มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 43 หลิวหยู่ซินถูกปฏิเสธ
บทที่ 43 หลิวหยู่ซินถูกปฏิเสธ
อาจารย์ผู้ตัดสินบนเวทีก็ตกกับพลังฝีมือของหลัวซิวที่แสดงออกมา รีบสะดุ้งดึงสติกลับมา แล้วก็รีบประกาศว่าหลัวซิวชนะ
ไม่ต้องแปลกใจ จากงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ ชื่อของหลัวซิว คงจะกลายเป็นตำนานในสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนไปแล้วจริงๆ !
ด้านล่างเวทีประลองยุทธ์ เสียงปรบมือและเสียงเชียร์ดังขึ้น ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้มีคนคิดว่าหลัวซิวมีแค่วิชาท่างร่างที่ดีเท่านั้น โชคดีเท่านั้น แต่พอได้สู้กับหลินเจี๋ย หลัวซิวก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นพลังที่แท้จริงออกมาแล้ว และมันไม่ใช่โชคช่วยเท่านั้น
โดยเฉพาะนักเรียนที่เกิดในสังคมชาวบ้านธรรมดาเหมือนกับหลัวซิว ก็ยิ่งตื่นเต้นกว่าใคร ล้วนเกิดในสังคมที่ยากลำบากเหมือนกัน ในเมื่อหลัวซิวสามารถเก่งได้ แล้วทำไมตนเองจะทำไม่ได้?
บนเวทีประลองยุทธ์ ร่างกายที่ยืนตรงของหลัวซิว เป็นเหมือนกับตราประทับ ที่ติดตรึงเข้าไปในใจของคนไม่น้อย คนจำนวนมากคิดในใจว่า ต่อจากนี้จะตั้งใจบำเพ็ญตน ไม่แน่ว่าอาจจะทำได้เหมือนกับหลัวซิว
เดินลงมาจากบนเวที รับรู้ได้ถึงสายตาแห่งความเกรงใจ ชื่นชอบ และอิจฉาริษยาผสมปะปนกันไป หลัวซิวก็ทำหน้านิ่งๆ ไม่สนใจอะไร
ไม่แปลก จากการต่อสู้ครั้งนี้ หลังจากงานประลองยุทธ์ เขาจะต้องได้เข้าไปอยู่ในระดับสูงของสำนักยุทธ์แน่นอน บางที่อาจจะได้ยกเว้นให้เข้าสู่ขั้นสูง ได้รับความรู้ด้านวิชายุทธ์มากมาย
พวกนักเรียนในสำนักยุทธ์ที่ปกติไม่เคยคบค้าสมาคมกับเขา ก็เริ่มวิ่งเข้าไปคุยเล่นตีสนิท
“หลัวซิว คิดไม่ถึงเลยว่านายจะฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ อีกสองวันจะเป็นวันเกิดฉันครบ16ปี นายจะมาได้ไหม?”
หลิวหยู่ซินก็เดินมาตรงหน้าของหลัวซิวเหมือนกัน ยิ้มหวานปานฤดูใบไม้ผลิ แววตาเป็นประกาย ดูไร้เดียงสา ชวนให้เห็นแล้วใจเต้น
ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมต้องฝึกตนอีก เกรงว่าจะไม่มีเวลา ขอโทษด้วยนะ”
จะว่าไปแล้ว ตอนแรกเขาก็เคยแอบรักสาวน้อยคนนี้เหมือนกัน และเพราะเธอนั่นแหละ จึงได้เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย แต่ว่าเธอนั้นเป็นคุณหนูที่เกิดในตระกูลใหญ่ ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่อยากจะคบค้าสมาคมอะไรมาก
พอได้ยินหลัวซิวปฏิเสธ หลิวหยู่ซินก็อึ้ง ทำตัวไม่ถูก ด้วยความสวยอย่างเธอ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายแค่ไหนมาตามจีบเธอ เธอก็รู้ว่าหลัวซิวนั้นชอบเธอ เดิมยังคิดว่าจะใช้ความสวยของตนเองไปตีสนิทกับหลัวซิวได้ แต่ตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าพ่ายแพ้
มองแผ่นหลังของหลิวหยู่ซินที่ทำตัวไม่ถูจนต้องเดินจากไป หลัวซิวก็ไม่ขยับตัว เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว บนโลกใบนี้มีแต่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นอมตะ ถ้าวันหนึ่งได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสุดยอดของโลกยุทธ์ จะต้องกลัวไม่มีผู้หญิงอีกหรือไง?
“ไอ้คนไม่รักดี หยู่ซินไปชวนมึงด้วยตัวเอง นั่นก็เพราะชอบมึง ถือว่าว่าเป็นบุญที่โคตรเหง้ามึงทำบุญสะสมมาถึงมึง แต่มึงกลับปฏิเสธไปงั้นหรือ?” สวีเฟยอดไม่ได้ เลยออกมาพูดแทนหลิวหยู่ซิน
หลัวซิวก็หน้าชา แล้วมองไปยังสวีเฟยนิ่งๆ “ไอ้คนไม่เอาไหนที่อาศัยบารมีตระกูลตัวเองอย่างมึง ทางที่ดีก็เก็บปากของตัวเองไปเสีย!”
“มึงว่ากูเป็นคนไม่เอาไหนงั้นหรือวะ?” สวีเฟยโมโหมาก หน้านี่แดงก่ำ
“กูพูดผิดหรือไง? กินยาไปก็ไม่น้อย จ่ายเงินซื้อสิทธิ์ให้ได้วิชายุทธ์ระดับสูงไปไม่น้อย อายุ17เพิ่งฝึกได้การกลั่นร่างขั้น7 เพราะว่ากลัวขายหน้าคนอื่น ก็เลยไม่กล้าลงแข่งขันการประลองยุทธ์ ไม่ใช่พวกไม่เอาไหน แล้วจะเป็นอะไรวะ?” หลัวซิวหัวเราะเย็น
ตอนนั้นในหอเก็บหนังสือ สวีเฟยคนนี้ก็ทำท่าอวดเก่งเหนือใคร ถึงขนาดขมขู่ให้ตนเองอยู่ห่างๆ หลิวหยู่ซิน
แต่ตอนนี้ แค่มือเดียวของเขา ก็สามารถต่อยคนอย่างสวีเฟยได้เป็นสิบ ในสำนักยุทธ์ที่อาศัยพลังฝีมือมาพูดกัน ก็คงจะไม่มองเขาอยู่ในสายตา
“มึงอยากตายหรือไงไอ้หลัวซิว!”
ถูกหลัวซิวด่าว่าเป็นคนไม่เอาไหนต่อหน้าคนมากมาย สวีเฟยก็โกรธจนเส้นเอ็นขึ้นที่หน้าผาก
“อยากลงมืองั้นสิ?” หลัวซิวยิ้มเย็นที่มุมปาก “อย่างมึงอะ ไม่มีคุณสมบัติรับกระบวนท่าของกูแม้แต่กระบวนท่าเดียวหรอก”
“นี่มึง……” สวีเฟยหัวร้อนสุดขีด “มึงคอยดูแล้วกัน อย่าคิดว่าเป็นการกลั่นร่างขั้น9 แล้วจะเก่ง เดี๋ยวจะมีคนมาจัดการมึงแน่!”
“กูรออยู่” หลัวซิวยิ้มอย่างไม่สนใจ
สวีเฟยโมโหจากไป กัดฟันแน่นจนฟันจะแตก เดินฝ่าฝูงชนไปหาวัยรุ่นที่สวมชุดสีขาว ในมือถือดาบอยู่
“พี่ครับ ไอ้หลัวซิวมันกล้ามาดูถูกผม พี่ต้องแก้แค้นให้ผมนะ!” สวีเฟยพูดกับหนุ่มคนนั้น
หนุ่มคนนี้หน้าตาหล่อเหลา บนตัวมีกลิ่นอายความอาจหาญ ปีนี้อายุ18 ชื่อว่า จ้าวฉีชวง มีพลังอยู่ในอันดับที่4!
“หลัวซิวงั้นหรือ?” จ้าวฉีชวงคิ้วกระตุก สำหรับญาติผู้น้องคนนี้ เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ ก็แค่อาศัยว่าตัวเองเป็นลูกชายคนโตของตระกูลสวี ใช้ยาจำนวนมากถึงฝึกได้การกลั่นร่างขั้น7
สภาพครอบครัวของจ้าวฉีชวงนั้นธรรมดา ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ไม่เลว แต่ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากตระกูลสวี เขาก็ไม่แน่ว่าจะมีความสำเร็จดั่งทุกวันนี้ ดังนั้นที่สวีเฟยให้เขาช่วยสั่งสอนหลัวซิว เขาเองก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้
“ถ้าพี่เจอมัน จะช่วยสั่งสอนมันให้” จ้าวฉีชวงยิ้มพูด ถึงแม้ฝีมือที่หลัวซิวแสดงออกมาจะน่าตกใจ แต่เขากลับไม่มองอยู่ในสายตา
“ขอบคุณพี่มาก เล่นงานมันหนักๆ เลย เอาพิการเลยยิ่งดี!” สวีเฟยพูดอย่างร้ายๆ “ถ้าวันข้างหน้าผมได้เป็นเจ้าสำนัก จะไม่ลืมผลงานดีๆ ที่พี่ทำให้เลย”
“ฮ่าๆ ได้เลยๆ” จ้าวฉีชวงยิ้มพูด แต่ในใจเอือมระอา ขอเพียงตอนนั้นได้บรรลุกลายเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ ต่อให้ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักเซียวเหยา ก็สามารถเข้าร่วมองครักษ์เกราะเขียวได้ ตระกูลสวีเล็กๆ จะเทียบได้อย่างไร?
แต่ว่าจ้าวฉีชวงก็รู้ดี ถ้าอยากจะเป็นจอมยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ ยังจะต้องการทรัพยากรและการช่วยเหลือจากตระกูลสวี
พอเอาชนะหลินเจี๋ยได้แล้ว การประลองยุทธ์ก็ดำเนินต่อไป การแข่งขันรอบนี้ก็ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย คนที่สามารถเข้ารอบต่อไปได้ ล้วนเป็นคนเก่งขั้นสูงที่มีพลังระดับการกลั่นร่างขั้น9
จ้าวฉีชวงก็จับจ้องการแข่งขันของหลัวซิว แล้วคิดในใจว่า “วิชาหมัดและวิชาท่าร่างของหลัวซิวคนนี้เก่งกาจ แต่ได้ยินมันฝึกวิชากระบี่แค่ภายในสองเดือน มันก็เลยแบกกระบี่ไว้ไม่ยอมชักออกจากฝัก คงจะยังฝึกไม่สำเร็จ”
เขาไปสืบมาว่าหลัวซิวเลือกฝึกวิชากระบี่ฟ้าแลบ ถือว่าเป็นวิชาจำพวกวิชาดาบระดับ3ที่ฝึกยากพอสมควร คนที่มีพรสวรรค์ดี เวลา3เดือนอย่างมากก็ได้ขั้นต้น ถ้าอยากจะฝึกสำเร็จ อย่างน้อยต้องครึ่งปี
“โครม!”
มีคนร่วงเวทีอีกแล้ว หลัวซิวเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อีกครั้ง เข้าสู่รอบต่อไป
“ฝีมือที่หลัวซิวแสดงออกมาอยู่5อันดับแรก ไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับจ้าวฉีชวงที่อยู่ในอันดับ4จะเป็นอย่างไร”
“ผมคิดว่าจ้าวฉีชวงน่าจะเก่งกว่าหน่อย หมัดเสือมังกรและวิชาก้าวสั้นของหลัวซิวยังเป็นวิชายุทธ์ระดับ2 พลังทำลายล้างมีจำกัด”
ในกลุ่มคนด้านล่างเวที เริ่มคุยกัน เปรียบเทียบพลังฝีมือของแต่ละคน
นอกจากพลังที่หลัวซิวแสดงออกมาน่าสนใจแล้ว พวกขั้นสูงที่มีพลังฝีมืออันดับต้นๆ ก็ไม่รอช้าคู่ต่อสู้ที่เจอกับพวกนั้น ล้วนยอมแพ้กันหมด
เช่นสวี่ชิวเซิง ที่อยู่ในอันดับ1 มีคนชอบมากที่สุด ได้ยินว่าเคยได้รับคำชี้แนะจากเจ้าสำนักยุทธ์ด้วย หวังไว้ว่าก่อนอายุ19 จะได้เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่
########################