียงแค่ความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และรักษาด้วยการสนทนาพูดคุย กับเสียงหัวเราะเท่านั้น
‘ชายหนุ่มคนนี้ช่างเป็นอัจฉริยะที่ล้ำเลิศมากจริงๆ !’
หลังจากที่อาการป่วยแปลกประหลาดได้รับการรักษาหายแล้ว ต่งซีหยุนก็มีอารมณ์ที่ดีขึ้นมาก เขาเอ่ยปากชมฉีเล่ยไม่หยุดปาก และพูดคุยกับชายหนุ่มด้วยกิริยานอบน้อม ราวกับว่าตัวเขาเองเป็นเด็กหนุ่ม ที่กำลังสนทนาอยู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง
ปากก็เอาแต่พล่ามอยู่ตลอดเวลาว่า เสียดายที่ฉีเล่ยไม่ใช่ลูกของเขา !
หลังจากที่ได้ฟังอาวุโสต่งเอ่ยชมจนฉีเล่ยรู้สึกเก้อเขิน ในที่สุดเขาก็หันไปบอกกับชายชราว่า “อาวุโสต่งชมเกินไปแล้ว ! ความจริงผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย หากจะขอบคุณ คงต้องขอบคุณอาวุโสหวู่กับหวู่เฉิงเฟิงมากกว่า !”
หลังจากที่ได้ยินฉีเล่ยพูดถึงพ่อลูกสกุลหวู่ขึ้นมา ต่งซีหยุนก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เวลานี้ตนเองกำลังมาเป็นแขกของสกุลหวู่อยู่ และตลอดเวลาที่ออกมาเดินย่อยอาหารนี้ เขาก็หลงลืมสองพ่อลูกสกุลหวู่ไปเสียสนิท
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทจนเกินไป ต่งซีหยุนจึงรีบหันไปยิ้มให้กับหวู่เฉิงเฟิง พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“น้องเฉิงเฟิง ขอบใจมากนะที่แนะนำคุณหมอฉีให้กับฉัน ไม่อย่างนั้น โรคแปลกประหลาดนี่คงต้องรบกวนชีวิตของฉันไปอีกนานเลยทีเดียว ! ”
หลังจากที่ได้ยินต่งซีหยุนเปลี่ยนมาเรียกตนเองว่า ‘น้องเฉิงเฟิง’ หวู่เฉิงเฟิงก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ..
นั่นเพราะการเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกขานของต่งซีหยุนนั้น เป็นการบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น
ในเมื่อมิตรภาพแน่นแฟ้นขึ้น การลงทุนต่างๆ ก็น่าจะราบรื่นไร้ปัญหาไม่ใช่หรือ ?
เวลานี้ หวู่เฉิงเฟิงยิ่งซาบซึ้งในน้ำใจของฉีเล่ยมากขึ้น เพราะเมื่อครู่นั้น เขาก็ได้เปรยกับต่งซีหยุนเป็นนัยๆว่า ควรต้องยกความดีความชอบในครั้งนี้ให้กับพ่อลูกสกุลหวู่ ..
หลังจากนั้น สองพ่อลูกสกุลหวู่ก็ได้เชื้อเชิญต่งซีหยุนกลับเข้าไปในบ้าน เพื่อที่จะหารือเรื่องความร่วมมือในธุรกิจต่อ เพราะหลังจากที่ฉีเล่ยได้แสดงความสามารถ รักษาอาการป่วยให้กับชายชราแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสนิทชิดเชื้อขึ้นมาในทันที
ดังคำโบราณว่า ตีเหล็กต้องตียามร้อน !
หลังจากที่เห็นว่าเริ่มค่ำมืดดึกดื่นมากแล้ว อีกทั้งเวลานี้ ก็เป็นโอกาสที่สกุลหวู่กับอาวุโสต่งจะเจรจากันในเรื่องธุรกิจ ซึ่งคงจะไม่สะดวกนัก ที่คนนอกอย่างเขาจะร่วมฟังด้วย ฉีเล่ยจึงได้ขอตัวกลับก่อน
หวู่เฉิงเฟิงจึงได้หันไปสั่งลูกชายทันที “เฉินเทียน ไปส่งฉีเล่ยด้วย !”
“พ่อครับ คือผม ..”
“ยังไม่รีบไปอีก !”
หวู่เฉิงเฟิงหันไปกำชับเสียงห้วน พร้อมกับจ้องมองลูกชายด้วยสายตาดุดัน และอดที่จะโมโหไม่ได้ ที่ลูกชายของตนนั้นมีตาแต่ไร้แววจริงๆ
หวู่เฉินเทียนเห็นสายตาของผู้เป็นพ่อ ก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง และได้แต่เดินไปสตาร์ทรถรอฉีเล่ย
หลังจากที่ร่ำลาอาวุโสต่งกับอาวุโสหวู่แล้ว ฉีเล่ยก็ได้หันหลังก้าวออกจากห้องรับแขก แต่ก้าวเดินไปได้เพียงแค่สองก้าว ฉีเล่ยก็หยุดชะงักคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วจึงรีบหันหลังกลับมาพูดกับแพทย์ประจำตัวของต่งซีหยุนว่า
“ดูเหมือนผมจะยังไม่ได้รับคำขอโทษจากคุณสินะ ?”
ใบหน้าของนายแพทย์คนนั้นเปลี่ยนเป็นเหยเกขึ้นมาทันที แม้เขาจะไม่ต้องการก้มศรีษะเอ่ยปากขอโทษฉีเล่ย แต่เวลานี้ อาการของอาวุโสต่งก็ได้ประจักษ์ต่อสายตาทุกคนแล้วว่า หลังจากที่รับประทานอาหารต้องห้ามทั้งหมด ไม่เพียงอาวุโสต่งจะไม่เป็นอะไร อาการเจ็บป่วยต่างๆก็ได้หายไปด้วย หากเขายังขืนสร้างความไม่พอใจให้อาวุโสต่งอีก ชายชราคงไม่รีรอที่จะไล่เขาออกแน่ๆ
ด้วยเหตุนี้ นายแพทย์ผู้นั้นจึงจำเป็นต้องอ้าปากพูดขึ้น ด้วยสีหน้าท่าทางกระอักระอ่วน “ผมต้องขอโทษคุณหมอฉีด้วย ที่มองคุณผิดไปก่อนหน้านี้ ..”
นายแพทย์ผู้นั้นเพียงแค่เอ่ยขอโทษฉีเล่ยไป แต่ไม่ได้พูดชื่นชมทักษะทางการแพทย์ของเขาเลยแม้แต่น้อย
แม้ฉีเล่ยจะรู้ว่า นายแพทย์ผู้นั้นยังไม่ยอมรับความสามารถของตนเอง เขาก็ไม่ต้องการที่จะคะยั้นคะยออะไรอีก และได้แต่ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินออกไปทันที
………..
ในระหว่างทางที่หวู่เฉินเทียนขับรถไปส่งฉีเล่ยนั้น ชายหนุ่มก็ได้นั่งในตำแหน่งข้างคนขับ และต่างฝ่ายต่างก็นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงบ้านของฉีเล่ย
แต่ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังจะเปิดประตูรถออกไปนั้น เขาก็ต้องหยุดชะงักเพราะคำพูดของหวู่เฉินเทียนที่ดังขึ้น
“เธออยากจะตาย หรือยังอยากจะมีชีวิตอยู่ ? ”