ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 842 จัดการได้!
ตอนที่ 842 จัดการได้!
……….
“เปิดประตู มาส่งอาหาร”
“ครับผม รอสักครู่”
ประตูไม่ถูกเปิดออก เพราะประตูระเบิดไปแล้ว ขี้เลื่อยปลิวว่อน ตัวทนายอันเองก็ระเบิดกระเด็นไปพร้อมๆ กันด้วย
อาเฟิงยืนอยู่หน้าประตู ใช้มือยันผนัง เป้ายังคงเย็นซู่ แต่รอยยิ้มบางๆ กลับประดับไว้มุมปาก “เจ้าโจรตัวจ้อยจากไหนกล้าปีนเกลียวคนอย่างปู่ของเจ้า”
หน่วยบังคับใช้กฎหมายไม่ได้รับการปล่อยตัวมาหลายปี วิญญาณสัมภเวสีในแดนมนุษย์ลืมเชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของเราจนหมดสิ้นไปแล้วหรือ
ในร่มเงาสนามหญ้าด้านหลังไกลๆ
โจวเจ๋อเลียริมฝีปากและพูด “ใช้ได้”
แค่ความรอบคอบและความเร็วในการตอบสนองได้กำหนดนิยามใหม่ของคำว่า ‘หน่วยบังคับใช้กฎหมาย’ ในใจของเถ้าแก่โจวไว้แล้ว
เหล่าจางพยักหน้าอยู่ข้างๆ เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ทนายอันชักมือกระดูกของตัวเองกลับ หัวเราะหึๆ พลางเอ่ย “ผมรู้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้ถึงได้เสนอให้เหล่าจางไปเคาะประตูไง”
“…” เหล่าจาง
“มองผมทำไม ยังไงคุณก็อึดอยู่แล้ว”
หน้าประตู
สีหน้าของอาเฟิงที่เพิ่งจะภูมิใจที่ควบคุมทุกอย่างได้อยู่หมัดพลันแข็งกระด้าง เขาสูดหายใจเข้าลึกและตบหน้าผากตัวเองทันที จากนั้นชายคนนั้นที่ล้มหงายตึงบนพื้นทางเดินหน้าประตูหายตัวไปแล้ว
ใบหน้าอาเฟิงกระตุก เขาโดนเล่นเข้าให้แล้ว แถมหลังถูกหลอกให้ยืนภูมิใจอยู่หน้าประตูอีกต่างหาก ช่างน่าอายอย่างยิ่ง!
“ขายหน้าเสียจริง”
อาเผิงเอาหนังสือเคาะหลังตัวเองอยู่บนชั้นสองพลางหัวเราะเยาะสหายร่วมหน่วย
อาเผิงโยนหนังสือในมือลงมา
ทันใดนั้นเอง เชือกในหนังสือขาดสะบั้น กระดาษสีนวลปลิวว่อน ตามด้วย กระดาษเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนปกคลุมวิลล่าและพื้นที่ส่วนหนึ่งรอบๆ ในทันที
“เฮอะ”
อาเผิงยิ้ม ยื่นมือไปข้างหน้าและจับควันสีชมพูไว้ในมือ
“จับเจ้าได้แล้ว”
…
“เฮอะ จับเจ้าได้แล้ว”
ทนายอันขยับพลิกนิ้วกระดูกทั้งสิบนิ้วอย่างรวดเร็ว สีหน้าเคร่งขรึมและจริงจังอีกครั้ง
ไกลออกไปตรงบนระเบียงชั้นสอง มือของอาเผิงสั่นเทิ้มอย่างรวดเร็ว ความดูถูกในแววตาค่อยๆ จางหายไปแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม
“เฮ้ จับได้แล้วไม่ใช่หรือ” อาเฟิงเงยหน้าขึ้นตะโกนถามด้านบน
คนเล่า
คนอยู่ไหน
เจ้าสอดแนมแล้วไม่ใช่หรือ รายงานตำแหน่งมา!
“เป็นคู่ต่อสู้” อาเผิงเอ่ยพูด ขยับปลายนิ้วไม่หยุด หากสังเกตเขาใกล้ๆ ในเวลานี้ จะพบว่ามีความแวววาวหลากหลายปรากฎขึ้นในดวงตาของเขาอยู่ตลอดเวลา ราวกับเป็นการแสดงภาพสไลด์ไหลวนอย่างรวดเร็ว
ภาพลวงตาถูกสร้างขึ้นทีละฉากๆ และภาพลวงตาแต่ละฉากถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ก็มองหาจุดอ่อนของกันและกันด้วย
ไม่นาน
รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปากของอาเผิงและเอ่ยพึมพำ “ทำไมถึงได้รู้สึก…คุ้นเคย”
…
เหล่าจางชี้ทนายอันที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสองคน แม้ว่าเหล่าจางจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาเคยเห็นฉากต่อสู้กลางอากาศในละครทีวีมาแล้ว ในเวลานี้ถึงได้รู้ว่าทนายอันกำลังปะทะกับใครสักคนในวิลล่าฝั่งตรงข้าม
โจวเจ๋อส่ายหน้า “ไม่รีบ ในเมื่อมาช่วยเหล่าอันระบายความโกรธ ก็ต้องให้เขาสัมผัสประสบการณ์ในเกมสักหน่อย”
นี่ถึงจะเรียกว่าความคิดของเถ้าแก่จีนที่แสนดี!
หากเล่นโกงละก็ เพื่อนร่วมทีมทำได้แค่มาเก็บอาวุธ จริงๆ แล้วมันน่าเบื่อเอามากๆ
อันที่จริง นอกจากจะไม่จ่ายเงินเดือนให้ แต่เถ้าแก่โจวสามารถชนะรางวัล ‘เถ้าแก่ขวัญใจพนักงาน’ ได้จริงๆ
“เหล่าจาง”
“หือ”
“คุณเหยียบรองเท้าผม”
“อ่า ขอโทษครับ…”
เหล่าจางถอยหลังโดยไม่รู้ตัวและถึงได้พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาไม่ได้เหยียบรองเท้าของเถ้าแก่เลย
แต่ในตอนนี้เอง เงาดำโผล่ขึ้นด้านหลังโจวเจ๋อและเหล่าจาง มาไม่ให้สุ้มให้เสียงราวกับผี แต่เหล่าจางที่กำลังถอยร่นดันติดอยู่ระหว่างโจวเจ๋อและเงาดำพอดี
คั่นได้สมบูรณ์แบบ!
กริชคมกริบสีดำแทงหลังเหล่าจาง ร่างของเหลาจางปรากฏแสงสีขาว
‘ปัง!’
‘วืด!’
เหล่าจางหงายหลังกระเด็นออกไป เงาดำเองก็สั่นสะท้านเช่นกัน
โจวเจ๋อฉวยโอกาสเคลื่อนไหว อาศัยโอกาสนี้ก้าวข้ามและใช้เล็บทั้งห้านิ้วฟาดตรงไปหาเงาดำ!
‘ผัวะ!’
เงาดำถูกกวาดกระเด็นและเสียเปรียบ แต่ก่อนจะกระแทกพื้นมันกลับกลายเป็นขี้เถ้าดำสลายไปแล้ว
โจวเจ๋อย่อตัวลงทันที เล็บห้านิ้วแทงลงกระเบื้องปูนและกระซิบเสียงเบา “กาแฟ”
‘ตู้ม!’
โซ่เหล็กหนาห้าเส้นผุดขึ้นมา ปิดตายเส้นทางหลบหนีของเงาดำในชั่วพริบตา
เมื่อเทียบกับช่วงที่เริ่มเป็นยมทูตเมื่อสองปีก่อนรู้แค่วิธีใช้เล็บข่วนเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเถ้าแก่โจวก็นับว่ามีประสบการณ์ต่อสู้มามากมาย พลังพลิกฟ้าคว่ำฝนอันยิ่งใหญ่มหาศาลระดับสูงก็เคยเห็นมาแล้ว พรายกระบี่เงาของตัวละครเล็กๆ ฟาดฟันกันไปมาก็เคยเห็นมาแล้ว โจวเจ๋อรู้ดี การจัดการกับสิ่งมีชีวิตประเภทนักฆ่าแบบนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือปิดตายเส้นทางหนีทีไล่ของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง!
อย่างที่เจ้าโง่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือห้ามเลียนแบบเจ้าครึ่งหน้านั่น ต่อสู้ทุกครั้งก็ทำตัวเองบาดเจ็บอยู่ร่ำไป แม้ว่าท้ายที่สุดอิ๋งโกวจะชนะ แต่ก็ไม่รู้สึกยินดีกับชัยชนะเลยสักนิด
เงาดำก่อตัวเป็นรูปร่าง หญิงสาวสวมชุดนอน ทั้งมือ เท้าและคอถูกโซ่ล่ามไว้แน่นหนาพร้อมขังไว้บนอากาศ สายลมยามเย็นพัดมา ชุดนอนเริ่มพลิ้วไหว เพียงแต่ไร้ความงามอันน่าหลงใหลของฤดูใบไม้ผลิเผยออกมา
หน้าอกของหญิงสาวไม่มีเนื้อหนังที่สมบูรณ์สักนิด คล้ายกับว่ามันถูกมีดเฉือนออกไปและเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน่ากลัว
ในตอนนี้เอง รอยแผลเป็นเหล่านี้ยังเลื้อยขยุกขยิกหลั่งน้ำคั้นสีเขียวออกมา
ก่อนจะลงมือ ทนายอันเคยเน้นย้ำอยู่หลายครั้งว่าความสามารถที่แท้จริงของหน่วยบังคับใช้กฎหมายอาจจะสู้ผู้ตรวจสอบธรรมดาไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการเผชิญหน้าฝ่ายเดียว ภายใต้เงื่อนไขการลุยเดี่ยว ผู้ตรวจสอบจะตาย!
เนื่องจากคนกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่นิสัยและสุนทรียภาพบิดเบี้ยวอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น แต่แทบจะกลายเป็นเครื่องชี้ขาดที่มีประสบการณ์ต่อสู้หลากหลาย
หัวหน้าใหญ่ของหน่วยบังคับกฎหมายในตอนนั้นอาศัยพลังนี้จนตั้งอยู่ภายใต้ตำหนักพระยมทั้งสิบ หากต่อมาไม่ใช่เพราะพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์โกรธเกรี้ยวโดยไม่ทราบสาเหตุ จนทำให้พระโพธิสัตว์องค์นี้ที่ปกติไม่เคยเผยโฉมหน้าพระพักตร์สั่งให้พระยมฉู่เจียงหวังลงมือปราบปรามด้วยตนเอง บางทีในตอนนี้หน่วยบังคับใช้กฎหมายจะยังคงเป็นหนึ่งในกองกำลังที่น่ากลัวที่สุดในยมโลกก็เป็นได้!
เพียงแต่หัวหน้าใหญ่ถูกสยบ จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นทำให้พลังหน่วยบังคับใช้กฎหมายเสียหายอย่างรุนแรง ยังบวกกับหลังจากถูกขังมานานหลายสิบปีจนถึงตอนนี้เหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น
แต่เศษที่เหลืออยู่นี่ยังกัดฟันดิ้นรนอยู่!
“ซี๊ด…”
ระหว่างนั้นเอง โจวเจ๋อรู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือตัวเอง มีสีเขียวปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ ตามมาด้วยผิวหนังและเนื้อแตกน่ากลัวอย่างยิ่งพร้อมด้วยหนองเน่าเปื่อย!
โซ่ตรวนสลายไปเพราะเหตุนี้ หญิงสาวจึงร่วงลงพื้น
พิษนี้สามารถกระจายตาม ‘กาแฟ’ ของเขาและแผ่ซ่านบนตัวเขาด้วย
เดิมทีเรื่องที่คิดว่าเอาอยู่หมัด กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันในขณะนี้
หากเป็นคนอื่น ตอนนี้อาจจะสูญเสียความได้เปรียบไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แม้แต่ร่างกายก็ยังตกอยู่ในอันตราย แต่โจวเจ๋อเพียงแค่อ้าปากส่งเสียงคำราม
“โฮก!”
เขี้ยวสองซี่งอกออกมา ความแวววาวสีดำเริ่มไหลเวียนในดวงตาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายเข้าสู่สถานะผีดิบอย่างรวดเร็ว พิษศพหลั่งไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นพิษบนฝ่ามือสลายไปจากฝ่ามือก่อนที่มันจะแพร่กระจายออกไปจนหมดสิ้น
การจะทุบผีดิบให้ตายนั้น ยากมาก แต่อยากจะวางยาพิษใส่ผีดิบนั้น ยากยิ่งกว่า!
อาเหยาร่วงลงกับพื้น เงยหน้าจ้องมองโจวเจ๋อที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยด้วย ใบหน้าก็กระตุก รอยแผลเป็นราวกับว่ามีชีวิตเริ่มไต่ขึ้นมาจากคอทีละนิดๆ จนปกคลุมไปทั่วทั้งใบหน้าของนาง
เอาล่ะ ตอนนี้ไม่ใช่แค่ใต้ร่มผ้าไม่น่ามองแล้ว ตอนนั้นยิ่งไม่น่ามองไปทั้งตัวด้วยซ้ำ
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผีดิบ…”
อาเหยาแลบลิ้นเลียฝีปาก เอียงหัวเล็กน้อยพลางเอ่ย “ข้าได้กลิ่นเจ้าหน้าที่ทางการจากตัวเจ้า เจ้าเป็นคนของยมโลกหรือ”
โจวเจ๋อไม่ตอบ
“อ้อ มิน่าล่ะพวกเราตามหาในทงเฉิงตั้งสองวันกลับหายมทูตในทงเฉิงไม่เจอเลยสักตน พวกเจ้าหลบซ่อนสินะ”
อาเหยาเผยสีหน้าประหลาดใจ
“จุ๊ๆ ในเมื่อเจ้าเป็นยมทูต เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้จักตัวตนของพวกเราทั้งสามคนดี! ภายใต้คำสั่งของยมโลก หวนสู่แดนมนุษย์จับผู้หลบหนี หากไม่ช่วยไม่เป็นไร แต่ดันกล้าขัดขวางการบังคับใช้กฎหมาย ถือเป็นความผิด!”
เถ้าแก่โจวอมยิ้ม คำพูดเมื่อครู่ของผู้หญิงคนนี้ฟังดูแล้วรู้สึกเหมือนกำลังถ่ายละครสมัยโบราณอย่างไรชอบกล
แต่ท่าทีดูถูกของโจวเจ๋อไปกระตุ้นอาเหยาเข้า อาเหยาเอานิ้วชี้เข้าปากและดูดดุน พร้อมกับพูด “จุ๊ๆ ดูเหมือนว่ายมโลกจะล่มสลายไปไกลแล้วจริงๆ แม้แต่ยมทูตในแดนมนุษย์ยังกล้าต่อต้านกฎหมายอย่างเปิดเผย”
ระหว่างที่พูด นิ้วชี้ของอาเหยาอยู่ห่างจากปาก น้ำลายวาววับหยดไหลออกจากริมฝีปาก แต่ทว่า ขณะที่มันกำลังจะร่วงหยดลงพื้น จู่ๆ ม่านแสงสีเขียวอ่อนพลันปรากฏขึ้นสลายและเหยหยดน้ำลายไปจนสิ้น
ในเวลาเดียวกัน แหวนทองสัมฤทธิ์บนนิ้วนางซ้ายของโจวเจ๋อกลับส่องประกายขึ้นเล็กน้อย
เมื่อวานตอนที่กินหัวหมูบวกกับขาหมู เจ้าโง่ก็ได้ฟื้นกำลังขึ้นมาหน่อยและพัฒนาแหวนทองสัมฤทธิ์ใหม่อีกครั้ง เป็นประโยชน์สำหรับโจวเจ๋อก็ตรงที่ ตอนนี้โจวเจ๋อใช้มันได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็คล่องมือไปเสียทุกอย่าง
แม้ว่าจะไม่เข้าใจค่ายกล แต่อาศัยการเปิดใช้แหวนทองสัมฤทธิ์วงนี้สร้างแดนอาคมกั้นการสื่อสารกับโลกภายนอกก็ไม่ใช่ปัญหาและพื้นที่ก็ใหญ่พอสมควร
โจวเจ๋อเอาแต่คิดว่า เป็นความตั้งใจของเจ้าโง่หรือเปล่า หลังจากพัฒนาแหวนทองสัมฤทธิ์แล้วจะได้สะดวกในการล่าหาอาหารและป้อนเขาได้ง่ายขึ้นในอนาคต
เขาเหมือนเป็นสุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งจริงๆ วิ่งไปคาบเหยื่อกลับมาให้เขา
เรื่องทิศทางของอารมณ์ยังไม่ใช่เรื่องต้องไปคำนึงถึง แต่ผู้หญิงคนนี้เก่งกาจจริงๆ ปากเอาแต่พล่ามคำสาบาน แต่กลับแอบส่งข่าวไปเบื้องล่าง
“จุ๊ๆๆ วิธีนี้ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ บางทีสิ่งที่เรียกว่าผู้ตรวจสอบตัวจริง พวกเขาอาจมีวิธีการไม่มากเท่าเจ้าใช่หรือไม่”
หญิงสาวค้อมตัว จ้องมองโจวเจ๋อราวกับเสือชีตาห์กำลังจะกระโจนขย้ำ
“ดูเหมือนว่า คืนนี้พวกเจ้าอยากจะเอาชีวิตพวกเราทั้งสามคนจริงๆ น่ะหรือ ได้สิ ก่อนจะเอาจริงบอกชื่อเสียงเรียงนามหน่อยได้หรือไม่ ไม่ว่าใครจะตายก็ตาม จะได้สะดวกตั้งอนุสาวรีย์ให้อีกฝ่าย ข้าชื่ออาเหยา ข้าไม่มีแซ่ คนในหน่วยบังคับใช้กฎหมายล้วนไม่มีแซ่”
สีหน้าโจวเจ๋อแข็งกระด้างและตอบกลับไปอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ฉันชื่อเกิงเฉิน”
……………………………………………………………….