มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) - ตอนที่ 75 : พบเธอ
ตอนที่ 75 : พบเธอ
วันที่ 3 – เวลา 06.35 นาฬิกา – ถนน Niog, Mambog IV, เมืองบาคัวร์, คาวิท
ในขณะที่มาร์คกําลังสังเกตอาณาเขตของตําแหน่งเป้าหมาย โอเดลินาและคนอื่นๆก็ได้ออกมาจากยานพาหนะ
พวกเขามองไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ในระยะไกลด้วยความพิศวง แม้กระทั่งโอเดลินา ยังคิดเช่นเดียวกับมาร์ค
“มันดูอันตรายไม่น้อยเลยใช่มั้ย?
เธอยืนอยู่ข้างเขาและถามมาร์คออกไป มันไม่ใช่เพียงแค่ต้นไม้ที่เธอกําลังพูดถึง แต่รวมไปถึงผู้ติดเชื้อที่อยู่ในพื้นที่แห่งนั้นด้วย เมื่อศาลากลางนั้นต้องมีผู้คนเป็นจํานวนมากในสถานที่แห่งนี้ก่อนที่จะได้เกิดเหตุการณ์โลกาวินาศขึ้นมา ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ ทุกๆคนรู้ดีว่าคนส่วนใหญ่นั้นได้กลายพันธุ์เป็นชนิด Z ไปแล้ว พวกเขายังสามารถเห็นผู้ติดเชื่อบางคนเดินไปมาอย่างไร้จุดหมายที่ทางเข้าของบริเวณนั้น
“กลับเข้าไปในรถก่อน ฉันมีแผนแล้ว”
เมื่อทุกคนได้อยู่ภายในรถแล้ว ยังคงเหลือมาร์คที่ยังอยู่ข้างนอกและเปิดท้ายรถขึ้นมา เขานํากล่องขนาดใหญ่ออกมาและนําเข้าไปรถ
กล่องนั้นประกอบไปด้วยโดรนติดกล้องที่มาร์คได้นํามา เขาก็ได้ติดตั้งโดรนนั้น โดยคนอื่นก็ได้เข้ามาช่วยเหลือและเชื่อมวิดิโอเข้ากับจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่หลังรถพร้อมกับเชื่อมต่อกับระบบความบันเทิงเข้าด้วยกัน
พวกเขาใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงในการติดตั้ง และมาร์คก็ออกไปจากรถเพื่อปล่อยโดรน จากนั้นเขาก็ต้องการกลับเข้าไปในรถเพื่อดูหน้าจอวิดิโอขณะควบคุมโดรน
วันที่ 3 – เวลา 07:10 นาฬิกา – ศาลากลางบาควร์, Molino Boulevard, Bayanan, เมืองบาควร์, คาวิท
โดรนสีขาวที่มีกล้องติดอยู่ข้างใต้มันกาลังวนรอบต้นไม้เพื่อตรวจสอบว่าได้มีอัน ตรายใดๆเข้ามาหรือไม่
หลังจากที่โดรนนั้นได้พบว่าต้นไม้นั้นดูเหมือนไม่มีอันตรายใดๆ โดรนก็ได้เข้าไปใกล้มากขึ้นและได้ไปตรวจสอบศาลากลางในมุมมองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขณะที่โดรนนั้นสร้างเสียงดังขึ้นมา มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะดึงดูดซอมบี้ชนิด Z แถวนั้นเข้ามา เพื่อหลบเลี่ยงการไล่ตามของผู้ติดเชื้อ โดรนบินขึ้นสูงและลงไปในพื้นที่อื่นเพื่อทําการลาดตระเวนต่อไป
ร่องรอยของเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นภายในสองวันที่ผ่านมาถูกทิ้งปรากฏไว้ ตามพื้นที่รถหลายแถวถูกทิ้งไว้ในลานจอดรถในขณะที่ผนังกระจกของอาคาร ไปรษณีย์แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยานพาหนะของรัฐบาลถูกทิ้งไว้ให้อยู่กลางถนน มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามที่จะหนีแต่เศษซากเลือดที่อยู่ในยานพาหนะ แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นหนีได้ไม่สําเร็จ
รอบๆบริเวณนั้นมีผู้ติดเชื้อเป็นจํานวนมากได้รวมกองกันอยู่ ส่วนใหญ่พวกมันนั้นสวมชุดเครื่องแบบราชการ ในขณะที่จํานวนบางส่วนของผู้ติดเชื้อนั้นสวมเครื่องแต่งกายชุดตํารวจ แต่สิ่งที่โดดเด่นในหมู่ผู้ติดเชื้อคือซอมบี้นักกระหาย สิ่งที่ทําให้พวกมันเป็นที่สังเกตได้สะดุดตาเนื่องจากผิวของพวกมันเหมือนเปลือกของต้นไม้ สายตาของผู้ติดเชื่อเหล่านี้ก็ได้เป็นสีเขียว เมื่อเทียบกับซอมบี้ตัวอื่นๆที่มีรูม่านตาเป็นสีขาวบริสุทธิ์
กลับมาที่ภายในรถ มาร์คและกลุ่มของเขาได้มองหน้าจอคอมมอนิเตอร์ แม้กระทั่งซอมบี้นักกัดที่ว่านอนสอนง่ายที่พวกเขาพามาด้วยและถูกมัดอยู่ที่เบาะหลังสุดก็ได้กาลังมองไปที่จอมอนิเตอร์ด้วย เมื่อพวกเขาเห็นผู้ติดเชื้อที่มีผิวเหมือนเปลือกต้นไม้ พวกเขาทั้งหมดคิดว่าสาเหตุของการกลายพันธุ์นี้คือต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางของพื้นที่
มาร์คควบคุมโดรนและฉากที่ด้านหลังของอาคารหลักก็ปรากฏให้เห็นแก่สายตาของพวกเขา ตอนนั้นเองที่พวกเขาเห็นมัน มันมีลักษณะละม้ายคล้ายมนุษย์ซึ่งมีขนาดแปดหรือเก้าฟุตที่มีร่างกายทําจากต้นไม้และแม้กระทั้งรูปร่างก็ยังเหมือนต้นไม้ มันยังมีใบไม้คลุมเป็นศรีษะของมันอีกด้วย มือและเท้าของมันนั้นก็ได้เป็นรากต้นไม้ มันดูคล้ายกับตัวละครผู้พิทักษ์แห่งพงไพรในนิยายแฟนตาซีเสียมากกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างของคนที่ฉาบอยู่ตรงกลางล่าตัว มาร์คคงจะคิดเช่นนั้นจริงๆ
รูปร่างของมันเหมือนติดเชื้อกลายพันธุ์มาจากต้นไม้ที่ได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงที่ต่ํา แหน่งก่อนหน้าผิวของมันเหมือนเปลือกไม้ หลังของมันเชื่อมอยู่ติดกับตัวของต้นไม้ และแขนของมันก็ได้ยาวออกมาเป็นลักษณะรากไม้ราวกับเส้นเลือด เมื่อร่างของมันได้ขยับ ตัวของต้นไม้ก็ได้ขยับตาม เมื่อตัวตนได้ขยับเดินท่าทางการเคลื่อนไหวของมันก็เหมือนกับนกเพนกวินที่เดินเขวไปเขวมา
จากนั้นมนุษย์กลายพันธุ์ตัวใหญ่ก็หยุดและก็มองขึ้นไปที่โดรนที่กําลังตรวจสอบมันอยู่ มันได้ตัดสินใจที่จะเมินเฉยไม่สนใจโดรนนั้นไปและมองขึ้นไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ราวกับว่ามันกําลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่
คนที่อยู่ในรถต่างอ้าปากค้างกับการปรากฏตัวของมนุษย์กลายพันธุ์ชนิดนี้โชคดีที่มาร์คนั้นตัดสินใจที่จะสํารวจพื้นที่โดยใช้โดรนก่อนแทนที่จะขับรถเข้าไปในบริเวณนั้น อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
เมื่อมองไปที่ร่างนั้น อยู่ๆความคิดก็เด้งขึ้นมาอยู่ในใจมาร์ค มันเลยทําให้มาร์คพูดพึมพราออกมา
“เลเวล 2”
“พี่พูดอะไรนะคะ?”
แม้ว่าเขาจะพูดพึมพําออกมาอย่างเบาๆ เหมยที่ตัวติดหนึบอยู่กับมาร์คก็ได้ยิน เสียงของเขาขึ้นมา
“ไม่มีอะไร
มาร์คตัดสนใจที่จะไม่พูดสิ่งที่คิดขึ้นมาในใจของเขาแม้ว่ามันยังไม่ถูกยืนยันก็ตาม และเขาไม่รู้ว่าความคิดนั้นโผล่ออกมาจากไหนเช่นกัน เหมือนกับว่ามีใครบางคนกระซิบความคิดนี้ให้เขาได้ยิน
ในเมื่อมนุษย์กลายพันธุ์ชนิดนี้นั้นมีลักษณะที่แปลกประหลาด มาร์คได้ตัดสินใจควบคุมโดรนและดูไปที่มนุษย์กลายพันธุ์ชนิดนี้นั้นได้ทําอะไรบ้าง ตรงนั้นเขาเห็นผลไม้ขนาดเท่าถั่วต้นเดียวบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ ผลไม้ดูเหมือนจะมีขนาดเท่ากับลูกเบสบอลและกําลังเปล่งแสงสีทองจางๆ
เมื่อเห็นผลไม้นั้นที่จอมอนิเตอร์ แอ็บบีเกลและโอเดลินาก็ได้กลืนน้ําลายด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
“เธอสองคนเป็นอะไร”
มาร์คสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในความผันผวนทางจิตใจของทั้งสองคนจึงถามออกมา
“ปะป๋า หนูอยากกิน”
แอ็บบีเกลพูดออกมาอย่างตรงๆโดยไม่ทันได้คิด ในขณะที่โอเดลินาได้อธิบายสิ่งที่เธอรู้สึกออกมาอย่างสั้นๆ เธอหน้าแดงทั้งๆที่รู้ว่าเธอเสียสติต่อหน้าทุกคน
“เจ้านายคะ ฉันไม่รู้ว่าทําไมแต่มีอะไรบางอย่างบอกฉันว่าผลไม้นั่นสามารถกินได้ และมีประโยชน์อย่างสูงต่อพวกเรา”
เมื่อได้ยินที่เธอกล่าว มาร์คมองไปที่หน้าจอ เขาควบคุมโดรนอีกครั้งและมองไปที่มนุษย์กลายพันธ์ร่างใหญ่ที่ซึ่งกาลังจ้องมองไปที่ผลไม้นั้น
จากนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจ
“ก็ได้ เดี๋ยวเราไว้ไปเอามันมาทีหลัง”
ด้วยสิ่งที่มาร์คพูด แอ็บบีเกลและโอเดลนาก็รู้สึกดีใจมีความสุข
ในขณะที่มาร์คนั้นควบคุมโดรน เขาก็สังเกตเห็นความชุลมุนวุ่นวายอยู่ที่ชั้นบนสุดของศาลากลาง
มาร์คบังคับให้โดรนบินไปใกล้ขึ้นตรงหน้าต่างและเห็นคนข้างใน คนข้างในนั้นได้กําลังมองดูโดรนด้วยความหวัง โดรนบินผ่านหน้าต่างไปมาและหยุดอยู่ที่หนึ่ง
“เจอเธอแล้ว”
มาร์คพูดออกมา
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในจอมอนิเตอร์นั้นคือหญิงสาวอายุราวๆยี่สิบสี่ปี รูปลักษณ์ของเธอสูงกว่าค่าเฉลี่ยและถือว่าสวยงามตามมาตรฐาน อย่างไรก็ตามในตอนนี้นั้นเธอก็ดูสิ้น หวังท้อแท้ บอบบางและอ่อนแอ เธอสังเกตเห็นโดรนที่บินผ่านหน้าต่างเธอ เธอทําได้แค่จ้องไปที่จุดที่โดรนนั้นบินอยู่และไม่สามารถที่จะลุกขึ้นไปได้
เมื่อมองไปที่เธอมาร์ครู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกฉีกขาด นั่นคือผู้หญิงที่สดใสร่าเริงที่เขาเคยรักดูแลเสมือนน้องสาวของเขามาก่อนจริงๆหรอ? หลังจากนั้นมาร์คก็ว่าความ ได้ขึ้นมา เด็กสาวคนนี้มีร่างกายที่เป็นภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือเบาหวานชนิดที่2 และเธอนั้นก็ต้องรับยามาโดยตลอดตั้งแต่ที่เขารู้จักเธอและพี่สาวของเธอ ตั้งแต่ที่เธอติดกับอยู่ที่นี่ เหมือนกับว่าเธอนั้นไม่ได้รับยาไปสองวันแล้ว! และเป็นไปได้ด้วยว่าเธอนั้นไม่ค่อยได้รับประทานอะไรมาสองวัน!
“นั่นเธอที่เจ้านายตามหาอยู่ใช่มั้ยคะ?”
โอเดลินาถามออกไปและเหมยก็มีคําถามเดียวกันกับเธอ สายตาของพวกเขาเต็ม ไปด้วยความสงสาร ถ้าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่มาร์คกําลังตามหา ถ้าอย่างนั้นต้องเอาตัวเธอมาให้ไวที่สุดที่เป็นไปได้ เมื่อมองดูเธอแล้วสภาพของเธอนั้นดูไม่ดีเท่าไหร่
ฉันต้องติดต่อกับเธอ
นั่นคือสิ่งที่เขาได้คิดขึ้นมาอยู่ภายในใจ มาร์คบังคับโดรนให้บินไปรอบๆหน้าต่างอีกครั้ง จํานวนผู้คนที่ติดอยู่ข้างในมีประมาณสามสิบคนหรือน้อยกว่านั้น ยังมีผู้ชายอยู่ สองสามคนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายชุดต่ารวจ ท่ามกลางผู้คนนั้นเขาพบบางคนที่เขานั้นคุ้นหน้าคุ้นตา นั้นคือท่านสส.หญิงประจําเขตสองของเมืองบาคัวร์อยู่ท่ามกลางกับตํารวจและชายสองสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นบอดี้การ์ดของเธอ เธอพยายามเข้าหาที่หน้าต่างที่โดรนกําลังส่องอยู่
มาร์ครู้สึกได้ว่าเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งกับคนพวกนี้เขาจึงบังคับโดรนให้บินหนีออกมา ห่างๆ เขาจําเป็นต้องส่ารวจรอบๆสถานที่อย่างละเอียดและหาทางเข้าและทางออกก่อนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เขาก็ได้วางแผนที่จะหลอกล่อผู้ติดเชื้อออกไปโดยใช้โดรนเพื่อทําให้การช่วยเหลือง่ายขึ้น
เขาบังคับโดรนเข้าไปในอาคารหลักชั้นสองจากหน้าต่างที่กระจกได้แตก โชคดีที่เพดานั้นสูง ถ้าไม่อย่างนั้นโดรนอาจถูกผู้ติดเชื้อที่อยู่ด้านในจับได้ สถานที่ทั้งหมดนั้นก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ โต๊ะล้มคว่าเอกสารและเครื่องใช้ในสํานักงานกองเกลื่อนทางเดินและห้องต่างและยังมีเลือดเปอะเปื้อนออกมาในทุกที่
ในที่สุดเขาก็ได้เจอบันไดซึ่งเป็นทางหลักที่จะพาไปยังทุกๆชั้นในอาคารได้ จาก นั้นเขาก็เจอเหตุผลว่าทําไมผู้ติดเชื้อถึงไม่สามารถเข้าไปยังชั้นที่สูงกว่านี้ได้ ชั้นที่ สามและสี่จึงไม่เกิดความเสียหาย นั่นเป็นเพราะว่ารากขนาดใหญ่ของต้นไม้กั้นขวาง บันไดไว้ นี่จึงหมายความว่าเขานั้นก็จะไม่สามารถเข้าไปช่วยเธอโดยใช้บันไดนี้ได้
มาร์คก็ได้บังคับโดรนออกมาจากอาการและหาทางอื่น จากนั้นกล้องก็แพนไปทางด้านข้างของศาลากลาง ทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้ของชั้นที่สามมีทางเดินแขวนที่เชื่อมต่อศาลากลางไปยังโรงยิมทางทิศเหนือและศูนย์บัญชาการตํารวจบากัวร์ทางทิศใต้
สถานที่เหล่านี้คือสถานที่เดียวที่พวกเขาจะหาทางเข้าไปยังชั้นสามของศาลาก ลางได้ มาร์คบังคับโดรนให้บินไปที่ทางเข้าเห็นประตูซึ่งถูกล็อคอยู่ มันไม่มีปัญหาสําหรับมาร์ค ในเมื่อเขาสามารถหลบหนีได้ตราบเท่าที่เขาสามารถเข้าถึงตัวอาคารได้
เมื่อวนไปรอบๆศาลากลางอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็พบทางเข้าที่สามารถให้โดรนเข้าไปในอาคาร มันเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ที่เพดานด้านบนของอาคารที่ต้นไม้ขนาดใหญ่เติบโตทะลุขึ้นไป
มาร์คบังคับโดรนให้เข้าไปยังอาคาร มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดปีในการเล่นเกมของมาร์คก็มีประโยชน์เมื่อเขาใช้คอนโทรลเลอร์อย่างชำนาญ
ในที่สุดเขาเจอบริเวณที่ผู้รอดชีวิตมารวมตัวกัน
ดูเหมือนว่าคนข้างในจะตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงหึงที่มาจากใบพัดของโดรน ตารวจและบอดี้การ์ดชักปืนออกมาและพร้อมที่จะยิงได้ทุกเมื่อที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปก ติเข้ามา
ผู้คนข้างในต่างก็ตื่นตระหนกเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงที่มาจากโถงทางเดินและเสียงนั้นก็ได้เข้ามาใกล้ยังพื้นที่หลบภัยของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเรียกมันว่าพื้นที่หลบภัย จริงๆแล้วมันเป็นพื้นที่โปร่งในชั้นนี้และสามารถเข้าถึงได้จากโถงทางเดิน
เมื่อพวกได้ยินเสียงหึงที่มาจากโดรน ผู้ที่ต่อสู้ไม่เป็นก็เริ่มถอยหนีในขณะที่ต่ารวจและบอดี้การ์ดของสส.หญิงนั้นเตรียมพร้อมที่จะสู้
แม้จะมีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมีผู้หญิงอายุราวๆยี่สิบปีที่อ่อนแอเกินกว่าจะขยับได้ เธออยู่ใกล้ทางเข้าและหากมีอันตรายเกิดขึ้นจริงในโถงทางเดินเธอจะเป็นคนแรกที่โดน
ผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงดังใกล้เข้ามา แต่เธออ่อนแอเกินกว่าที่จะขยับตัวและดูเหมือนว่าคนรอบข้างจะไม่สนใจที่จะช่วยเธอด้วยซ้ํา เธอกําลังจะร้องไห้ เธอเพิ่งมาที่นี่เพื่อต่ออายุเอกสารบางอย่างสําหรับการจ้างงานและก็ได้เกิดการระบาดขึ้น โชคดีที่เธอสามารถหลบหนีและรอดชีวิตมาได้จนถึงตอนนี้ ในขณะนี้ เธอรู้สึกถึงความเจ็บป่วยอย่างเต็มทน เนื่องจากเธอไม่สามารถฉีดอินซูลินได้ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด เธอพกยามาที่นี่ เธอมักจะนําขวดยาไปทุกที่ที่ไป แต่โชคร้ายที่เธอสูญเสียกระเป๋าของเธอไปพร้อมกับทรัพย์สินทั้งหมดของเธอเมื่อได้เกิดเหตุการณ์หายนะขึ้น
เมื่อปราศจากแรงที่จะเคบื่อนไหว เธอพร้อมรับกับชะตากรรมชีวิตที่ต้องเจอ เธอได้ยินเสียงดังฟังและหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอในขณะที่เธอปิดตาลง อย่างไรก็ตาม เธอก็รออยู่อย่างนั้นจนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปสองสามวินาที จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียง
“โธ่เอ๊ย เธอได้เอาชีวิตรอดมาได้นานขนาดนี้ เธอก็จะยอมแพ้ไปสะแล้วหรอ”
มันคือเสียงที่คุ้นเคยแต่เธอไม่สามารถจําได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของใครอีกต่อไป เธอลืมตาขึ้นมาและมองขึ้นไปและเห็นสิ่งที่ทาให้เกิดเสียงดังกระหมขึ้นมา มันคือโดรนที่เธอเห็นที่หน้าต่าง ภายใต้โดรนนั้นมีกล้องซึ่งแน่นอนว่ากําลังถ่ายไปที่เธออยู่ข้างหลังกล้องนั้นยังมีวิทยุพกพาขนาดเล็กแปะติดอยู่กับโดรน
“ฉันจะจอดโดรนและเอาวิทยที่ติดอยู่ข้างใต้นี้ไปนะ”
เธอได้ยินเสียงนั้นอีกครั้งและโดรนก็ค่อยๆจอดลงตรงหน้าของเธอ ในความสับสนของเธอ เธอก็ได้ทําตามคําสั่งและหยิบวิทยุออกมาจากโดรน
“ดีมาก”
เสียงนั้นออกมาจากวิทยุ
“เอ่อ คุณเป็นใคร
เธอพูดกับวิทยุ และก็ไม่ได้รับค่าตอบกลับมา
“ฉันไม่ได้ยินเสียงที่เธอพูด กดที่ปุ่มด้านข้างของวิทยุเวลาพูดสิ”
เธอทําตามคาสั่งและถามค่าถามเดิมออกไป แต่คําตอบที่ได้รับกลับมานั้นคือ..
“ฉันเจ็บนะเนี่ย แหม มันก็นานแล้วนะ น่าจะประมาณเจ็ดปีได้แล้ว?”
“เจ็ดปี?”
เธอคิด จากนั้นก็ได้มีคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาอยู่ในใจเธอ เขาคือคนที่คอยประคบประหงมเธอในเวลานั้น เนื่องจากเหตุผลเบื้องลึกบางอย่าง เธอก็หลักเลี่ยงเขาไปและขาดการติดต่อจากกัน
น้ําตาไหลหยดลงมาจากตาของเธอ เมื่อเธอได้ถามออกไป
“พี่หรอคะ?”
จากนั้นเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังออกมาจากวิทยุ
“มันก็ดีแล้วที่เธอจาฉันได้ อย่างไรก็ตามฉันมาที่นี่ก็เพื่อมารับเธอนะ ชาร์ม