ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 102 เจ้าจงพูดต่อไป ข้าจะตั้งใจฟัง
บทที่ 102 เจ้าจงพูดต่อไป ข้าจะตั้งใจฟัง
บทที่ 102 เจ้าจงพูดต่อไป ข้าจะตั้งใจฟัง
ในช่วงเดือนแรกที่หลิงเยว่มาอยู่ในเมืองฮั่วหยาง นางได้สอนผู้บำเพ็ญที่สนใจเรียนรู้พื้นฐานการกลั่นโอสถ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดา เด็กสาวก็ยินดีสอนให้โดยไม่หวงวิชา หากสัตว์อสูรหาไม่ได้ก็ใช้สัตว์ปีกแทน ด้วยสัตว์ปีกก็สามารถทำเป็นอาหารเลิศรสได้เช่นกัน
ก่อนที่นางจะมาสู่โลกผู้บำเพ็ญเซียน หลิงเยว่นั้นได้ศึกษาเกี่ยวกับอาหารทั่วไปจนล้ำลึกเสียยิ่งกว่าอาหารวิญญาณพิเศษแน่นอน ส่วนอาหารวิญญาณพิเศษนั้น นางเพิ่งจะเริ่มต้นศึกษาเท่านั้น
การทำอาหารวิญญาณพิเศษนั้น ไม่ใช่แค่การทำตามตำราอาหารแล้วจะนำมาปรุงได้เลย ทว่าต้องเรียนรู้ว่าเนื้อสัตว์อสูรชนิดใดควรจับคู่กับสมุนไพรวิญญาณชนิดใด และจะจัดการกับกลิ่นแปลก ๆ ของสมุนไพรวิญญาณอย่างไร โดยที่ยังคงรักษาสรรพคุณโอสถเอาไว้ได้ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นศาสตร์ที่ล้ำลึกนัก!
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่านางจะมาโลกผู้บำเพ็ญเซียนได้เกือบปีแล้ว แต่จำนวนอาหารวิญญาณพิเศษที่ทำได้สำเร็จกลับน้อยนัก ส่วนอาหารที่ล้มเหลวก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ด้วยมีมากมายเสียจนนับไม่ถ้วน
จะสามารถเห็นผลสำเร็จได้ในเวลาเพียงเดือนเดียวหรือไม่?
เป็นไปได้แน่นอน ขณะนี้หลิงเยว่กำลังเดินอยู่บนถนนอาหารของเมืองฮั่วหยาง กลิ่นหอมที่ลอยมาตามลม ทำให้เด็กสาวหวนนึงถึงประเทศจีน
ในบรรดาอาหารทั้งหลาย กลิ่นเนื้อย่างเสียบไม้นั้นหอมฟุ้งที่สุด ผู้คนในเมืองนี้ล้วนเชี่ยวชาญในการย่างเนื้อสัตว์นานาชนิด
“เสี่ยวชิง เจ้ามาชิมเนื้อย่างเสียบไม้ชุ่มน้ำปรุงรสหวานของข้าเถิด อร่อยนักเชียว!”
“เนื้อย่างเสียบไม้รสเผ็ดของข้าสุดยอดกว่า ลองชิมของข้าเถิด!”
“ไก่ย่างห่อสมุนไพรวิญญาณของข้าอร่อยยิ่งกว่า ใคร ๆ ก็ล้วนชมทั้งนั้น…”
“เสี่ยวชิง คนอายุเท่าเจ้าต้องชอบของหวานมากกว่าแน่ ๆ ลองกินขนมแป้งนึ่งที่ข้าทำดูสิ…”
…
หลิงเยว่เพิ่งปรากฏตัวบนถนนอาหาร ทันใดนั้นเหล่าชาวเมืองผู้ใจดีก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ต่างคนต่างถือผลงานอันภาคภูมิใจของตัวเองมาเสนอให้นางไม่ขาดสาย เพียงชั่วพริบตาอ้อมแขนของเด็กสาวก็เต็มไปด้วยอาหารมากมาย
อาหารแต่ละอย่างถูกใส่มาจนเต็มเปี่ยม กลิ่นหอมที่หลากหลายปะปนกันจนทำให้จมูกของเด็กสาวแดงเรื่อขึ้นมา
เข้าใจผิดแล้ว นางไม่ได้ร้องไห้เพราะซึ้งใจนะ แต่แสบคันจากความเผ็ดร้อนต่างหาก! ผู้ใดกันที่เอาพริกมาโรยบนชิ้นเนื้อราวกับไม่คิดถึงคนกินเช่นนี้ กลิ่นเนื้อแทบจะจำใจดมไม่ได้เลย!
หลิงเยว่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนหยิบเนื้อเสียบไม้มากิน อืม… ย่างนานไปสักหน่อย ผิวด้านนอกไหม้เกรียมจนเกือบเป็นสีดำ รสชาติขมเล็กน้อย ถ้าไม่สนใจเรื่องที่ผิวด้านนอกไหม้เกรียม ก็นับว่าพอทานได้
“เป็นอย่างไรบ้าง คราวนี้หมูย่างที่ข้าทำรสชาติเป็นอย่างไร?”
“ท่านเป็นคนย่างหรือเจ้าคะ? ท่านใช้ไฟแรงเสียจนเนื้อไหม้เกรียมหมดแล้ว ครั้งหน้าให้ลองใช้ไฟอ่อน แล้วย่างนานสักหน่อย เนื้อข้างในยังสุกไม่ถึงดี แต่รสชาติถือว่าอร่อยแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากกินเนื้อหมูย่างเสียบไม้เสร็จหลิงเยว่ก็วิจารณ์ไปตามความจริง แล้วหยิบเนื้อหมูสามชั้นย่างขึ้นมากินอีกไม้ โอ้โห! บนเนื้อมีแต่พริกจนเกือบจะมองไม่เห็นเนื้อเลย นี่แหละตัวการที่ทำให้นางเกือบร้องไห้เพราะความเผ็ดร้อน!
หลิงเยว่เหลือบมองไปรอบ ๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้น แล้วขอโทษด้วยความอาย “ข้าเห็นเจ้ามาตรวจงาน เลยตื่นเต้นเสียจนมือสั่นเผลอโรยพริกไปเยอะโดยไม่ได้ตั้งใจ…”
หลิงเยว่ไม่อยากเสี่ยงกับการกินพริกจนปวดแสบปวดร้อน เลยเปลี่ยนมากินอย่างอื่นแทน ขอเป็นของหวานสักหน่อย เมื่อนางตักขนมแป้งนึ่งเข้าปากคำใหญ่ พลันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
นุ่มนวล หอมหวาน เต็มปากเต็มคำไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ อร่อยจนหลิงเยว่แทบจะร้องไห้ด้วยความดีใจ
“ท่านป้า ขนมแป้งนึ่งที่ท่านทำนี่อร่อยนักเจ้าค่ะ!”
หลังจากได้รับคำชม นางก็เชิดหน้าขึ้นทันที ท่าทางเย่อหยิ่งของนางทำให้คนรอบข้างขบฟันแน่นด้วยความหมั่นไส้
เหอะ… แค่นำข้าวมาทำเป็นขนมมีอะไรให้ภาคภูมิใจกัน!
คนที่ไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือของตัวเองก็แอบเดินจากไป แต่คนที่มั่นใจต่างก็เร่งรัดให้หลิงเยว่รีบลองชิม
หลิงเยว่กินอิ่มจนแน่นตัว ท้องป่องจนแทบจะเดินไม่ได้ เด็กสาวได้แต่ลูบหน้าท้องของตัวเองขณะเดินออกมาจากตลาดอาหาร
“ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดเจ้าถึงเสียเวลาอยู่ที่นี่ หากมีเวลาก็ทำอาหารวิญญาณพิเศษเพื่อชดใช้หนี้จะไม่ดีกว่าหรือ?” ซูซวงโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ในมือถือขนมแป้งนึ่งกินไปพลางบ่น
เพิ่งวางถ้วยลง ยังไม่ทันล้างมือก็เริ่มดุกันเสียแล้ว เช่นนี้จะดีหรือ?
หลิงเยว่ชำเลืองมอง
“อร่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
ซูซวงตักขนมแป้งนึ่งเข้าปาก พยักหน้า ขนมรสชาติดี แต่เมื่อเทียบกับอาหารวิญญาณแล้ว ก็นับว่ายังห่างไกลกันพอสมควร
“เมืองฮั่วหยาง เหตุใดจึงไม่ปลูกสมุนไพรวิญญาณหรือข้าววิญญาณเล่าเจ้าคะ?”
“เหตุใดต้องปลูกด้วย?”
คำถามกลับของซูซวงทำให้หลิงเยว่ตกตะลึง ก็ไว้เพื่อกินหรือขายน่ะสิ ยังต้องถามอีกหรือ?
เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดออกมาจากปากของซูซวง นางมองหลิงเยว่ด้วยสายตาราวกับมองเด็กสาวที่ยังไม่โต อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีก็ยังเป็นเด็กอยู่จริง ๆ
“เจ้าลองมองดูสภาพดินที่นี่สิ แห้งแล้ง ปราศจากแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ จะปลูกอะไรก็คงลำบาก แม้จะปลูกได้ ผลผลิตคงไม่ดีนัก หากต้องการขายยิ่งเป็นการยาก ด้วยเอาไปขายที่ใดก็คงไม่มีใครอยากซื้อ”
เมืองฮั่วหยางนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยผืนทรายสีทอง จากเมืองนี้ไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงสองวัน โดยการผ่านทางประตูมิติสองแห่ง ซึ่งก็เท่ากับว่าเมืองนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยว
“แทนที่จะลงแรงปลูกสมุนไพรวิญญาณที่ขายไม่ได้ราคา สู้ฆ่าสัตว์อสูรให้มากขึ้นแทนไม่ดีกว่าหรือ” ซูซวงส่ายหน้า อาหารธรรมดาก็เพียงพอสำหรับมนุษย์แล้ว
“เช่นนั้นหากเราจะเนรมิตสถานที่นี้ให้เป็นเมืองแห่งอาหารเลิศรสเล่าเจ้าคะ”
หลิงเยว่ฟังแล้วไม่ท้อใจ รีบตามซูซวงไปทันที “หากเราสามารถเผยแพร่ชื่อเสียงอาหารวิญญาณพิเศษ เพื่อดึงดูดบรรดาผู้คลั่งไคล้ในรสเลิศที่หาซื้อโอสถไม่ได้ แต่ชื่นชอบการผจญภัยออกล่าสัตว์อสูรมาทำเป็นวัตถุดิบและแลกเป็นหินวิญญาณแทนเล่าเจ้าคะ”
ผู้บำเพ็ญจากต่างเมือง หากต้องการล่าสัตว์อสูร เพียงจ่ายหินวิญญาณเล็กน้อยก็สามารถนำชิ้นส่วนที่มีค่าติดตัวกลับไปได้ พวกเราเมืองฮั่วหยางรับหน้าที่รวบรวมชิ้นส่วนสัตว์อสูรที่เหลือ แล้วนำมาแปรรูปและขายต่อเท่านั้น…
หลิงเยว่ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ด้วยรู้สึกว่าแผนการของตัวเองนั้นสมบูรณ์แบบ
ซูซวงที่เดิมทีเพียงรับฟังอย่างเฉยเมยก็พลันเปลี่ยนสีหน้า
นับตั้งแต่สถาปนาเมืองฮั่วหยางมา มีผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหลายสิบคน ทุกคนต่างปรารถนาจะทำบางสิ่งเพื่อเมืองที่แสนทรุดโทรมแต่กลับยืนหยัดไม่ล่มสลายท่ามกลางเวิ้งทะเลทรายแห่งนี้ ด้วยการสรรหาผู้บำเพ็ญและนักกลั่นโอสถถือเป็นเรื่องที่ดำเนินการมานับพันครั้งแล้ว แม้จะสามารถสรรหาได้จริง ทว่าน่าเสียดาย… จำนวนที่ได้มายังน้อยกว่าเหล่านักโทษที่ส่งตัวมาเป็นประจำทุกปีเสียอีก
ผู้คนที่มาเยือนมีน้อยก็นับว่าแย่พออยู่แล้ว ทว่าสุดท้ายทุกคนกลับจากไปจนหมดสิ้น
นานวันเข้า จึงไม่มีเจ้าเมืองคนใดปรารถนาจะสรรหาผู้บำเพ็ญอีก ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปตามธรรมชาติและสอดคล้องกับวิถีแห่งสวรรค์
“เช่นนั้นเจ้าลองกล่าวมาสิว่าจะเผยแพร่ชื่อเสียงอาหารวิญญาณพิเศษนี้อย่างไร?”
หลิงเยว่พูดจนปากจะแห้งก็ยังไม่หยุด ในประเทศจีนการประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อเผยแพร่ โดยการลงเงินไปจ้างหน้าม้าให้บอกเล่ากันไปปากต่อปาก จากนั้นก็เชิญคนที่มีชื่อเสียงให้พูดสนับสนุนอาหารวิญญาณพิเศษต่าง ๆ
วิธีการย่อมมีมากมาย…
แต่ที่นี่คือโลกผู้บำเพ็ญเซียน วิธีการแบบนั้นจึงใช้ไม่ได้
“ไม่เช่นนั้น พวกเราหลอกคนกลุ่มหนึ่งก่อน แล้วให้กลุ่มที่โดนหลอกไปหลอกคนกลุ่มใหม่ ๆ ต่อไปล่ะเจ้าคะ”
หลิงเยว่ไม่ได้พูดถึงการหลอกลวงอย่างแท้จริง เพียงแต่ต้องบอกออกไปว่า ทางตอนเหนือของเมืองฮั่วหยางมีเทพเซียนและสัตว์อสูรกำลังจะปรากฏตัว เชื่อว่าจะต้องมีผู้บำเพ็ญมากมายปรากฏตัวอย่างแน่นอน
พวกเขาต้องผ่านเมืองฮั่วหยางเพื่อไปเฝ้าดูเทพเซียนและสัตว์อสูร
หากผ่านมาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?
“พูดว่าสัตว์อสูรปรากฏตัวน่าจะสมเหตุสมผลกว่า…” หลิงเยว่ลากซูซวงไปยังมุมกำแพง แล้วกระซิบเสียงเบาราวกับขโมยตัวน้อย “เมืองฮั่วหยางของเราประสบภาวะสัตว์ป่าโจมตีนานนับพันปีแล้ว นี่คงเป็นการปูทางให้สัตว์อสูรที่จะปรากฏตัวกระมังเจ้าคะ!”
ซูซวงทำสีหน้า ‘เจ้าจงพูดต่อไป ข้าจะตั้งใจฟัง’
“เหตุใดเมืองฮั่วหยางถึงมีสัตว์ป่าโจมตีอยู่เป็นประจำ นั่นคงเป็นเพราะสัตว์อสูรที่กำลังจะกำเนิดขึ้น คอยชักจูงอยู่เบื้องหลัง มันต้องการให้สัตว์อสูรทั่วไปเหยียบย่ำดินแดนแห่งนี้ เพื่อจะได้ปรากฏตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ…”
หลิงเยว่จินตนาการบรรเจิด สร้างเรื่องเล่าที่มีหลักการและเหตุผลจนซูซวงแทบจะเชื่อไปแล้ว
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ไปเป็นนักเล่าเรื่อง”
“ฮ่า ๆ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านลงมือเองเลยเถิดเจ้าค่ะ แล้วสร้างอะไรสักอย่างเช่นเมฆมงคลห้าสี หรืออะไรที่มันยิ่งใหญ่สักหน่อย หากเป็นเช่นนั้นไยต้องกลัวว่าจะไม่มีผู้บำเพ็ญมาอีกเจ้าคะ!”
หลิงเยว่รู้สึกตื่นเต้นจนสองแก้มแดงก่ำ อยากจะรีบไปลงมือเหลือเกิน!