มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2747 แดนสุขาวดีที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิต
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2747 แดนสุขาวดีที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิต
หลังจากตู๋กูเจี้ยนเฉินจากไป หลัวซิวก็เก็บศิลาเทวชิงเทียน อย่างไรเสีย ออร่าของสมบัติสวรรค์ชิ้นนี้ก็น่าทึ่งเกินไป หากถูกใครพบเข้า จะนำมาซึ่งปัญหาที่ไม่จำเป็นได้
“เมิ่งเชียนชางบอกว่า เขาหาชิ้นส่วนสองชิ้นของกงล้อวัฏจักรธรรมเจอแล้ว เมื่อรวมกับตำหนักวัฏสงสารที่ข้าเป็นฝ่ายมอบให้ด้วยตนเอง เขาก็ได้รับชิ้นส่วนชิ้นที่สามมาแล้ว และทำให้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”
ในสมองของหลัวซิว ปรากฏภาพการประมือกับเมิ่งเชียนชางในครั้งนี้ เรื่องที่ตำหนักวัฏสงสารตกไปอยู่ในมือของเมิ่งเชียนชาง หลัวซิวเองไม่ได้สนใจนัก เพราะลูกแก้วความเป็นความตายยังอยู่ในมือเขา ถึงขั้นว่า รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวิญญาณดั้งเดิมของเขาแล้ว
ถึงแม้เมิ่งเชียนชางจะเชี่ยวชาญเส้นทางวัฏสงสาร แต่ก็มีเพียงแค่การสังหารเขาเท่านั้น จึงจะกลั่นแปรดั้งเดิมของเขา แล้วคว้าลูกแก้วความเป็นความตายมาครองได้
ขอเพียงลูกแก้วความเป็นความตายยังอยู่ในมือของเขา เมิ่งเชียนชางก็ไม่มีวันทำให้กงล้อวัฏสงสารปรากฏขึ้นมาบนโลกนี้อีกครั้งได้
ไม่ทันรู้ตัว หลัวซิวก็เหาะอยู่กลางห้วงดารา ทันใดนั้นเอง เขาก็มองเห็นพสุดาราที่กว้างใหญ่ผืนหนึ่ง
พสุดาราผืนนี้กว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยชีวิตและความตาย ท่วมท้นไปด้วยออร่าชีวิตที่เข้มข้น และเป็นเพราะพลังแห่งชีวิตของสถานที่แห่งนี้เข้มข้นเกินไป ถึงขั้นก่อตัวเป็นหมอกจาง ๆ ขึ้นมา
สถานที่ที่มีพลานุภาพแห่งชีวิตกระจายอยู่เช่นนี้ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกตนเป็นที่สุด แต่ตอนที่หลัวซิวเห็นสถานที่แห่งนี้ ม่านตากลับหดลงในทันใด
เพราะในชาติก่อน ตอนที่เขาเป็นไท่ซ่างฉิง สถานที่แห่งนี้ก็มีอยู่แล้ว สถานที่แห่งนี้ชื่อว่าแดนสุขาวดี ฟังดูแล้วเหมือนเป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยภยันตราย
ที่เรียกว่าสองระดับความเป็นความตาย เพราะมีทั้งความเป็นและความตายสูงสุด จะต้องมีการรักษาสมดุลไว้อย่างดี แต่ในแดนสุขาวดีนั้น กลับมีพลังชีวิตมากเกินไป หากคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก้าวเข้ามา ก็สามารถใช้พลังชีวิตของแดนสุขาวดี รักษาอาการบาดเจ็บให้หายได้อย่างรวดเร็ว แต่หากคนปกติเข้าไป พลังชีวิตก็จะพุ่งเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว และจะทำลายสมดุลระหว่างความเป็นความตายของร่างนั้น และจะถูกพลังชีวิตของแดนสุขาวดีกลืนกิน จนกลายร่างเป็นศพที่เดินได้ ท่องไปมาอยู่ในแดนสุขาวดี
หลัวซิวยืนอยู่ด้านนอกแดนสุขาวดี เขาเห็นสิงโตสีทองอร่ามที่มีอาวุธคู่ตัวหนึ่ง หมอบอยู่กลางเขาและกลืนคายออร่า สิงโตตัวนี้เคยเป็นอสูรยักษ์ที่แข็งแกร่ง แต่ถูกพลังชีวิตของแดนสุขาวดีกลืนกิน จึงสูญเสียสติสัมปชัญญะไป และท่องไปมาในแดนสุขาวดี ไม่อาจจากที่นี่ไปได้อีกตลอดกาล
มีคนบอกว่า แดนสุขาวดีเป็นสถานที่ที่ถูกสาป และมีคนบอกอีกว่า แดนสุขาวดีคือสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนวิถีชีวิตผู้หนึ่ง สร้างเอาไว้ก่อนที่ตนเองจะตายไป ทุกสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เมื่อถูกแดนสุขาวดีกลืนกิน ก็จะหมดหนทางจากไปได้อีกตลอดกาล ทำได้เพียงเฝ้าสุสานให้เขาอยู่ในแดนสุขาวดีเท่านั้น
จักรวาลห้วงดารากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีเรื่องลี้ลับอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ชาติก่อนตอนที่เป็นไท่ซ่างฉิง เขาเคยได้ยินเรื่องของแดนสุขาวดีมาก่อน แต่ยังไม่เคยเดินทางมา
แต่จากข่าวสารที่เขาเคยได้ยินมา ในตอนแรกที่แดนสุขาวดีปรากฏขึ้นมา อยู่ในยุคที่จ้าววัฏสงสารรุ่นที่สามปกครองสวรรค์ ผู้แข็งแกร่งที่ทิ้งแดนสุขาวดีเอาไว้ จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับผู้สูงส่ง ที่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิยุทธิ์ระดับเก้าอย่างแน่นอน
มหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าเป็นต้นไปคือผู้สูงส่ง แบ่งออกเป็น ผู้สูงส่งชั้นล่าง ผู้สูงส่งชั้นกลาง และผู้สูงส่งชั้นบน
ชาติก่อนของหลัวซิวอยู่ในแดนผู้สูงส่งชั้นล่าง และในอดีตอันยาวนานที่ผ่านมา มีผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งเกิดขึ้นมาจำนวนไม่น้อย เพียงแต่ในยุคที่สวรรค์และจ้าววัฏสงสารเป็นผู้ปกครองนั้น ไม่มีแดนที่เรียกว่าผู้สูงส่ง
หลัวซิวยืนอยู่ด้านนอกแดนสุขาวดี เขาเดาว่าผู้ที่สร้างแดนสุขาวดีแห่งนี้ขึ้นมา อย่างน้อยน่าจะเป็นผู้สูงส่งระดับกลาง
เพราะถึงแม้ในชาติก่อนตอนที่เขาเป็นไท่ซ่างฉิง ความแข็งแกร่งของผู้สูงส่งระดับล่าง ก็ยังยากที่จะสร้างสถานที่ที่พิสดารเช่นนี้ขึ้นมาได้
“เป็นเพราะข้ารีบเร่งให้ผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูง ทำให้การฝึกตนบรรลุเร็วเกินไปจนทำให้แดนไม่เสถียร จะต้องผ่านการขัดเกลาจึงจะทำให้รากฐานมั่นคงได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกตนในภายหน้า”
หลัวซิวจับจ้องไปที่แดนสุขาวดี และวพึมพำกับตนเอง : “อีกทั้งข้ายังต้องแสวงหาโอกาส ที่จะทำให้ข้าบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดได้ ดังนั้นจึงน่าจะเข้าไปเดินเล่นในแดนสุขาวดีแห่งนี้เสียหน่อย”
หลัวซิวเป็นคนมีความคิดเป็นของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้น หลังจากที่เขาตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่มีการลังเลใด ๆ อีก เขาก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปในพสุดาราอันกว้างใหญ่ ที่แดนสุขาวดีแห่งนี้ตั้งอยู่
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในแดนสุขาวดี ก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพของพลังชีวิตที่ปะทะเข้ามา ไม่จำเป็นต้องใช้วิชาโคจรดูดรับ พลังชีวิตของที่นี่ก็กรูกันเข้าไปในร่างของเขา และต้องการกลืนกินร่างกายของเขา
หากคนธรรมดาเข้าไปในแดนสุขาวดี จะต้องปิดผนึกออร่าของตนเองอย่างแน่นอน เพื่อขัดขวางไม่ให้พลังชีวิตแทรกซึมเข้ามา แต่หลัวซิวกลับไม่ขัดขืนเลยสักนิด วิถีไร้ลักษณ์ของเขาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งในโลกได้ และในขณะเดียวกันก็มีพลังที่ใช้ในการกลั่นแปร
หากคนทั่วไปดูดรับพลังชีวิต ก็จะถูกกลืนกินได้ง่าย ๆ แต่เขาสามารถดูดรับพลังชีวิตของที่นี่ เพื่อหล่อเลี้ยงร่างเนื้อร่างเดิมของเขา และทำให้รากฐานวิถียุทธ์ของเขามั่นคง
นอกจากการกลืนกินของพลังชีวิตแล้ว ที่นี่ยังมีอสูรจิตที่ถูกพลังชีวิตกลืนกิน ล่องลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ตลอดทางที่หลัวซิวเดินเข้ามา ก็พบกับการโจมตีสิบกว่าครั้ง อสูรจิตเหล่านี้ถูกพลังชีวิตหล่อเลี้ยงมาเป็นเวลานาน แต่ละตัวจึงล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ที่ค่อนข้างอ่อนแอ ก็ดูเหมือนจะมีเทพมารระดับแปดขั้นสูง ส่วนที่แข็งแกร่งขึ้นมาเล็กน้อย ก็สามารถเทียบได้กับเทพมารระดับเก้าแล้ว
แต่ตอนนี้กำลงัรบของหลัวซิวไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพมารระดับเก้าเลย ดังนั้นอสูรจิตที่ล่องลอยอยู่ในแดนสุขาวดีเหล่านี้ จึงไม่อาจคุกคามเข้าได้
ในขณะเดียวกันนี้ หลัวซิวยังเห็นร่องรอยที่คนอื่น ๆ ทิ้งเอาไว้ เห็นได้ชัดว่านอกจากเขาแล้ว ก็มีคนอื่น ๆ ที่มาแสวงหาประสบการณ์ที่แดนสุขาวดี
อย่างไรเสีย แดนสุขาวดีก็มีอยู่มาช้านาน และเก็บซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้ มีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยที่พยายามศึกษาว่า จะลบล้างภัยคุกคามจากพลังชีวิตได้อย่างไร คนที่กล้าบุกมาที่นี่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญวิธีการพิเศษบางอย่าง ที่สามารถป้องกันไม่ให้ตนเองถูกกลืนกินได้
แต่วิธีการของพวกเขาไม่อาจเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของวิถีไร้ลักษณ์ได้ บางคนที่ไม่ระวัง ก็ถูกพลังชีวิตแทรกซึมเข้าไปในร่างใน และถูกกลืนกิน และหลังจากที่ถูกกลืนกินแล้ว ก็จะสูญเสียสติสัมปชัญญะ และหันไปลงมือกับพวกพ้องที่อยู่ข้าง ๆ ในทันที
“คนผู้นี้คือใคร ถึงได้กล้าบุกเข้ามาหาประสบการณ์ในแดนสุขาวดีตามลำพังเช่นนี้ ?”
มีผู้แข็งแกร่งของกองกำลังใหญ่สังเกตเห็นหลัวซิวที่เดินอยู่ในแดนสุขาวดี คนผู้นี้มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้า เขานำพาคนหนุ่มสาวกว่าสิบชีวิตเข้ามาแสวงหาประสบการณ์ในแดนสุขาวดี
ตอนนี้เอง แมลงพิษกระดองสีดำขลับก็บินกรูกันเข้ามา จำนวนของแมลงพิษเหล่านี้มากจนน่าตกใจ ดูแล้วเหมือนมวลสีดำขนาดใหญ่
แมลงพิษแต่ละตัวมีขนาดเท่าฝ่ามือ มีปากที่แหลมคมเป็นอาวุธ แมลงพิษชนิดนี้มีชื่อว่าด้วงดำ นับว่าขึ้นชื่ออย่างยิ่งในจักรวาลห้วงดารา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้ามาพบเข้า ยังต้องหลีกหนีให้ไกล
เพราะด้วงดำชนิดนี้ ไม่เพียงแค่มีพลังกัดที่น่าตกใจเท่านั้น แต่ยังมีพิษที่รุนแรงอีกด้วย ทันทีที่ถูกกัดเข้าไปและถูกพิษ ก็ยากที่จะระดมกำลังเวทย์ของร่างในได้ ทำได้เพียงนั่งรอความตาย รอให้แมลงพิษกัดแทะจนสิ้นซาก
ด้วงดำฝูงนี้น่าจะบุกเข้ามาในแดนสุขาวดี จากนั้นก็ถูกพลังชีวิตของแดนสุขาวดีกลืนกิน ทำให้กลายเป็นนักฆ่าอยู่ในแดนสุขาวดี
รังของด้วงดำอยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง ตอนที่หลัวซิวเดินมาจากบริเวณใกล้ ๆ ด้วงดำฝูงนี้ก็โจมตีทันที และล้อมเขาเอาไว้จนมิด
ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าที่สังเกตเห็นหลัวซิวเมื่อครู่ เมื่อเห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน และพูดขึ้นด้วยความเห็นใจ : “ถูกด้วงดำรุมแบบนี้ เขาต้องตายอย่างแน่นอน……”
อสูรจิตที่ล่องลอยอยู่ในแดนสุขาวดีนั้นมีไม่น้อย บางตัวที่ค่อนข้างแข็งแกร่งก็จะอาละวาดอยู่ที่นี่ไปทั่วโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่เมื่อเทียบกับฝูงแมลงอย่างด้วงดำที่เคลื่อนย้ายเป็นฝูงด้วยจำนวนที่มากเหลือประมาณ ก็นับว่าห่างชั้นกันมาก
“เปรี้ยง !”
ทันใดนั้นเอง เปลวไฟที่ไร้ขีดจำกัดพลุ่งพล่านขึ้นมา หลัวซิวโคจรวิถีไร้ลักษณ์ เปลี่ยนแปลงเป็นเปลวไฟสีดำออกมา ด้วยความสมบูรณ์แบบและการอนุมานที่เขามีต่อวิถีไร้ลักษณ์ในตอนนี้ เปลวไฟที่เปลี่ยนแปลงออกมา เทียบได้กับอัคคีเทพระดับเก้าแล้ว !
ด้วงดำไม่อาจต้านทานการเผาไหม้ของเปลวไฟได้ และค่อย ๆ ร่วงลงมาทีละตัว ๆ ไม่ว่าจำนวนของด้วงดำจะมีมากสักเพียงใด เมื่ออยู่ภายใต้การปกคลุมของอัคคีเทพ ก็ไม่อาจทำลายอัคคีเทพคุ้มกันได้
ทว่า ด้วงดำไม่ได้รับมือได้ง่าย ด้วงดำสามารถดูดกลืนพลังงานได้จำนวนมหาศาล ซึ่งรวมไปถึงพลังของเปลวไฟด้วย
ภายใต้การดูดกลืนของฝูงแมลงจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเทพมารระดับเก้าคนไหน ก็คงไม่อาจฝืนทนได้นานนัก ทันทีที่การฝึกตนถูกใช้ไปมากเกินไป อัคคีเทพคุ้มกันก็จะหยุดทำงาน แมลงจำนวนมากก็จะกรูกันเข้ามา
“หวึ่ง !”
ห้วงจักรของหลัวซิวแยกออก เตากลั่นนภาจื่อเซียวลอยออกมาทันที และกวาดเอาด้วงดำที่อยู่โดยรอบทั้งหมดเข้าไปในเตาเซียน และเผาทำลายจนกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา
“เป็นสมบัติที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ !”
เทพมารระดับเก้าที่อยู่ห่างออกไป เมื่อเห็นภาพนี้แววตาก็เป็นประกาย เขาย่อมมองออกว่า เตาเซียนที่อีกฝ่ายเสกออกมา ไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน
เตาเซียนลอยกลับไปในห้วงจักร หลัวซิวค่อย ๆ กวาดตามองไปยังเทพมารระดับเก้า จากนั้นก็ขยับตัว และหายวับไปในที่ไกล ๆ
เพียงแวบเดียว ก็ทำให้เทพมารระดับเก้าผู้นั้น รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ จึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา “คนผู้นี้จะล่วงเกินง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด !”
ในแดนสุขาวดี หลัวซิวยังคงเดินมุ่งหน้าต่อไป บนแผ่นดินผืนนี้ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยพลังชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด อิงตามกฎเปลี่ยนเป็นเกณฑ์ของเตากลั่นยา หลังจากที่กฎชีวีเปลี่ยนเป็นเกณฑ์แล้ว ก็จะมีคุณสมบัติเป็นนิรันดร์
ดังนั้น อสูรจิตที่ใช้ชีวิตอยู่ในแดนสุขาวดีแห่งนี้ ถึงแม้จะถูกพลังชีวิตหลอมรวมและสูญเสียสติสัมปชัญญะไป แต่หากพูดในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาล้วนเป็นอสูรจิตที่เป็นอมตะ มีชีวิตเป็นนิรันดร์ไม่มีวันตาย
ในวิถีของการฝึกตนวิถียุทธ์ แม้แต่ผู้สูงส่งก็ไม่อาจมีชีวิตเป็นนิรันดร์ได้ สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวค่อย ๆ รู้แจ้งขึ้นมาได้ว่า ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนเกณฑ์ชีวีนิรันดร์ สร้างแดนสุขาวดีแห่งนี้ขึ้นมา จุดประสงค์อาจเพื่อแสวงหาชีวิตที่เป็นนิรันดร์ที่แท้จริง
ไม่ทันรู้ตัว หลัวซิวก็เดินลึกเข้ามาในแดนสุขาวดี โดยไม่รู้ว่าเป็นระยะทางเท่าไรแล้ว อสูรจิตที่เขาพบเจอก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ระดับของการหลอมรวมก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นที่ว่า เขาถูกอสูรจิตราชาเทพระดับเก้าตนหนึ่ง ตามไล่ล่ากว่าแสนลี้ เผชิญกับช่วงอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
แต่ในแดนสุขาวดี อาศัยการเปลี่ยนแปลงและขัดเกลาของวิถีไร้ลักษณ์ หลัวซิวก็รู้สึกว่าการฝึกความแข็งแกร่งของตนเองในทุกด้าน ดูจะเหนือกว่าที่เคย
มังกรห้ากรงเล็บตัวหนึ่งแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ พลัวซิวยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง หากเป็นคนอื่น เมื่องเห็นมังกรทองตัวนี้ บางทีอาจคิดว่าเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่ามังกร ที่ถูกแดนสุขาวดีหลอมรวมก็เป็นได้
แต่เมื่อหลัวซิวมองด้วยตา กลับมีความรู้สึกที่ต่างออกไป เขาสัมผัสได้ถึงออร่าวัฏสงสารเล็กน้อยบนร่างของมังกรทองตัวนี้
ออร่าประเภทนี้ กับเมิ่งเชียนชาง รวมไปถึงวัฏจักรออร่าที่เขาสัมผัสได้จากหลุมศพของจ้ววัฏสงสารรุ่นที่แปด แทบจะเหมือนกันไม่มีผิด !