มู่หนานจือ - บทที่ 358 ชวน
หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนพลางยิ้มแหยๆ
เป็นครั้งแรกที่เจียงเซี่ยนเห็นหลี่เชียนเป็นแบบนี้ นางคิดว่าเขาต้องดื่มมากไปอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่โกรธเช่นกัน เพียงแค่คาดไม่ถึงเล็กน้อย จึงถามเขาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้ทำไมถึงดื่มมากขนาดนี้?”
ในความคิดของนาง ความสัมพันธ์ของหนิวหวากับตระกูลหลี่น่าจะเหมือนกับตระกูลหม่าและตระกูลจง เป็นลูกน้องเก่าของหลี่ฉางชิง และจงรักภักดีต่อกลุ่มของหลี่ฉางชิง
หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้ ท่านอาหนิวหวาเป็นคนซื่อและตรงไปตรงมา เคยได้รับเงินช่วยเหลือจากท่านแม่ จึงเคารพท่านแม่มาก หลังจากท่านแม่ตาย เขาก็ดูแลข้ามาโดยตลอด ปฏิบัติกับข้าเหมือนลูกหลาน หลายปีนี้เขาเป็นห่วงมาตลอดว่าท่านพ่อจะไม่ดีกับข้า จึงมักจะแอบสืบข่าวของข้า…”
เจียงเซี่ยนเห็นเขาหน้าแดงทั้งหน้า ทว่าสายตากลับสะอาดและบริสุทธิ์อย่างหาได้ยาก ก็อดไม่ได้ที่จะลูบหน้าผากของเขา
แต่หลี่เชียนกลับฉวยโอกาสจับมือของนาง แล้วแนบมือกับแก้มของตนเอง พลางพึมพำว่า “เป่าหนิง เขาบอกว่า…ได้ยินข่าวที่ข้าแต่งงาน เขาดีใจมาก ต่อไปต่อให้เจอท่านแม่ที่ยมโลก ก็สามารถตอบได้อย่างสบายใจแล้วเช่นกัน”
นี่เขาคงคิดถึงแม่แท้ๆ ของตนเองแล้วกระมัง!
เจียงเซี่ยนถามหลี่เชียนเสียงนุ่มว่า “ท่านแม่เป็นคนอย่างไร เจ้ายังจำได้หรือไม่?”
“จำไม่ค่อยได้แล้ว” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าซนมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันหากไม่คิดแต่จะให้พวกท่านอาพาไปขี่ม้า ก็คิดแต่จะทะเลาะกับพวกจงเทียนอี้ ในความทรงจำของข้า…ท่านแม่เข้มงวดกับข้ามาก มีครั้งหนึ่งข้าไม่ตั้งใจฝึกคัดตัวอักษร นางใช้ไม้ไผ่ตีมือของข้า ตอนอาหารเย็นข้าถือตะเกียบไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นข้าก็คิดว่า ข้าไม่อยากเป็นลูกชายของท่านแม่แล้ว ข้าอยากไปเป็นลูกชายของท่านป้าจง นางไม่เคยตีพวกจงเทียนอี้เลย แถมยังทำซาลาเปาไส้ผักที่อร่อยมากเป็นด้วย…แต่พอถึงตอนกลางคืนที่ข้านอนอย่างสะลึมสะลือ ก็พบว่ามีคนทายาที่มือให้ข้า ข้าเรียกท่านแม่อย่างงัวเงีย น้ำตาของนางก็ร่วงลงบนหน้าข้า ในใจข้า…ก็คิดว่านางเข้มงวดกับข้าก็จริง แต่ก็รักข้ามากเช่นกัน ตอนหลังข้าโตแล้วบอกจงเทียนอี้ เขาบอกว่าไม่เคยมีเรื่องนี้ ข้านอนสะลึมสะลือ และคิดไปเอง”
“ตอนนั้นข้ายังทะเลาะกับจงเทียนอี้ด้วย”
“แต่หลังจากข้าโตแล้วหวนคิดขึ้นมา ก็ยังไม่กล้ายืนยันจริงๆ ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นหรือไม่”
ตอนที่เขาเอ่ยเรื่องนี้ สีหน้าไม่มีความหม่นหมองแม้แต่นิดเดียว เหมือนกำลังเล่าเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับรู้สึกได้ถึงความเศร้าในใจเขาอย่างบอกไม่ถูก
จำรูปร่างหน้าตาของมารดาผู้ให้กำเนิดตนเองไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าแค่ไหนสำหรับเด็ก
เจียงเซี่ยนนึกถึงตนเอง
เพราะแบบนี้ พวกเขาถึงได้เข้าขากันขนาดนั้นอย่างนั้นหรือ?
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะสงสารหลี่เชียนขึ้นมา
นางก้มหน้าลง และจูบหน้าผากของหลี่เชียนเบาๆ
หลี่เชียนแปลกใจ และเด้งตัวขึ้นมาอย่างประหลาดใจทันที แล้วจูบริมฝีปากของเจียงเซี่ยน
อุณหภูมิร่างกายของเจียงเซี่ยนมักจะต่ำกว่าเขาเล็กน้อยเสมอ จูบแล้วทั้งหอมและลื่น มักจะทำให้เขานึกถึงวุ้นแช่เย็นที่เขาเคยกินในหน้าร้อนตอนเด็กๆ ทั้งหอมและหวาน อร่อยอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้
เขาอดไม่ได้ที่จะแงะฟันของนางออก และนัวเนียกับนาง ทำให้ลิ้นของนางเล่นกับเขา
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาทำกับนางแบบนี้
ทุกครั้งก็ทำให้นางลนลานและคิดฟุ้งซ่าน จนเกือบจะหายใจไม่ออก
ไม่เหมือนที่เขียนในนิยายเหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว
ส่วนใหญ่นางยังคงทรมาน
ทว่าครั้งนี้นางยังไม่ทันดิ้นด้วยซ้ำ หลี่เชียนก็ปล่อยนางแล้ว และลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว แล้วพิงหัวเตียงและไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง
เจียงเซี่ยนมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ก็ได้ยินเขาตอบว่า “เข้ามา” ไป่เจี๋ยพาสาวใช้ที่ถือถ้วยชาอยู่เดินเข้ามา
นางยิ้มพลางย่อตัวคารวะทั้งสองคน แล้วรับถ้วยชาที่อยู่ในมือสาวใช้มามอบให้หลี่เชียน “ท่านแม่ทัพ น้ำแกงสร่างเมาเจ้าค่ะ”
เจียงเซี่ยนหน้าแดง
หรือว่าเมื่อครู่ที่จู่ๆ หลี่เชียนก็ปล่อยนาง ที่แท้เป็นเพราะได้ยินไป่เจี๋ยรายงานอย่างนั้นหรือ
แต่ทำไมนางไม่ได้ยินล่ะ?
พอคิดถึงตรงนี้ นางถึงพบว่า ไม่ว่าหลี่เชียนจะแอบเล่นกับนางอย่างไร ไร้ยางอายต่อหน้านางอย่างไร ทว่ากลับไม่เคยจะเล่นกับนางต่อหน้าพวกสาวใช้และหญิงรับใช้ข้างกายนางเลย เขามักจะคำนึงถึงเกียรติของนางเสมอ
ก็เหมือนชาติก่อน
ถึงแม้ต่อหน้านางจะทำอะไรลับๆ ล่อๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เคยทำร้ายนางจริงๆ เช่นกัน
ดังนั้นนางถึงวางใจกับเขาเช่นนี้ แล้วปล่อยให้เขาก่อความวุ่นวายและปล่อยผ่านไปกระมัง?
เจียงเซี่ยนคิดถึงตรงนี้ ก็เม้มปากยิ้ม พอเห็นหลี่เชียนดื่มน้ำแกงสร่างเมาหมดแล้ว ก็เร่งให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และถามถึงกำหนดการเดินทางของเขา “พรุ่งนี้เจ้าจะกลับตอนไหน?”
หลี่เชียนอาลัยอาวรณ์เจียงเซี่ยนเล็กน้อย และเอ่ยว่า “พรุ่งนี้รับประทานอาหารเช้าแล้วก็กลับ จะได้เข้าเมืองทันก่อนที่ประตูเมืองไท่หยวนจะลั่นดาล”
รีบเดินทางแบบนี้เหนื่อยมาก
หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะเอาม้าไปสองตัว”
เจียงเซี่ยนคิดแล้ว ก็แอบสั่งให้ฉิงเค่อไปหาช่างเย็บปักถักร้อยที่ชำนาญ ทำผ้าห่มผืนเล็กที่ใส่ฝ้ายเยอะมากให้หลี่เชียน ให้เขาคลุมไว้บนอานม้า หลี่เชียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทว่ากลับไม่อาจปัดความหวังดีของเจียงเซี่ยนได้ ถึงแม้จะรับไว้แล้ว แต่กลับเก็บไว้ในหีบที่ค่ายทหารตลอด ตอนหลังกรีธาทัพไปทำสงครามที่ไกล ก็พกไว้ข้างกายด้วย ทว่ากลับไม่เคยใช้ เจียงเซี่ยนไม่รู้ว่า ทุกครั้งที่ทำให้เขาผืนหนึ่ง หลี่เชียนก็จะเก็บไว้ตลอด และวันที่หกเดือนหกของทุกปีก็จะเอาออกมาตากแดด
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันทีหลัง
วันนี้ทุกคนรีบเดินทางต่างก็เหนื่อยเล็กน้อย นอนไปตื่นหนึ่ง ถึงตอนเย็นพระอาทิตย์ตกจึงจะดีขึ้น
หลี่หลินเรียกหลี่เชียนไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน เด็กรับใช้ที่ถ่ายทอดคำพูดยังบอกว่า “คุณชายหลี่หลินยังเรียกคุณชายรองกับคุณชายสามไปด้วย ตั้งที่ย่างเนื้อในลานกว้างหลังเขาแล้ว บอกว่าจะย่างเนื้อที่หลังเขาขอรับ!”
หลี่เชียนได้ยินแล้วก็ถามเจียงเซี่ยนว่า “อยากไปหรือไม่?”
เจียงเซี่ยนอยากไป แต่พอคิดว่าหลังเขามีแต่พี่น้องของหลี่เชียน นางไปอาจจะไม่ค่อยเหมาะสม จึงส่ายหน้า
หลี่เชียนยิ้มออกมา พอเห็นความลังเลของเจียงเซี่ยน ก็สั่งไป่เจี๋ยทันที โดยไม่ยอมให้นางสอดปากว่า “ช่วยท่านหญิงเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวนางจะไปย่างเนื้อที่หลังเขากับข้า”
เจียงเซี่ยนเบิกตาโต
หลี่เชียนก็ยิ้มและเอ่ยข้างหูนางว่า “ข้าจะไปบอกฮูหยิน ให้นางพาตงจื้อกับน้องหญิงสกุลเหอไปด้วย”
เจียงเซี่ยนยังคงลังเลเล็กน้อย หลี่เชียนก็ยิ้มและออกไปจากห้องนอนแล้ว
เซียงเอ๋อร์กับจุ้ยเอ๋อร์ที่รับใช้อยู่ข้างๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน
เมื่อก่อนหลี่เชียนเรียกเหอถงเหนียงว่าคุณหนูเหอตลอด แต่เวลานี้กลับเรียกนางว่าน้องหญิงสกุลเหอ แสดงว่ายอมรับญาติอย่างเหอถงเหนียงแล้ว
ต่อไปเหอถงเหนียงมีตระกูลหลี่สนับสนุน หากหาสามีที่ฐานะสูงศักดิ์ได้ ชีวิตในภายภาคหน้าก็มีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าหากคิดดูให้ดี นี่ก็เป็นเพราะเจียงเซี่ยนยอมรับเหอถงเหนียงแล้วเช่นกัน
จะเห็นได้ว่ารับใช้ท่านหญิงให้ดีสำคัญแค่ไหน!
ทั้งสองคนกลัว จึงทำอะไรอย่างเบาและนุ่มนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกเล็กน้อย
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนย่อมไม่รู้ว่าสาวใช้ทั้งสองกำลังคิดอะไรอยู่
ในเมื่อหลี่เชียนเอ่ยเช่นนี้แล้ว นางก็ทิ้งความไม่สบายใจไปแล้วเช่นกัน และแต่งตัวอย่างมีความสุข แล้วออกไปข้างนอก โดยหลี่เชียนพาไปที่หลังเขา
สองวันนี้ต่างรีบเดินทาง ในรถม้าทั้งร้อนและอบอ้าว เจียงเซี่ยนยังไม่รู้สึกมากนัก แต่เวลานี้เดินอยู่ท่ามกลางป่าที่บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์กับหลี่เชียน ความเย็นของภูเขามังกรเมฆทำให้นางหายร้อนอย่างสิ้นเชิงทันที และสงบลงจากก้นบึ้งของหัวใจ
นางอดไม่ได้ที่จะเดินช้าลง และค่อยๆ เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ตามทาง
หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พอถึงตอนกลางคืน อากาศจะเย็นขึ้นหน่อย ตรงจุดที่ไม่ไกลจากที่พวกเราอยู่ยังมีสระบัวด้วย เป็นช่วงเวลาที่ดอกบัวบานครั้งแรกพอดี และเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการรับลมด้วย หากไม่คำนึงถึงร่างกายของเจ้า ข้าก็จะให้คนจัดที่พักของพวกเราไว้ที่ศาลาริมน้ำตรงนั้นแล้ว”
————————————