มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 564
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 564
ฉีฝ่าเทียนยิ้มและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าสำนักหลัวต้องการที่จะได้อันดับหนึ่งในการแข่งขัน เกรงว่าจะต้องระวังให้ดี เพราะแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดคราวนี้ จะมีผู้ที่มีความสามารถมากมายมาจากทั่วทุกมุมของโลก ในนั้นจะมีผู้ที่ฝึกฝนมาแล้วสองสามร้อยปีและอาจจะความแข็งแกร่งมากกว่าข้าก็ได้”
เพราะเริ่มต้นจากแดนพรสวรรค์ ทุกครั้งที่ผ่านแดนไปแดนหนึ่ง อายุของจอมยุทธ์จะเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปถ้าสามารถฝึกตนไปจนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ก็จะมีอายุขัยมากกว่าหนึ่งพันปี
ยิ่งระดับการฝึกฝนสูงขึ้นกว่าเดิม ให้ผลการฝึกตนสูงได้เร็วที่สุด ก็จะมีอายุขัยที่ยาวนานและเวลาไปไล่ตามแดนสูงขึ้นได้ ดังนั้นความเร็วของการฝึกฝนจึงกลายเป็นหน่วยวัดพวกพรสวรรค์
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สามารถถูกประเมินว่าเป็นพรสวรรค์ระดับแนวหน้า หรือพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ผลการฝึกตนจะถึงแดนราชายุทธ์หรือแดนจักรพรรดิยุทธ์
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้หลัวซิวอายุ 21 ปี ในวิธีวัดพรสวรรค์ เขาสามารถอยู่ในแถวพรสวรรค์ชั้นนำได้
แต่ผู้ที่ฝึกฝนจนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ในอายุ 20 ปี ถือเป็นปาฏิหาริย์ในประเทศเทียนหวู แต่ถ้ามองไปทั่วโลกแสงดาว ก็มีผู้คนมากมายที่สามารถทำได้เช่นกัน
แน่นอน ถ้าแบ่งแยกตามเวลาของการฝึกตน หลัวซิวสามารถโยนพวกพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ทั้งหมดเหล่านี้ให้ห่างออกไปได้ไกลมาก
เพราะหลัวซิวเริ่มฝึกตนอย่างเป็นทางการเมื่ออายุ 13 ปี นับแล้ว เวลาที่เขาฝึกตนเพียงแปดปี!
“พริบตาเดียวก็แปดปีแล้ว”
หลัวซิวดื่มเหล้าแก้วหนึ่ง มองย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ของเขาในช่วงแปดปีที่ผ่านมา รู้สึกเหมือนผ่านมานานอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ท่านพ่อท่านแม่ของเขาอยู่ในสำนักเขาไท่เสวียน แม้ว่าจะไม่สามารถฝึกฝนได้ แต่ร่างกายแข็งแรงดีด้วยการหล่อเลี้ยงจากพลังฟ้าดินจิตในสำนัก
แต่หลัวซิวชัดเจนมากว่าเมื่อระดับการฝึกตนของเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ แนวคิดเรื่องเวลาก็จะยิ่งเบลอมากขึ้น บางทีปิดขังฝึกตนอาจใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปี เมื่อคนในครอบครัวของเขากลายเป็นดิน เขาจะยังคงมีชีวิตที่ยาวนาน
คนธรรมดาไม่สามารถหลีกหนีการเกิด แก่ ตาย เจ็บไข้ได้ป่วยได้ นักยุทธ์แย่งชีวิตกับสวรรค์ นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าจะอาลัยอาวรณ์ แต่หลัวซิวก็รู้ว่าบางสิ่งเขาไม่สามารถหยุดยั้งได้ แค่คนในครอบครัวของเขาสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและปลอดภัยในตอนที่มีชีวิตอยู่ นี่เป็นผลที่ดีที่สุด
และก่อนหน้านี้จะเป็นไปได้เขาจะต้องสามารถปกป้องคนในครอบเขาได้ ให้พวกเขามีชีวิตอย่างสบายและมีความสุขจนสิ้นสุด
ก่อนหน้านี้ก็คือความแข็งแกร่งและเป็นเป้าหมายที่หลัวซิวแสวงหา ไปถึงจุดสูงสุดของจอมยุทธ์!
“ถ้าข้าสามารถไปถึงจุดสูงสุดของจอมยุทธ์ได้ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่มีวิธีทำให้อายุของครอบครัวข้าให้ยาวนานได้” หลัวซิวแอบพูดในใจ
สำหรับความเป็นอมตะ เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะแม้ว่าจะอยู่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ ก้าวเข้าสู่แดนนิรันกาลก็ไม่กล้าพูดว่าตนเองสามารถเป็นอมตะ ไปเกิดใหม่แต่ละครั้ง บางทีบางชาติหนึ่งอาจจะหลงทางอยู่วัฏจักรไปเกิดมา และจะไม่มีวันฟื้นคืนความทรงจำของเขาได้อีกตลอดไป
ทันใดนั้น หลัวซิวมีความรู้สึกบางอย่างในใจ เมื่อเขามองไปทางด้านหน้าของเรือรบ เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าพลานุภาพ
ฉีฝ่าเทียนก็รู้สึกได้ถึงออร่านี้เหมือนกัน ห่างจากเรือรบมากกว่าสิบกิโลเมตรก็เห็นทะเลเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
ฉีฝ่าเทียนควบคุมเรือรบให้หยุดทันที แล้วมองขึ้นไปที่ทะเลเพลิงขนาดใหญ่พร้อมหลัวซิว
“ผู้ใดขวางทาง?” ฉีฝ่าเทียนตะโกนเสียงดัง
อันที่จริงทันทีที่เขาเห็นทะเลเพลิงนี้ เขาก็เดาออกแล้วว่าน่าจะเป็นคนจากเผ่าหงส์มาหาถึงที่
“ผู้ลาดตระเวนฉี ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว ยังจำข้าได้หรือไม่?”
ร่างๆหนึ่งออกมาจากทะเลเพลิง เป็นผู้คุมกฎเฟิ่งหลิงของเผ่าหงส์
เมื่อมองเห็นเฟิ่งหลิง ฉีฝ่าเทียนแอบในใจว่า ตามที่คาดไว้ แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มและพูดว่า “เป็นผู้คุมกฎเฟิ่งหลิงนี่เอง พวกข้าไม่ได้เจอกันนานหลายสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงขวางเรือรบของข้า?”
เฟิ่งหลิงยิ้มเล็กน้อย “ผู้ลาดตระเวนฉีเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะกล้าดียังไงถึงขวางทางเรือรบของเจ้าได้ง่ายๆ แต่แค่ต้องการคุยกับเพื่อนผู้น้อยที่อยู่ข้างเจ้าเท่านั้น”
ฉีฝ่าเทียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแล้วมองไปที่หลัวซิว
อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าเพื่อนผู้น้อยและถือว่าตัวเขาเป็นผู้เยาว์แบบนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เพราะตอนนี้ตัวตนปัจจุบันของเขาคือเจ้าสำนักไท่เสวียน แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็เป็นตัวแทนเกียรติของสำนัก
“เจ้ามาหาข้าเรื่องใด?” หลัวซิวพูดเสียงเรียบ
“อวดดี! เจ้าเป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์เล็กคนหนึ่ง กล้าเรียกตัวเองว่าข้าต่อหน้าผู้คุ้มกฎของเผ่าหงส์หรือ?” เฟิ่งหงเสว่ซึ่งอยู่ด้านหลังเฟิ่งหลิงลุกขึ้นมาต่อว่าเขาเสียงเย็น
“ข้าคุยกับผู้คุมกฎเฟิ่งหลิง เจ้ามีสิทธิ์อะไรเข้ามาแทรก?” ดวงตาของหลัวซิวเย็นเฉียบ
“ฮึ่ม! ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่หยิ่งผยองนัก!”
ทันใดนั้น เสียงชราดังมาจากส่วนลึกของทะเลเพลิง ตามด้วยออร่าที่คาดเดาไม่ได้แผ่ขยายออกมา ทำให้สีหน้าของฉีฝ่าเทียนที่อยู่บนเรือรบเปลี่ยนไป