มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) - ตอนที่ 57: เหตุการณ์แปลกประหลาด ณ ลานจอดรถใต้ดิน
- Home
- มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen)
- ตอนที่ 57: เหตุการณ์แปลกประหลาด ณ ลานจอดรถใต้ดิน
ตอนที่ 57: เหตุการณ์แปลกประหลาด ณ ลานจอดรถใต้ดิน เวลา20.56นาฬิกา-ห้างสรรพสินค้าบาตัวร์,หน้าห้างสรรพสินค้าชั้นใต้ดิน,ทางเข้าลานจอดรถชั้นใต้ดิน ทหารร้อยตรีราฟาเอลเพเรซและพวกของเขาเตรียมพร้อมที่จะกำจัดภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามาเมื่อทหารเคลื่อนเข้าสู่ขบวน รถบรรทุกสองคันที่ขนส่งผู้รอดชีวิตถูกวางไว้ตรงกลางของขบวนในขณะที่รถคันอื่นถูกใช้เป็นสิ่งกีดขวางปิดกั้นทางเข้าที่มีอยู่สองทางเข้าไปในอุโมงค์ชั้นใต้ดิน ก่อนที่จะมาถึงที่แห่งนี้ราฟาเอลและคนของพวกเขาต่างก็ได้ตกใจกับเสียงพลุไฟซึ่งผู้หมวดถึงกับต้องโทรถามน้องสาวของราฟาเอลเพื่อให้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นแองเจไลน์ก็ค่อยๆอธิบายอย่าละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นและเขารู้สึกขอบคุณที่เขาและคนของเขาเผ่ชิญหน้ากับอันตรายที่น้อยกว่าที่จะเข้าไปในห้างสรรพสินค้า พวกเขาเผชิญหน้าต่อสู้กับผู้ติดเชื้อในจำนวนที่น้อยเมื่อพวกเขามาถึงตัวเลขพวกซอมบี้เหล่านั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรสำหรับพวกเขาในฐานะทหารฝึกหัดพวกเขาไม่จำเป็นต้องแม้กระทั่งเปิดฉากยิงและได้จัดการกับภัยคุกคามนี้ในระยะประชิด จากนั้นพวกเขาก็เห็นทางเข้าไปยังลานจอดรถใต้ดินซึ่งถูกปิดเอาไว้และทางเข้าพนักงานที่มีสิ่งกีดขวางกั้นไว้ เหล่าทหารมีความคิดที่จะระเบิดประตูโลหะแต่จำนวนระเบิดที่ทิ้งไว้ไม่สามารถทำช่องให้ใหญ่พอที่รถจะเข้าไปได้และอาจทำลายกลไกของประตูได้และนอกจากนั้นการระเบิดจะดึงดูดผู้ติดเชื้อมายังสถานที่แห่งนี้อีกเช่นกัน การทิ้งยานพาหนะไว้ข้างนอกก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะพวกเขาต้องการยานพาหนะเพื่ออพยพหากมีสิ่งที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ก่อนที่จะวางสายจากน้องสาวของราฟาเอลจริงๆแล้วราฟาเอลต้องการที่จะหยุดเธอจากการที่ทำอะไรสุ่มเสี่ยงอันตรายแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ห้ามเธอด้วยนิสัยที่ดื้อดึงของเธออย่างไรเธอก็จะทำอยู่ดีแม้ว่าเขาจะห้ามเธอสักเท่าไหร่ ร้อยตรีมองเข้าไปที่ทางเข้าของอุโมงค์เขายังคงได้ยินเสียงพลุไฟอย่างต่อเนื่อง มาร์คและแองเจก็ได้รีบลงบันไดไปยังปีกฝั่งตะวันตก พวกเขาไปส่งเหมยให้อยู่กับพอลลาและแอ็บบีเกลที่ยังคงหลับสนิทอยู่พอลล่าต้องการที่จะมาด้วยแต่ด้วยความที่พวกเขานั้นต้องเคลื่อนไหวให้เร็วมาร์คและแองเจคือคนที่เหมาะสมกับหน้าที่นี้ที่สุด “ทำไมทางเข้าลานจอดรถมันปิดล่ะ?! แองเจรู้สึกโกรธและได้บ่นออกไปด้วยในขณะที่พวกเขานั้นกำลังเดินลงไปบันได “ใครจะไปรู้?ฉันก็คาดคิดไว้ว่าประตูมนจะเปิดถ้าเธอถามฉันอะนะทางเข้าพนักงานก็ถูกกีดขวางเอาไว้และทางเข้าก็ถูกปิดราวกับว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ที่นั่น” มาร์คตอบและมองไปที่แองเจ “นั่นมันก็เป็นพวกคนโง่แล้วแหละที่จะไปซ่อนตัวอยู่ในสถานที่มืดแบบนั้น??” “ฉันจะไม่เรียกคนพวกนั้นว่าโงในสถานที่แบบนี้ฉันคิดว่านะ”
“ทำไม?” “ที่จอดรถชั้นใต้ดินยังสามารถเป็นช่องเก็บสินค้าและสามารถเข้าถึงคลังสินค้าของห้างสรรพสินค้าได้โดยตรงดังนั้นหากพวกเขาจัดการป้องกันพื้นที่จอดรถและคลังสินค้าได้อย่างปลอดภัยพวกเขาก็จะอยู่ได้นานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและน้ำแม้ว่าฉันก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครทำได้หรอกนะตั้งแต่การระบาดมาอย่างกะทันหันแบบนี้” แองเจมองไปที่มาร์ค “ทำไมนายรู้ข้อมูลของห้างนี้เยอะจัง?” “จำได้มั้ยว่าฉันย้ายงานบ่อย?ฉันก็เคยทำงานที่ห้างนี้มาก่อนงานที่เหมือนกับเฟอร์นานและเจมส์นั่นแหละอีกอย่างฉันก็ยังจำลุงเบอนาร์ดได้นิดหน่อยตั้งแต่ชายแก่คนนั้นได้ทำงานที่นี่ตอนที่ฉันถูกจ้างแม้ว่าฉันไม่คิดว่าเขาจะจำฉันได้หรอกเพราะตอนนั้นฉันก็ยังเด็กมากและเราก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกันระหว่างที่ฉันทำงานอยู่ที่นี่ได้หกเดือน” “นั่นมัน…” แองเจก็ได้ตกใจ มาร์คและแองเจมาถึงชั้นล่างสุดของทางบันไดและยืนอยู่ข้างหน้าประตูจากนั้นมาร์คก็ขมวดคิ้วพร้อมกับในขณะที่แองเจเอื้อมมือไปที่ประตูแต่กลอนประตูกลับไม่ขยับสักนิด “มันไม่มีประโยชน์หรอกมันถูกกล็อคจากข้างนอกรีบกลับขึ้นไปใช้ลิฟต์กันดีกว่า” ผู้ที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ก็ได้พูดออกมา “มีอะไรรึป่าว?เสียงนายดูเครียดมาก” “จำความสามารถพิเศษของฉันได้มั้ย?” “อ่าใช่พอลลาบอกว่านายเจอแอ็บบีเกลและนักเรียนสองคนนั้นโดยใช้ความสามารถนั้นใช่มั้ย?” มาร์คพยักหน้า “ปัญหาก็คือฉันไม่สามารถตรวจจับและประเมินถึงมนุษย์ในบริเวณข้างในลานจอดนี้ได้เลย” “อะไรนะ?!” “อย่างไรก็แล้วแต่รีบไปเถอะพวกเราจำเป็นต้องระมัดระวังตัวให้มากที่สุด” ทั้งสองคนก็ได้รีบกลับเข้าไปยังชั้นสามและรอลิฟต์ ติ้ง! ลิฟเปิดขึ้นและพามาร์คกับแองเจไปใส่ยังขั้ยลานจอดรถใต้ดินและความรู้สึกที่น่าขนลุกได้ทำร้ายพวกเขา ลานจอดใต้ดินจริงๆแล้วมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในบริเวณที่จอดรถของห้างพื้นที่จอดรถนั้นใช้พื้นที่ของพื้นที่ส่วนกลางปีกตะวันตกและปีกตะวันออกของห้างสรรพสินค้าในขณะที่พื้นที่ปีกด้านใต้ทำหน้าที่เป็นคลังสินค้าหลัก มันมีสองทางเข้าที่จะพาเข้ามายังบริเวณนี้หนึ่งคืออุโมงค์ที่อยู่ตรงประตูหลักของทางเข้าห้างในขณะที่อีกทางหนึ่งคือทางเข้าโกดังโดยตรงทางด้านตะวันตกของปีกใต้ทางเข้าปีกด้านใต้แม้ว่าจะปิดเกือบตลอดเวลาเนื่องจากใช้เป็นแค่ทางออกไปยังยานพาหนะบรรทุกสินค้าที่ขนถ่ายสินค้าเสร็จแล้ว ในการเปิดทางเข้าหลักพวกเขาจำเป็นต้องค้นหาป้อมยามที่สามารถเข้าถึงการควบคุมของทางเข้าหลักได้ มาร์คและแองเจก็ได้มองนั้นก็ได้มองไปรอบๆอย่างระมัดระวังมันจะต้องมีซ้อมหรือไม่ก็มนุษย์อยู่บ้าง “ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้อย่างงั้นฉันคงไม่พาพี่ชายของเธอมายังที่แห่งนี้” มาร์คคิด เขาคาคคิดไว้อยู่แล้วว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้แม้ว่าจำนวนมันจะมีน้อยที่สุดมากกว่าที่อื่นๆก็ตามเพราะด้วยความที่จำนวนน้อยนั้นเขามั่นใจได้แน่ว่าพวกกองทัพทหารจะสามารถจัดการรับมือกับซอมบี้ด้วยจำนวนคนที่น้อยและไม่ต้องใช้พลังงานเยอะได้และด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจเอา’มือเข้ามาช่วย’ซึ่งคือทหารเหล่านั้น น่าขนลุกเสียเหลือเกิน นั่นคือความคิดของมาร์คในขณะที่เขาและแองเจรีบข้ามไปที่ลานจอดรถแม้ว่าเขาจะชอบสถานที่ที่เงียบและสงบแต่ความเงียบในบริเวณนี้ก็ทำให้เขาได้รับความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
มีรถหลายคันจอดอยู่ท่ามกลางรถตู้ขนส่งแต่ไม่มีผู้มีชีวิตอยู่เลย เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ถึงพื้นที่ส่วนกลางพวกเขาก็ต้องหยุดอยู่ตรงนั้นด้วยความช็อค บริเวณนั้นเต็มไปด้วย… เต็มไปด้วยซากศพ ไม่ใช่ซากศพของพวกซอมบี้แต่เป็นซากศพของมนุษย์ร่างกายที่ขาดวิ่นและถูกแยกชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ถูกตัดหัวไว้ทิ้งเกลื่อนพื้นนั่นอาจเป็นศพของเด็กเล็กผู้ชายผู้หญิงและคนชราก็ได้ไม่มีใครรอดการกระเซ็นของรูกระสุนมีให้เห็นอยู่ที่พื้นเลือดที่พื้นได้นองเป็นแอ่งๆเลือดและรอยขีดข่วนบนคอนกรีตทำให้ฉากนั้นน่าสะอิดสะเอียนเกินไป แองเจได้แต่ยืนอ้าปากค้างด้วยความช็อค จากนั้นมาร์คก็ได้เข้าไปหาแองเจซึ่งกำลังตกใจอยู่กับภาพที่เห็นและถือปืนพร้อมกับกระเป๋าเข็มขัดพร้อมกับยื่นให้เธอ “เธอใช้พวกนี้เป็นใช่มั้ย?” แองเจก็ได้หายจากอาการอึ้งและตกใจเมื่อได้ยินเสียงมาร์คออกมาและเธอก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็รับไปและระวังตัวด้วย” น้ำเสียงของมาร์คก็เข้มงวดดุดันมากขึ้นและก็ได้กล่าวต่อ “เธอควรจะโฟกัสไปที่เรื่องเดียวคือหาวิธีให้พี่ชายเธอและคนของเขาเข้ามาข้างในอย่าคิดถึงเรื่องอื่นเด็ดขาด” “มีอะไรผิดปกติงั้นหรอ?” มาร์คมองเข้าไปยังพื้นที่ส่วนกลาง “ไม่มีอะไรพวกเราอาจจะตายได้ถ้าเธอหลุดสมาธิไปกับเรื่องอื่น” แองเจก็ได้เบิกตากว้างมาร์คก็มองไปที่เธอ “สัญญาก่อนว่าเธอจะไม่มองกลับไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและมีสมาธิแค่อยู่กับการทำให้พวกเขาเข้ามาข้างในให้ได้?ฉันรู้ว่าฉันติดตลกกับเธอเกือบทุกเวลาที่เป็นไปได้แต่ไม่ใช่เวลานี้เข้าใจมั้ย?” แองเจสังเกตุได้ว่าสถานการณ์เริ่มดูเคร่งเครียดตั้งแต่มาร์คมีปฏิกิริยาแบบนี้ จริงๆแล้วเมื่อตอนที่พวกเขาเห็นซากศพมาร์คเริ่มตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เมื่อตอนที่เขาพบแอ็บบีเกลแอ็บบีเกลนั้นมีอารมณ์ที่สงบนิ่งซึ่งเขาแทบจะไม่ได้สังเกตเห็นเธอเลยได้ทันทีแต่ตอนนี้เขาตรวจจับและสัมผัสได้กับสิ่งที่อยู่ตรงข้ามเขาตรวจพบความผันผวนทางอารมณ์ที่รุนแรงและผิดปกติอย่างมากซึ่งอาจทำให้เขาซึ่งมีความสามารถรับรู้ความรู้สึกทางอารมณ์ของผู้อื่นเกือบจะคุกเข่าลง เนื่องจากอาการปวดศีรษะที่แทบจะทำให้หัวเขาระเบิดออก จากนั้นเขาก็มองไปที่เพดานของพื้นที่ส่วนกลางพร้อมกับบ่นพึมพำภายใต้ลม “มันมีกลิ่นราวกลับจะต้องเจอกับตัวบอส”
ตอนที่ 57: เหตุการณ์แปลกประหลาด ณ ลานจอดรถใต้ดิน
เวลา20.56นาฬิกา-ห้างสรรพสินค้าบาตัวร์,หน้าห้างสรรพสินค้าชั้นใต้ดิน,ทางเข้าลานจอดรถชั้นใต้ดิน
ทหารร้อยตรีราฟาเอลเพเรซและพวกของเขาเตรียมพร้อมที่จะกำจัดภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามาเมื่อทหารเคลื่อนเข้าสู่ขบวน
รถบรรทุกสองคันที่ขนส่งผู้รอดชีวิตถูกวางไว้ตรงกลางของขบวนในขณะที่รถคันอื่นถูกใช้เป็นสิ่งกีดขวางปิดกั้นทางเข้าที่มีอยู่สองทางเข้าไปในอุโมงค์ชั้นใต้ดิน
ก่อนที่จะมาถึงที่แห่งนี้ราฟาเอลและคนของพวกเขาต่างก็ได้ตกใจกับเสียงพลุไฟซึ่งผู้หมวดถึงกับต้องโทรถามน้องสาวของราฟาเอลเพื่อให้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นแองเจไลน์ก็ค่อยๆอธิบายอย่าละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นและเขารู้สึกขอบคุณที่เขาและคนของเขาเผ่ชิญหน้ากับอันตรายที่น้อยกว่าที่จะเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
พวกเขาเผชิญหน้าต่อสู้กับผู้ติดเชื้อในจำนวนที่น้อยเมื่อพวกเขามาถึงตัวเลขพวกซอมบี้เหล่านั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรสำหรับพวกเขาในฐานะทหารฝึกหัดพวกเขาไม่จำเป็นต้องแม้กระทั่งเปิดฉากยิงและได้จัดการกับภัยคุกคามนี้ในระยะประชิด
จากนั้นพวกเขาก็เห็นทางเข้าไปยังลานจอดรถใต้ดินซึ่งถูกปิดเอาไว้และทางเข้าพนักงานที่มีสิ่งกีดขวางกั้นไว้
เหล่าทหารมีความคิดที่จะระเบิดประตูโลหะแต่จำนวนระเบิดที่ทิ้งไว้ไม่สามารถทำช่องให้ใหญ่พอที่รถจะเข้าไปได้และอาจทำลายกลไกของประตูได้และนอกจากนั้นการระเบิดจะดึงดูดผู้ติดเชื้อมายังสถานที่แห่งนี้อีกเช่นกัน
การทิ้งยานพาหนะไว้ข้างนอกก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะพวกเขาต้องการยานพาหนะเพื่ออพยพหากมีสิ่งที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น
ก่อนที่จะวางสายจากน้องสาวของราฟาเอลจริงๆแล้วราฟาเอลต้องการที่จะหยุดเธอจากการที่ทำอะไรสุ่มเสี่ยงอันตรายแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ห้ามเธอด้วยนิสัยที่ดื้อดึงของเธออย่างไรเธอก็จะทำอยู่ดีแม้ว่าเขาจะห้ามเธอสักเท่าไหร่
ร้อยตรีมองเข้าไปที่ทางเข้าของอุโมงค์เขายังคงได้ยินเสียงพลุไฟอย่างต่อเนื่อง
มาร์คและแองเจก็ได้รีบลงบันไดไปยังปีกฝั่งตะวันตก
พวกเขาไปส่งเหมยให้อยู่กับพอลลาและแอ็บบีเกลที่ยังคงหลับสนิทอยู่พอลล่าต้องการที่จะมาด้วยแต่ด้วยความที่พวกเขานั้นต้องเคลื่อนไหวให้เร็วมาร์คและแองเจคือคนที่เหมาะสมกับหน้าที่นี้ที่สุด
“ทำไมทางเข้าลานจอดรถมันปิดล่ะ?!
แองเจรู้สึกโกรธและได้บ่นออกไปด้วยในขณะที่พวกเขานั้นกำลังเดินลงไปบันได
“ใครจะไปรู้?ฉันก็คาดคิดไว้ว่าประตูมนจะเปิดถ้าเธอถามฉันอะนะทางเข้าพนักงานก็ถูกกีดขวางเอาไว้และทางเข้าก็ถูกปิดราวกับว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ที่นั่น”
มาร์คตอบและมองไปที่แองเจ
“นั่นมันก็เป็นพวกคนโง่แล้วแหละที่จะไปซ่อนตัวอยู่ในสถานที่มืดแบบนั้น??”
“ฉันจะไม่เรียกคนพวกนั้นว่าโงในสถานที่แบบนี้ฉันคิดว่านะ”
“ทำไม?”
“ที่จอดรถชั้นใต้ดินยังสามารถเป็นช่องเก็บสินค้าและสามารถเข้าถึงคลังสินค้าของห้างสรรพสินค้าได้โดยตรงดังนั้นหากพวกเขาจัดการป้องกันพื้นที่จอดรถและคลังสินค้าได้อย่างปลอดภัยพวกเขาก็จะอยู่ได้นานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและน้ำแม้ว่าฉันก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครทำได้หรอกนะตั้งแต่การระบาดมาอย่างกะทันหันแบบนี้”
แองเจมองไปที่มาร์ค
“ทำไมนายรู้ข้อมูลของห้างนี้เยอะจัง?”
“จำได้มั้ยว่าฉันย้ายงานบ่อย?ฉันก็เคยทำงานที่ห้างนี้มาก่อนงานที่เหมือนกับเฟอร์นานและเจมส์นั่นแหละอีกอย่างฉันก็ยังจำลุงเบอนาร์ดได้นิดหน่อยตั้งแต่ชายแก่คนนั้นได้ทำงานที่นี่ตอนที่ฉันถูกจ้างแม้ว่าฉันไม่คิดว่าเขาจะจำฉันได้หรอกเพราะตอนนั้นฉันก็ยังเด็กมากและเราก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกันระหว่างที่ฉันทำงานอยู่ที่นี่ได้หกเดือน”
“นั่นมัน…”
แองเจก็ได้ตกใจ
มาร์คและแองเจมาถึงชั้นล่างสุดของทางบันไดและยืนอยู่ข้างหน้าประตูจากนั้นมาร์คก็ขมวดคิ้วพร้อมกับในขณะที่แองเจเอื้อมมือไปที่ประตูแต่กลอนประตูกลับไม่ขยับสักนิด
“มันไม่มีประโยชน์หรอกมันถูกกล็อคจากข้างนอกรีบกลับขึ้นไปใช้ลิฟต์กันดีกว่า”
ผู้ที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ก็ได้พูดออกมา
“มีอะไรรึป่าว?เสียงนายดูเครียดมาก”
“จำความสามารถพิเศษของฉันได้มั้ย?”
“อ่าใช่พอลลาบอกว่านายเจอแอ็บบีเกลและนักเรียนสองคนนั้นโดยใช้ความสามารถนั้นใช่มั้ย?”
มาร์คพยักหน้า
“ปัญหาก็คือฉันไม่สามารถตรวจจับและประเมินถึงมนุษย์ในบริเวณข้างในลานจอดนี้ได้เลย”
“อะไรนะ?!”
“อย่างไรก็แล้วแต่รีบไปเถอะพวกเราจำเป็นต้องระมัดระวังตัวให้มากที่สุด”
ทั้งสองคนก็ได้รีบกลับเข้าไปยังชั้นสามและรอลิฟต์
ติ้ง!
ลิฟเปิดขึ้นและพามาร์คกับแองเจไปใส่ยังขั้ยลานจอดรถใต้ดินและความรู้สึกที่น่าขนลุกได้ทำร้ายพวกเขา
ลานจอดใต้ดินจริงๆแล้วมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในบริเวณที่จอดรถของห้างพื้นที่จอดรถนั้นใช้พื้นที่ของพื้นที่ส่วนกลางปีกตะวันตกและปีกตะวันออกของห้างสรรพสินค้าในขณะที่พื้นที่ปีกด้านใต้ทำหน้าที่เป็นคลังสินค้าหลัก
มันมีสองทางเข้าที่จะพาเข้ามายังบริเวณนี้หนึ่งคืออุโมงค์ที่อยู่ตรงประตูหลักของทางเข้าห้างในขณะที่อีกทางหนึ่งคือทางเข้าโกดังโดยตรงทางด้านตะวันตกของปีกใต้ทางเข้าปีกด้านใต้แม้ว่าจะปิดเกือบตลอดเวลาเนื่องจากใช้เป็นแค่ทางออกไปยังยานพาหนะบรรทุกสินค้าที่ขนถ่ายสินค้าเสร็จแล้ว
ในการเปิดทางเข้าหลักพวกเขาจำเป็นต้องค้นหาป้อมยามที่สามารถเข้าถึงการควบคุมของทางเข้าหลักได้
มาร์คและแองเจก็ได้มองนั้นก็ได้มองไปรอบๆอย่างระมัดระวังมันจะต้องมีซ้อมหรือไม่ก็มนุษย์อยู่บ้าง
“ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้อย่างงั้นฉันคงไม่พาพี่ชายของเธอมายังที่แห่งนี้”
มาร์คคิด
เขาคาคคิดไว้อยู่แล้วว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้แม้ว่าจำนวนมันจะมีน้อยที่สุดมากกว่าที่อื่นๆก็ตามเพราะด้วยความที่จำนวนน้อยนั้นเขามั่นใจได้แน่ว่าพวกกองทัพทหารจะสามารถจัดการรับมือกับซอมบี้ด้วยจำนวนคนที่น้อยและไม่ต้องใช้พลังงานเยอะได้และด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจเอา’มือเข้ามาช่วย’ซึ่งคือทหารเหล่านั้น
น่าขนลุกเสียเหลือเกิน
นั่นคือความคิดของมาร์คในขณะที่เขาและแองเจรีบข้ามไปที่ลานจอดรถแม้ว่าเขาจะชอบสถานที่ที่เงียบและสงบแต่ความเงียบในบริเวณนี้ก็ทำให้เขาได้รับความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
มีรถหลายคันจอดอยู่ท่ามกลางรถตู้ขนส่งแต่ไม่มีผู้มีชีวิตอยู่เลย
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ถึงพื้นที่ส่วนกลางพวกเขาก็ต้องหยุดอยู่ตรงนั้นด้วยความช็อค
บริเวณนั้นเต็มไปด้วย…
เต็มไปด้วยซากศพ
ไม่ใช่ซากศพของพวกซอมบี้แต่เป็นซากศพของมนุษย์ร่างกายที่ขาดวิ่นและถูกแยกชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ถูกตัดหัวไว้ทิ้งเกลื่อนพื้นนั่นอาจเป็นศพของเด็กเล็กผู้ชายผู้หญิงและคนชราก็ได้ไม่มีใครรอดการกระเซ็นของรูกระสุนมีให้เห็นอยู่ที่พื้นเลือดที่พื้นได้นองเป็นแอ่งๆเลือดและรอยขีดข่วนบนคอนกรีตทำให้ฉากนั้นน่าสะอิดสะเอียนเกินไป
แองเจได้แต่ยืนอ้าปากค้างด้วยความช็อค
จากนั้นมาร์คก็ได้เข้าไปหาแองเจซึ่งกำลังตกใจอยู่กับภาพที่เห็นและถือปืนพร้อมกับกระเป๋าเข็มขัดพร้อมกับยื่นให้เธอ
“เธอใช้พวกนี้เป็นใช่มั้ย?”
แองเจก็ได้หายจากอาการอึ้งและตกใจเมื่อได้ยินเสียงมาร์คออกมาและเธอก็พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็รับไปและระวังตัวด้วย”
น้ำเสียงของมาร์คก็เข้มงวดดุดันมากขึ้นและก็ได้กล่าวต่อ
“เธอควรจะโฟกัสไปที่เรื่องเดียวคือหาวิธีให้พี่ชายเธอและคนของเขาเข้ามาข้างในอย่าคิดถึงเรื่องอื่นเด็ดขาด”
“มีอะไรผิดปกติงั้นหรอ?”
มาร์คมองเข้าไปยังพื้นที่ส่วนกลาง
“ไม่มีอะไรพวกเราอาจจะตายได้ถ้าเธอหลุดสมาธิไปกับเรื่องอื่น”
แองเจก็ได้เบิกตากว้างมาร์คก็มองไปที่เธอ
“สัญญาก่อนว่าเธอจะไม่มองกลับไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและมีสมาธิแค่อยู่กับการทำให้พวกเขาเข้ามาข้างในให้ได้?ฉันรู้ว่าฉันติดตลกกับเธอเกือบทุกเวลาที่เป็นไปได้แต่ไม่ใช่เวลานี้เข้าใจมั้ย?”
แองเจสังเกตุได้ว่าสถานการณ์เริ่มดูเคร่งเครียดตั้งแต่มาร์คมีปฏิกิริยาแบบนี้
จริงๆแล้วเมื่อตอนที่พวกเขาเห็นซากศพมาร์คเริ่มตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
เมื่อตอนที่เขาพบแอ็บบีเกลแอ็บบีเกลนั้นมีอารมณ์ที่สงบนิ่งซึ่งเขาแทบจะไม่ได้สังเกตเห็นเธอเลยได้ทันทีแต่ตอนนี้เขาตรวจจับและสัมผัสได้กับสิ่งที่อยู่ตรงข้ามเขาตรวจพบความผันผวนทางอารมณ์ที่รุนแรงและผิดปกติอย่างมากซึ่งอาจทำให้เขาซึ่งมีความสามารถรับรู้ความรู้สึกทางอารมณ์ของผู้อื่นเกือบจะคุกเข่าลง
เนื่องจากอาการปวดศีรษะที่แทบจะทำให้หัวเขาระเบิดออก
จากนั้นเขาก็มองไปที่เพดานของพื้นที่ส่วนกลางพร้อมกับบ่นพึมพำภายใต้ลม
“มันมีกลิ่นราวกลับจะต้องเจอกับตัวบอส”