มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2853 จิตสังหารใต้เงามืด
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2853
จ้าวปีศาจเสวียนหยินดึงจิตสังหารกลับไป ยกแก้วชาที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาจิบหนึ่งอึก แล้วพูดอย่างเย็นชา: “ในเมื่อเจ้ามาพร้อมกับของยืนยัน ข้าก็จักตอบรับภารกิจนี้เอง แต่ทว่ามูลค่าของเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ไม่ต่ำเลย เจ้าจ่ายของแลกเปลี่ยนไหวหรือ?”
“หลัวซิวนั่นเป็นหนี้เลือดผู้น้อย จ้าวปีศาจสามารถเสนอราคาได้เลย ขอแค่ผู้น้อยมีปัญญาจ่าย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตนี้ข้าน้อยก็ทำได้อย่างแน่นอน!”สิงจีแสร้งทำเป็นพูดเหมือนไม่ย่อท้อที่จะยืนหยัดต่อความถูกต้อง
แม้นจ้าวปีศาจเสวียนหยินจะแข็งแกร่ง ทว่ายังไม่ถึงขั้นที่สามารถมองทะลุจิตใจมนุษย์ เขาไม่ทราบแต่อย่างใดว่าสิงจีที่อยู่ตรงหน้านี้กำลังแสดงละคร กำลังวางแผนการร้ายอยู่
“ดีมาก เจ้าเอาหินบรรพไท่ชูออกมาหนึ่งหมื่นก้อนสิ”จ้าวปีศาจเสวียนหยินพูดอย่างเย็นชา
หินบรรพไท่ชูเป็นทรัพยากรการฝึกตนที่ระดับสูงกว่ากรองแก้วโลหิตดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรัพยากรประเภทนี้มีความสำคัญต่อการบรรลุสู่แดนผู้สูงส่งมาก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งของที่กองกำลังใหญ่ทั้งหลายต่างค้นหาและเก็บสะสมมาโดยตลอด
จำนวนหนึ่งหมื่นก้อนดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นกรองแก้วโลหิตดั้งเดิม ก็เป็นจำนวนนับร้อยล้านก้อนเลยนะ!
หินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อนเท่ากับมูลค่าของกรองแก้วโลหิตนับร้อยล้านก้อนเชียวนะ!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินราคาดังกล่าว มุมปากสิงจีก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
“ผู้อาวุโสจ้าวปีศาจ ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อน”สิงจีคาดการณ์ทุกอย่างได้ล่วงหน้าแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจ้าวปีศาจเสวียนหยินจะเรียกร้องมากขนาดนี้
“ทำไม? เจ้ามีปัญหารึ?”จ้าวปีศาจเสวียนหยินขมวดคิ้วลง จิตสังหารที่น่าสยดสยองเตรียมพร้อมที่จะลงมือบุก
สิงจีสั่นสะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้ ในฐานะที่เป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักหยินวิถีปีศาจ เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจ้าวปีศาจเสวียนหยินเป็นปีศาจยักษ์ที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกอะไรแน่นอน
แต่จำนวนหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อนไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ หากจะสังหารหลัวซิวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ราคานี้มันสูงจนเกินเลยไปหน่อย!
“ผู้อาวุโสจ้าวปีศาจ แม้นหลัวซิวนั่นจะเป็นร่างที่ผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด ทว่าผลการฝึกตนในปัจจุบันกลับเป็นเพียงเทพมารระดับเก้าเท่านั้น ต่อให้มีข่าวลือเล่าว่ามันสามารถข้ามขั้นประลอง อย่างมากก็แค่เทียบเท่าราชาเทพระดับเก้า แค่สังหารผู้น้อยเล็ก ๆ เช่นนี้ ถึงขั้นต้องการหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อนเลยหรือขอรับ?”สิงจีระงับความรู้สึกกลัวที่มีต่อจ้าวปีศาจเสวียนหยินแล้วพูด
“ราคาที่ข้าเสนอนี้มันไม่สูงเลย!”จ้าวปีศาจเสวียนหยินทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง “ศักยภาพของหลัวซิวนั่นไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงก็จริง แต่มูลค่าที่แท้จริงของราคานี้กลับเป็นตัวตนเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋นั่นของเขา!”
“อาณากระบี่หวูจี๋ก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ซึ่งศักยภาพไม่ด้อยกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเรา ในเมื่อหลัวซิวเป็นเจ้าสำนักน้อย ก็ต้องยึดกุมอุบายในการเอาชีวิตรอดอย่างแน่นอน ทันทีที่พัวพันถึงอาณากระบี่หวูจี๋ที่อยู่เบื้องหลังเขา มีโอกาสทำให้กองกำลังระดับมหาแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเราและอาณากระบี่หวูจี๋ปะทะและเป็นศัตรูต่อกันได้!”
“และเป็นเพราะมีผลกระทบต่อวงกว้าง ดังนั้นข้าถึงได้เสนอราคานี้ ทางที่ดีข้าแนะนำให้เจ้าอย่าต่อรองราคากับข้าจักดีกว่า มิฉะนั้นจุดจบของเจ้าจะอนาถมาก!”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าของจ้าวปีศาจเสวียนหยินก็หม่นหมองลงไปแล้ว บนใบหน้าที่งดงามของชายหนุ่มไร้ความรู้สึก จึงทำให้คนเห็นรู้สึกหวาดกลัว
สิงจีสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง จำนวนหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อนไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ ซึ่งเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ มิหนำซ้ำต่อให้สามารถตัดสินใจได้ เขาก็เอาจำนวนหินบรรพไท่ชูที่มากมายขนาดนี้ออกมาไม่ได้เช่นกัน
“บัดนี้บนตัวผู้น้อยไม่ได้มีหินบรรพไท่ชูมากขนาดนั้น ผู้อาวุโสจ้าวปีศาจสามารถยืดเวลาให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ?”สิงจีถามอย่างระมัดระวัง
“ได้ คอยเจ้ารวบรวมหินบรรพไท่ชูครบเมื่อไหร่ค่อยมาอีกทีเถิด”
จ้าวปีศาจเสวียนหยินพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งประโยคหนึ่ง จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง เงาร่างจึงเริ่มเลือนลางแล้วหายไป
……
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลัวซิวก็สืบเสาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำอมฤตเทียนอีเช่นกัน แต่ทว่าเขาแทบจะตรวจสอบในตำราโบราณและม้วนหยกทุกประเภทของอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว แต่ก็ไม่พบข้อมูลใด ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำอมฤตเทียนอีเลย
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังเคยไปถามเจ้าแดนตู๋กูที่หุบเขากระบี่ด้วยตนเองเช่นกัน มาตรแม้นว่าจากประสบการณ์ของตู๋กู ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าน้ำอมฤตเทียนอีคืออะไรกันแน่
หลัวซิวก็เคยคิดเหมือนกันว่าจะไปสอบถามอาจารย์ตัวเองที่โลกาอนัตตาหวูจี๋ดีหรือไม่ แต่หลังจากนึกคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็สลัดความคิดนี้ทิ้ง หากเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ยังต้องไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ เช่นนั้นมันก็จะทำให้ตัวเองดูไร้ประโยชน์มากไปหน่อย
ธุรกรรมและสัญญาระหว่างเขาและประมุขเต๋าเลี่ยเทียนไม่ได้จำกัดเวลาแต่อย่างใด ดังนั้นหลัวซิวก็ไม่รีบเร่งต่อเรื่องตามหาน้ำอมฤตเทียนอีเช่นกัน
เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปอีกสิบกว่าปี ผลการฝึกตนของหลัวซิวก็บรรลุถึงเทพมารระดับเก้าช่วงปลายเช่นกัน อัตราการบริโภคกรองแก้วโลหิตที่เขาใช้ในการฝึกตนนั้น สามารถพูดได้เลยว่าเป็นจำนวนที่น่าสยดสยองมาก ถึงแม้ประสิทธิผลของการใช้หินบรรพไท่ชูจะดีกว่า แต่ทรัพยากรอย่างหินบรรพไท่ชูฟุ่มเฟือยมากเกินไป เขายังต้องเก็บสะสมไว้เพื่อใช้สำหรับบรรลุสู่แดนผู้สูงส่งในอนาคต ย่อมตัดใจใช้มันในแดนเทพมารระดับเก้าไม่ได้อยู่แล้ว
วันนี้ หลัวซิวกำลังบำเพ็ญตนอยู่ในวังซิวหลัว จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกพระราชวัง ก่อนที่เหยียนเยว่เอ๋อร์จะเดินเข้ามา
“ท่านสวามี ผู้อาวุโสตู๋กูมู่หยางขอพบเจ้าค่ะ”เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“เชิญเขาเข้ามา”หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา พยักหน้าแล้วตอบกลับ
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ผู้อาวุโสผมเผ้าดำเงาคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างกระปรี้กระเปร่า ซึ่งคนดังกล่าวก็คือตู๋กูมู่หยางนั่นเอง
ตู๋กูมู่หยางนี่ก็เป็นผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพของอาณากระบี่หวูจี๋เช่นกัน เมื่อนับดูแล้วเขายังถือเป็นรุ่นหลังของตู๋กูเจี้ยนเฉินอยู่ ซึ่งเป็นทายาทที่มีสายเลือดของเจ้าแดนตู๋กู
ในอาณากระบี่หวูจี๋ ตำแหน่งของเจ้าสำนักน้อยสูงส่งมาก เรียกได้เลยว่าอยู่ภายใต้อำนาจของคนคนหนึ่ง แล้วอยู่เหนืออำนาจของคนนับหมื่น ตำแหน่งเป็นรองเพียงตู๋กูที่เป็นเจ้าแดน
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ตู๋กูมู่หยางจะมาขอเข้าพบหลัวซิวด้วยตัวตนผู้อาวุโสที่มีเกียรติ ก็ต้องรายงานและได้รับการอนุญาตก่อนถึงจะสามารถเข้ามาได้
“ตู๋กูมู่หยางกราบคารวะเจ้าสำนักน้อยขอรับ”หลังจากตู๋กูมู่หยางเข้ามาแล้ว เขาก็ประสานมือทำท่าคารวะไปทางหลัวซิว
“ผู้อาวุโสมู่หยางเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาหาข้าเพราะเรื่องอันใดหรือ?”หลัวซิวยิ้มพลางถาม
“ผู้อาวุโสเจี้ยนเฉินออกจากการปิดขังแล้ว ซึ่งท่านจะข้ามผ่านทัณฑ์ในช่วงนี้ ผู้อาวุโสเจี้ยนเฉินให้ข้ามาแจ้งให้ท่านทราบขอรับ”ตู๋กูมู่หยางตอบกลับ
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็มีความดีใจปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว ในเมื่อตู๋กูเจี้ยนเฉินออกจากการปิดขัง เช่นนั้นก็ต้องมีการตระหนักรู้และได้รับการยกระดับจากม้วนหยกทั้งสามชิ้นที่ตัวเองมอบให้แน่นอน
สำหรับเรื่องนี้นั้น หลัวซิวไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เนื่องจากพรสวรรค์ปัญญาของตู๋กูเจี้ยนเฉินสูงส่งมากอยู่แล้ว แต่แค่ขาดแคลนโอกาสในการศึกษาวรยุทธ์ขั้นสุดยอดตลอดมา ดังนั้นจึงทำให้รากฐานของตัวเองแข็งขันได้ยากมาโดยตลอด
ปัจจุบันเมื่อได้เรียนรู้และศึกษาคัมภีร์เต๋าชิงเทียน ปัญญาที่สามารถบรรลุได้ถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าในตอนแรกของตู๋กูเจี้ยนเฉิน อย่างน้อยก็ถูกยกระดับขึ้นไปถึงปัญญาแห่งผู้สูงส่ง อนาคตหากมีการตระหนักรู้อีก ไม่แน่สักวันยังมีโอกาสบรรลุสู่แดนประมุขเต๋าได้อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ทราบเจตนาที่ตู๋กูมู่หยางเดินทางมาเช่นกัน ซึ่งเป็นตัวแทนคำขอบคุณของตู๋กูเจี้ยนเฉินที่มีต่อเขา เนื่องจากเจ้าเจี้ยนเฉินนั่นพูดไม่เก่ง ดังนั้นจึงให้ตู๋กูมู่หยางเดินทางมาด้วยตนเองรอบหนึ่ง ถือเป็นการแสดงความจริงใจของตัวเอง
“ช่วยข้าบอกเจี้ยนเฉินด้วยว่าขณะที่ข้ามผ่านทัณฑ์ ข้าจะไปเข้าร่วมพิธีด้วย”หลัวซิวยิ้มพลางตอบกลับ
เวลาสามสี่วันล่วงเลยไปภายในชั่วพริบตาเดียว ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ปรับสภาวะของตัวเองให้ขึ้นไปถึงจุดที่ดีเลิศที่สุดเช่นกัน
ขอบเขตพื้นที่ที่ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธของมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าปกคลุมกว้างใหญ่มาก ๆ ดังนั้นตู๋กูเจี้ยนเฉินจึงไม่อาจข้ามผ่านทัณฑ์บนดินแดนของอาณากระบี่ได้ และสถานที่ที่เขาเลือกคือสถานที่รกร้างว่างเปล่าที่อยู่ห่างไกลจากอาณากระบี่หลายร้อยล้านลี้
การข้ามผ่านทัณฑ์ในครั้งนี้มีความสำคัญต่อตู๋กูเจี้ยนเฉินอย่างยิ่ง อย่างไรเสียเมื่อมีมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าอุบัติขึ้นมาอีกคน ศักยภาพโดยรวมของอาณากระบี่หวูจี๋ก็จะได้รับการยกระดับอย่างมากเช่นกัน
ทว่าจักไร้คนเฝ้าสำนักมิได้ ดังนั้นผู้รับภารกิจคุ้มกันตู๋กูเจี้ยนเฉินข้ามผ่านทัณฑ์ในครั้งนี้จึงตกอยู่ที่ผู้อาวุโสสามคนในอาณากระบี่
ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งสามแห่งอาณากระบี่ มีคนหนึ่งคือมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ และมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้ออีกสองคน
ในส่วนของหลัวซิวนั้นกลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย เขาแค่มาร่วมพิธี
และในขณะเดียวกัน ณ สำนักหยินแห่งวิถีปีศาจ ในมือจ้าวปีศาจเสวียนหยินกำลังกำม้วนหยกหนึ่งชิ้น
จ้าวปีศาจเสวียนหยินผมดำและอยู่ในชุดคลุมยาวดำ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาคือชายชุดคลุมยาวทองคนหนึ่ง ซึ่งเป็นจ้าวปีศาจเทียนหยางแห่งสำนักหยาง
“การถ่ายทอดสืบสานของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเราตกทอดมาจากยุคไท่ชู อดกลั้นเก็บกดมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันมหันตภัยกำลังจะมาเยือน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีงามที่แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเราจะทำการล้างแค้น ปกครองโลกร้าง!”
จ้าวปีศาจเสวียนหยินวางม้วนหยกในมือลง “ขอแค่สามารถควบคุมโลกร้างให้อยู่ในเงื้อมมือพวกเรา ก็จะสามารถทำเรื่องทุกอย่างตามใจหวัง อนาคตทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดล้วนแต่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา!”
“และถ้าเกิดแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเราอยากบรรลุเป้าหมายนั้น ก็ต้องกำจัดพวกนอกคอกทิ้งก่อน ซึ่งนี่เป็นภาระหน้าที่ของสำนักหยินที่ข้ายึดกุมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”
“ก่อนหน้านี้ข้าได้รับภารกิจช่วยสังหารหลัวซิว เจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ ซึ่งค่าตอบแทนคือหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อน และปัจจุบันก็สามารถอาศัยโอกาสภารกิจในครั้งนี้ บางทีอาจจะสามารถกำจัดผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณากระบี่หวูจี๋ทิ้งได้ด้วย ช่างเป็นโอกาสอันดีงามที่สวรรค์ประทานชัด ๆ!”จ้าวปีศาจเสวียนหยินหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูด
“หินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อน?”
จ้าวปีศาจเทียนหยางที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย “ผู้ที่สามารถจ่ายราคานี้ได้นั้น ต้องไม่ใช่บุคคลทั่วไปแน่นอน อีกทั้ง……”
จ้าวปีศาจเทียนหยางยังไม่ทันพูดจบ จ้าวปีศาจเสวียนหยินก็พยักหน้าแล้วพูดว่า: “ข้าก็คิดได้แล้ว ฝ่ายตรงข้ามยอมจ่ายราคาที่สูงลิ่วเช่นนี้ เพื่อให้แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเราลงมือสังหารหลัวซิว ต้องเป็นเพราะอยากให้แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเราเกิดความขัดแย้งกับอาณากระบี่หวูจี๋อย่างแน่นอน”
“แต่ทว่าเรื่องนี้มันไม่สำคัญแล้ว อนาคตแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเราจะปกครองทั้งโลกร้าง ซึ่งอาณากระบี่หวูจี๋เป็นอุปสรรคที่จำเป็นต้องกำจัดทิ้งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผู้ฝากฝังภารกิจต้องการหลอกใช้พวกเรา แล้วพวกมันจะรู้ความปรารถนาที่มุ่งมาดและความทะเยอทะยานอันแรงกล้าของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจเราได้อย่างไรเล่า?”
“เสวียนหยิน เจ้าวางแผนที่จะลงมือด้วยตนเองหรือ?”จ้าวปีศาจเทียนหยางถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม
“ถูกต้อง ตู๋กูเจี้ยนเฉินนั่นกำลังอยู่ในช่วงข้ามผ่านทัณฑ์ ซึ่งจิตใจจำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับการต้านทานทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ ถึงครานั้นข้าจะลงมือจัดการมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามคนที่คอยคุ้มกันมัน จากนั้นค่อยให้จักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่งในสำนักหยินของเราลงมือก่อกวนตู๋กูเจี้ยนเฉิน ทำให้มันดับสลายเป็นฝุ่นผงอยู่ในทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ!”
จ้าวปีศาจเสวียนหยินพูดอย่างผ่อนคลาย “สำหรับหลัวซิวนั่นก็ยิ่งง่ายเลย ข้าจะให้มกุฎเทพระดับเก้าสามคนในสำนักหยินของข้าร่วมมือกัน การที่จะสังหารมันนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากเลย!”
ดูจากการคำนวณของจ้าวปีศาจเสวียนหยิน สามารถพูดได้เลยว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย มาตรแม้นว่าเป็นหลัวซิวที่มีผลการฝึกตนเพียงเทพมารระดับเก้า เขาก็ส่งมกุฎเทพระดับเก้าออกไปสามคนเช่นกัน
และกุญแจสำคัญของแผนการในครั้งนี้กลับไม่ใช่การสังหารหลัวซิว แต่เป็นการทำลายการข้ามผ่านทัณฑ์ของตู๋กูเจี้ยนเฉิน และกำจัดผู้อาวุโสอีกสามคนที่คอยคุ้มกันเขาในเวลาเดียวกันทิ้ง
“หากเสวียนหยินเจ้าลงมือด้วยตนเองละก็ ข้าก็วางใจได้แล้วล่ะ ฝั่งสำนักหยางไม่สามารถให้การช่วยเหลือใด ๆ แด่เจ้าเลย”จ้าวปีศาจเทียนหยางพูด
“เทียนหยาง เจ้าวางใจเถอะ ถึงครานั้นข้าจักทำทุกอย่างให้เด็ดเดี่ยวเด็ดขาด จะไม่ปล่อยให้มีจุดบกพร่องเกิดขึ้นแม้แต่น้อยแน่นอน!”จ้าวปีศาจเสวียนหยินแสยะยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก
“เรื่องนี้ฝากให้เจ้า ข้าวางใจได้มาก ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าซ่อนเร้นอยู่ในเบื้องหลังความมืด และทุ่มเทเพื่อแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจมามากแล้ว”
“เทียนหยาง เจ้าเป็นคนเจ้าอารมณ์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? ในฐานะที่เป็นนายท่านแห่งสำนักหยิน ข้าควรเป็นดาบในมือเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว……”
จ้าวปีศาจเสวียนหยินค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น เขาใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง ทว่าร่างกายกลับปกคลุมอยู่ในเงามืด
เขายืนอยู่ในเงามืดพลางแหงนหน้ามองพระอาทิตย์บนท้องฟ้า ยิ้มแล้วพูด: “อนาคตคอยเจ้าและข้าประสบความสำเร็จในกิจการงานที่ยิ่งใหญ่ ข้าก็สามารถเดินออกไปจากเงามืดนี้ และยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ได้แล้ว”
มีจิตสังหารที่มืดครึ้มและเย็นเยือกเริ่มแผ่กระจายอยู่ในเงามืด……