มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) - ตอนที่ 54 : แผนของมาร์ค
มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen)
ตอนที่ 54 : แผนของมาร์ค
เวลา 20:15 นาฬิกา ห้างสรรพสินค้าบาคัวร์, ฝั่งตะวันตก, โซนขายสินค้าไอที
ภายในร้านคาซึ่งแล็ปท็อปนั้นถูกตั้งค่าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มาร์คนั่งอยู่ที่เก้าอี้กับแอ็บบีเกลที่นั่งอยู่บนตักของเขา เขาค่อยๆเปาซุบเบาๆที่อยู่ในช้อนที่เขาถือด้วยมือขวา และป้อนแอ็บบีเกล ตรงหน้าเขานั้นมีบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปและวาฟเฟิลพร้อมกับเครื่องดื่มหลายกระป๋อง
เป็นสิ่งที่โชคดีมากที่หนึ่งในร้านข้างในโซนขายสินค้าไอที่มีขายอุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ USB หลายประเภท น้ําร้อนที่ใช้ต้มบะหมี่ถ้วยนั้นถูกทําโดยกระติกน้ําร้อนไฟฟ้า และวาฟเฟิลนั้นใช้กล่องเบนโตะฉนวน USB ที่เสียบอยู่สายชาร์จโทรศัพท์และกําลังใช้เพื่ออุ่นอาหารอื่นๆอยู่ในตอนนี้
ข้างๆมาร์ค เหมยนั้นก็ได้มองดูแอ็บบีเกลอย่างอิจฉาในขณะที่เธอนั้นกินบะหมี่ถ้วยของเธอด้วยตัวเธอเอง
ที่เคาร์เตอร์แองเจและพอลลาได้ใช้แล็บท็อป พวกเธอกําลังติดต่อกับกองทัพทหารพร้อมกับติดต่อพ่อของแองเจให้ได้
เจมส์ได้ผ่านเข้ามาก่อนหน้านี้ให้ข้อมูลกับมาร์คว่าชายคนที่มาร์คต่อสู้ด้วยก่อนหน้านี้นั้นได้เสียชีวิตแล้ว มาร์คไม่ได้รู้สึกตกใจใดๆเพราะมันเป็นเหตุผลที่เขาเดินออกไปพร้อมแอ็บบีเกล แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่เห็นได้ชัดอย่างเดียวแขนของชายคนนั้นหัก แต่ มาร์คก็ได้ประเมิณความเจ็บปวดที่ชายคนนั้นได้รับก่อนที่เขาจะหมดสติไป เป็นไปได้ว่าซี่โครงของชายคนนั้นหักเป็นชิ้นๆและแทงเข้าไปในอวัยวะส่วนอื่นของเขา ศรีษะชายคนดังกล่าวนั้นกระแทกเข้า กับผนังคอนกรีตอย่างแรงจนเป็นไปได้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะขั้นรุนแรงซึ่งอาจนําไปสู่อาการเลือดคลั่งในสมอง
มาร์คได้ละทิ้งความคิดต่างๆที่ไม่จําเป็นออกไปจากจิตใจเขาหยิบวาฟเฟิลชีสชี้หนึ่งขึ้นมาและป้อนไปที่เหมยที่นั่งอยู่ข้างๆเขาดวงตาของเหมยนั้นเต็มไปด้วยความเบิกบานใจและเธอก็รีบกัดวาฟเฟิลชิ้นนั้นโดยทันที
มาร์คนั้นกําลังมีอาการปวดหัวตั้งแต่เจอกับแอ็บบีเกล เหมยเริ่มรู้สึกอิจฉาเธอ เด็กสาวตัวเล็กคนนี้ที่กําลังถูกมาร์คอุ้มไว้อยู่ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้สังเกตรู้ แต่สําหรับมาร์คซึ่งเป็นบุคคลที่สามารถรับรู้ความรู้สึกอารมณ์ของคนอื่นๆ เขาสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางความรู้สึกของเหมยที่มีต่อเขา ทั้งหมด นั้นก็เพราะแอ็บบีเกล
มาร์คหันศรีษะไปมองเด็กสาววิทยาลัยทั้งสองคนซึ่งกําลังมีท่าทีที่จริงจังกับการพิมพ์อะไรบางอย่างไปที่แล็บท็อป
เวลา 20.21 นาฬิกา – ย่านศูนย์การค้านานาชาติ , เมืองปาไซ,ถนนหลวงดิออสดาโด แมคคาพาเกล
ขบวนรถที่ประกอบไปด้วยรถทหาร Hummer กําลังแล่นอยู่ท่ามกลางถนน ข้างในกลางลํารถนั้น พลโททหารไมเกล เพเรซได้นั่งอยู่เบาะหลังพร้อมกับแสดงสีหน้าที่เปร่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นและโล่งใจบนใบหน้าอันชราของเขา
เขาเพิ่งได้รับข่าวว่าจากศูนย์บัญชาการการช่วยเหลือว่าลูกสาวของเขาติดต่อกองทัพมา หลังจากที่เขาได้รับข่าว เขาก็รีบออกคําสั่งบังคับบัญชาไปยังทหารผู้ช่วยของเขาโดยทันทีก่อนที่จะได้ออกไป
ขบวนรถหยุดจอดอยู่ข้างนอกตึกอาคารที่เคยมีไว้สําหรับใช้เป็นที่ทําการ Call Center เมื่อนายพลเดินลงออกมาจากยานพาหนะรถjeepทหารอีกคันก็มา และเทเรซ่า ลูกสะใภ้ในอนาคตของเขาก็ได้เดินลงมาจากรถ
ทั้งสองเข้าไปด้วยกันและได้รับการรับจากบุคลากรที่รออยู่นายพลเริ่มสอบถามถึงสถานการณ์ไปด้วยในขณะที่พวกเขาเดินไปตามโถงทางเดิน
“แล้วข่าวเกี่ยวกับลูกสาวฉันล่ะ?”
“นายท่าน! ลูกสาวของนายท่านกําลังออนไลน์อยู่และเธอเล่าถ์งสถานการณ์ที่อันตรายในตอนนี้ จากข้อมูลของเธอ ทางเรายังได้รับรายงานคําขอสําหรับการเข้าไปช่วยเหลือก่อนหน้านี้ของผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ในห้างสรรพสินค้าบาคัวร์ด้วย และเธอก็เป็นหนึ่งที่ติดอยู่ในนั้น”
บุคลากรตอบไป
“เดี๋ยวนะ รายงานคําขอนั้น?”
เทเรซาพูดโพล่งขึ้นมาทําให้นายพลและบุคลากรมองไปที่เธอ
“เธอทราบเรื่องนั้นด้วยหรอ?”
ท่านนายพลถาม
“ฉันอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่คําขอนั้นแจ้งเข้ามา จําลอร่าเพื่อนของฉันที่ฉันแนะนําให้เข้ามาอาสาทําในส่วนหน้าที่นี้ได้มั้ย? เธอเป็นคนที่รับคําขอนั้น”
นายพลหันกลับไปยังพนักงาน
“แล้วได้ส่งหน่วยกู้ภัยไปหาพวกเขาหรือยัง?”
“ยังเลยครับท่าน”
ท่านนายพลไมเกลถึงกับประหลาดใจ
“อะไรคือเหตุผลทําไมถึงยังไม่ส่งไป?”
“ท่านครับ เนื่องจากรายงานคําขอก่อนหน้า พวกเขามีผู้รอดชีวิตอยู่ด้วยกันถึง 47 คน พวกเราต้องการจํานวนคนหน่วยกู้ภัยมากกว่านี้ให้กลับมาก่อนที่จะเข้าไปช่วยคนทั้งหมดนั้นได้”
ท่านนายพลก็ขมวดคิ้ว แต่ก็เข้าใจถึงสถานการณ์ทั้งสามคนก็ได้รีบตรงเข้าไปยังศูนย์บัญชาการการกู้ภัย
กลับมาที่โซนขายสินค้าไอที, แองเจที่กําลังพิมพ์อยู่บนแล็ปท็อปจู่ๆก็ยืนขึ้นและมองไปรอบๆ ซึ่งทําให้ทุกๆคนที่อยู่ในร้านสินค้านั้นมองไปที่เธอ
“เกิดอะไรขึ้น?”
มาร์คซึ่งกําลังป้อนอาหารแอ็บบีเกลอยู่ได้ถามออกมา
“ฉันต้องการโทรศัพท์ พ่อของฉันเพิ่งถึงและบอกฉันให้หาโทรศัพท์ที่พร้อมกับซิมส์”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด มาร์คจึงนําโทรศัพท์ที่เพิ่งได้มาใหม่มอบให้
แก่แองเจ
“ค่อยคืนฉันทีหลังแล้วกัน พ่อของเธอกําลังจะลงทะเบียนเบอร์ในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายส่วนตัวใช่มั้ย?”
แองเจพยักหน้าพร้อมกับรับโทรศัพท์มา
“แค่ตรวจสอบการตั้งค่าเบอร์น่ะ”
แองเจเลื่อนไถหน้าจอโทรศัพท์ในขณะที่เดินกลับไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าแล็บท็อปก่อนที่จะพิมพ์ต่อ
โทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้นมาซึ่งแองเจก็รีบรับทันที
“พ่อคะ!”
[แองเจไลน์ ขอบคุณพระเจ้า เธอไม่เป็นอะไร!]
“ใช่ค่ะพ่อ พวกเราเกือบจะตายแล้วแต่ตอนนี้พวกเราก็ปลอดภัยแล้วค่ะ!”
มาร์คเกือบจะสําลักในสิ่งที่เธอพูด เขาสรุปได้เลยว่าแองเจนั้นเป็นลูกสาวที่เก่งในเรื่องการทําให้พ่อแม่เป็นห่วงที่สุด!
“พ่อคะ จะส่งหน่วยกู้ภัยมามั้ย?”
[พวกเราจะส่งไป ตอนนี้พวกเราแค่รอทีมหน่วยกู้ภัยกลับมาและพวกเราจะส่งพวกเขาเข้าไปช่วยยังตําแหน่งของเธอโดยทันที ในระ หว่างนี้พ่อจะส่งต่อตําแหน่งสถานที่ของลูกให้กับพี่ชายคนโต]
“พี่ชาย? ราฟ? ทําไมล่ะ?”
[พ่อสั่งให้เขาตามหาลูกเมื่อเช้านี้ เขาน่าจะอยู่ใกล้ๆในตําแหน่งของลูก]
แววตาของแองเจก็เปร่งปะกายขึ้นมาทันที
(แองเจไลน์ มีกี่คนที่อยู่กับเธอตอนนี้ ]
แองเจมองไปที่ผู้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอและถามออกไป
“ที่นี่เรามีกันอยู่กี่คน?”
พอลลาก็กําลังจะตอบคําถามของเธอแต่มาร์คดันตอบออกไปก่อน
“ทั้งหมด 48คน ผู้ใหญ่ 43 เด็ก 5”
แองเจก็ได้ตอบทวนในสิ่งที่มาร์คบอกไปยังสายโทรศัพท์ทันทีในทางกลับกันพอลลากลับดูสับสนแล้วมองไปที่มาร์คด้วยความรู้ทันแองเจก็ได้คุยกับต่อกับพ่อของเธอทางโทรศัพท์ บอกเล่าว่าได้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับเธอ จริงๆแล้วพ่อของเธอต้องการที่จะคุยกับมาร์คซึ่งช่วยชีวิตลูกสาวของเธอเอาไว้ แต่เขาก็ปฏิเสธไปเมื่อมาร์ค นั้นไม่สะดวกจริงๆที่จะพูดคุยกับคนอื่นทางโทรศัพท์
มาร์คและคนอื่นๆก็ได้ทานอาหารกันเสร็จไปหลายนาทีก่อนที่แองเจจะวางสายลง
แอ็บบีเกลที่ได้หลับไปแล้วเมื่อเธอนั่งอยู่บนตักของมาร์คและซบไปที่ร่างกายของเขาราวกับแมว เด็กสาวคนนี้รู้สึกง่วงหลังจากที่ท้องของเธอเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
หลังจากที่แองเจนั้นคุยโทรศัพท์กับพ่อของเธอเสร็จเธอนั้นก็ดูมีความสุขมากจริงๆ เธอยังได้บอกพอลลาเกี่ยวกับครอบครัวของพอลลานั้นที่ได้ถูกช่วยไว้แล้วพอลลาดูโล่งใจแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอก็ได้ชําเลืองมองไปที่มาร์คทุกๆครั้ง
มาร์คเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับการที่ถูกพอลลาชําเลืองมองอยู่บ่อยๆดังนั้นเขาจึงพูดออกไป
“ถ้าเธอมีอะไรอยากถาม ก็ถามมา”
เมื่อได้ยินบริบทของเขา พอลลาก็ได้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเป็นทางการ
“เกี่ยวกับจํานวนคนที่นายบอกแองเจก่อนหน้านั้น มันขาดไปหนึ่งคนนะ”
จากนั้นเธอก็จ้องไปที่ดวงตาของมาร์ค
“ทําไมนายถึงจะไม่ไปกับพวกเรา?”
แองเจและเหมยต่างก็เบิกตาโตโตขึ้นในสิ่งที่พอลลาเฉลยออกมาเหมยหันไปหาพี่ชายของเธอโดยทันทีและถามออกไปตามด้วยแอง
“พี่คะ ไม่จริงใช่มั้ย?”
“ทําไมนายถึงจะไม่ไปด้วย?!”
มาร์คถอนหายใจและยืดแขนออกไปหาแองเจ
“เอาโทรศัพท์ของฉันมา”
แองเจก็ได้คืนโทรศัพท์ไปให้มาร์คทันที และจากนั้นมาร์คก็ได้เปิดแอพลิเคชันโซเชียลมีเดียวขึ้นมา จากนั้นเขาก็ค้นหาโพสต์บางอย่างที่เขาถูกแท็กไปด้วย และแสดงให้พวกเธอดู
“ฉันต้องไปตามหาคนพวกนี้ เธอทั้งสามคนก็รู้ว่าฉันมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับครอบครัวใช่มั้ย? ระหว่างเวลาแสนลําบากนั้นคนพวกนี้คือคนที่เป็นเสาหลักให้สําหรับฉัน เมื่อฉันต้องการใครสักคน ที่อยู่เคียงข้างพวกเขาเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆสําหรับฉัน ถึงแม้ว่าจะมีบางสิ่งได้เกิดขึ้นและฉันละเลยพวกเขาไป ตอนนี้นั้นพวกเขาต้อ งการความช่วยเหลือฉันก็ติดหนี้บุญคุญพวกเขาและในตอน นี้เป็นครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้ตอบแทนพวกเขา”
เด็กสาวทั้งสามคนก็ตกอยู่ในความเงียบ
“ฉันเคยมีเพื่อนมากมายมาก่อน แต่คนเหล่านี้คือเพื่อนที่แท้จริงของฉันที่ฉันมี ฉันอาจจะไม่ได้สนใจอะไรหรอกถ้าฉันไม่รู้จักคนเหล่านี้ แต่คนเหล่านี้ก็เหมือนครอบครัวของฉัน”
“ถ้างั้นฉันจะไปกับพี่ค่ะ”
เหมยพูดความตั้งใจของเธอออกไป แต่มาร์คกลับส่ายหัว
“ทําไมล่ะ?”
น้ําตาเริ่มออกมาจากดวงตาของเหมย มาร์คจับไปที่ไหล่ของเธอและดึงเธอไปซบที่ไหลของเขา เขาก็ค่อยลูบผมของเธออย่างอ่อน
โยน
“เหมย นี่มันอันตรายมากฉันไม่สามารถพาเธอไปด้วยได้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ําว่าจะหายานพาหนะที่ใช้ได้มั้ยหากฉันหาไม่ได้ฉันก็จะ ต้องเดินไปตามถนนฉันรู้ว่าฉันจัดการกับตัวเองได้ แต่ฉันไม่สามารถที่จะปกป้องเธอได้”
“งั้นพวกเราส่งทีมกู้ภัยไปช่วยพวกเขาไม่ได้หรอ? ฉันขอพ่อของฉันให้ได้นะ”
แองเจเสนอ
“นานแค่ไหนล่ะกว่าที่พวกเขาจะไป? ซอมบี้กลายพันธุ์ก็ได้ปรากฎออกมาแล้ว และเธอไม่ได้เห็นวิดีโอที่ถูกอัพโหลดลงบนอินเตอร์เน็ตยิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น และอีกอย่างแม้กระทั่งพ่อของเธอซึ่งมีตําแหน่งถึงทหารพลโท เขาจะได้รับผลกระทบจากการใช้อํานาจในทางที่ผิดหากเธอบังคับให้เขา ทําในสิ่งที่เธอต้องการ”
แองเจนั้นรู้สึกไม่พอใจ ในขณะที่มาร์คมองไปที่พอลลา
“ฉันสามารถขอให้เธอช่วยฉันในสิ่งที่เธอติดค้างฉันไว้ได้มั้ย?”
“นายอยากให้ฉันช่วยอะไร?”
ฉันอยากหายเธอและแองเจไลน์ดูแลเหมยและแอ็บบีเกลหลังจากที่พวกเธอถึงยังสถานที่หลบภัยแล้ว
พอลลาตกลงอย่างไม่เต็มใจ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากจะดูแลเหมยและแอ็บบีเกล แต่เธอรู้สึกว่ามันอาจจะดีกว่าถ้าหากมาร์คคือ หนึ่งในคนที่ดูแลเธอด้วยเธอถอนหายใจเมื่อเธอเห็นความตั้งใจ อย่างแน่วแน่ในแววตาของมาร์คระหว่างได้รู้จักกันสั้นๆกับเขาตั้ง แต่เขานั้นช่วยเธอและแองเจไว้เธอก็เริ่มเห็นและเข้าใจถึงความน่า กลัวในบุคลิกของชายคนนี้แล้ว
เขานั้นมีการกระทําที่แตกต่างให้กับคนที่เขาไม่รู้ และคนที่ทําตัวเป็นศัตรูกับเขาและคนที่ทําให้เขาขุ่นเคือง อย่างไรก็ตาม เขานั้นใจดีใส่ใจและปกป้องคนที่ชอบและสนิทใจด้วย วิธีที่เขาดูแลแองเจเหมยและแอ็บบีเกลนั้นสามารถนํามายกตัวอย่างได้ดีที่สุด โดยเฉพาะกับเหมยเขาอาจจะไม่ได้ทันรู้ตัวหรือสังเกตด้วยซ้ําว่าเขานั้น ดูแลเหมยราวกับเธอนั้นเป็นสมบัติอันล้ําค่า
“ก็ได้ ฉันตกลง”