มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2712 เคล็ดเซียนมหาศักดิ์
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2712 เคล็ดเซียนมหาศักดิ์
นอกแดนเทพโบราณ ผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่แห่งตระกูลเทียนฮวงกำลังชุมนุมกัน
“สมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารในด่านแรกไม่ธรรมดาเลยนะ……”
ราชาเทพนิศากรใช้มือลูบหนวดที่ขาวหงอกพลางอมยิ้ม “อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสองแสนกว่าคน นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เอง? ก็มีคนนับหมื่นตกรอบไปแล้ว”
ทันทีที่ไม่ผ่านบททดสอบบนสะพานวัฏสงสาร ก็จะถูกส่งออกมาจากแดนเทพโบราณอัตโนมัติ ขณะที่ราชาเทพนิศากรกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีคนถูกส่งออกมาเช่นกัน
“พรสวรรค์ปัญญาเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แต่ตัวธรรมกลับไม่เหมือนกัน สมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษผู้สูงส่งตกทอดมา การที่จะผ่านด่านนี้ได้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว”ราชาเทพเสว่น่าที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเบา ๆ แล้วพูด
อย่างที่ทุกคนทราบกัน แดนเทพโบราณคือสถานที่ที่ตระกูลเทียนฮวงนำมาประเมินผลเด็กรุ่นใหม่โดยเฉพาะ แต่กลับมีน้อยคนมากที่ทราบว่าช่วงที่แดนเทพโบราณปรากฏแรก ๆ เป็นยุคสมัยที่มหาเทพเสินหวงเป็นเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในโลกร้าง
การที่สามารถกลายเป็นผู้สูงส่งไร้เทียมทานในโลกาใบหนึ่งนั้น สามารถพูดได้เลยว่าตั้งแต่โบราณกาลมา ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงการตระหนักรู้บนวิถียุทธ์กับมหาเทพเสินหวงได้ ขณะที่เขาริเริ่มก่อสร้างแดนเทพโบราณ ก็ได้นำตัวธรรมวางไว้ในตำแหน่งแรก และยิ่งปลดปล่อยมหาอิทธิฤทธิ์ด้วยตนเอง วิวัฒนาการสมุทรทุกขังและสะพานวัฏสงสารขึ้นมา
ทันทีที่จอมยุทธ์ทุกคนก้าวขึ้นสู่สะพานวัฏสงสาร ก็ต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของภาพมายาต่าง ๆ ซึ่งภายในมีความลี้ลับที่ล้ำลึกที่สุดแฝงซ่อนอยู่ด้วย ใช่ว่าเมื่อมีตัวธรรมที่หนักแน่นก็จะสามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดายเสมอไป
เมื่อตัวธรรมหนักแน่น ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากภาพมายา จนสามารถผ่านบททดสอบในด่านแรกได้ แต่ในตระกูลเทียนฮวงกลับมีคำเล่าลือหนึ่งสืบทอดมาโดยตลอด นั่นก็คือหากสามารถฝ่าฟันผ่านสะพานวัฏสงสารได้อย่างราบรื่น บรรพบุรุษผู้สูงส่งก็จะประทานพรให้!
ซึ่งคำเล่าลือที่สืบทอดในตระกูลเทียนฮวงนี้ย่อมไม่ใช่ข่าวลือที่ไม่มีมูลอะไรอยู่แล้ว เนื่องจากมหาเทพเสินหวงเป็นผู้ถ่ายทอดคำพูดดังกล่าวด้วยตนเอง แต่ทว่ามหาเทพเสินหวงนั่งฌานละสังขารไปยาวนานมาก ๆ แล้ว แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดข้ามผ่านสะพานวัฏสงสารได้อย่างราบรื่นมาก่อน แล้วได้รับพรอันเพ้อฝันจากบรรพบุรุษ
“วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศทุกยุคสมัยในตระกูลเทียนฮวงของเราล้วนเคยพยายามดูแล้ว ทุก ๆ ร้อยปีจะมีอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจากดินแดนทั้งหลายรวมตัวกันอีกครั้ง แล้วมาฝ่าฟันในแดนเทพโบราณ บางทีการฝ่าฟันผ่านสะพานวัฏสงสารได้อย่างราบรื่นนั้น อาจเป็นเพียงเรื่องเล่าหนึ่ง”ราชาฟ้าเฉินหยางกล่าวเช่นนี้
“แดนของบรรพบุรุษผู้สูงส่งไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถคาดคะเนได้……”ผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่ต่างรู้สึกทอดถอนใจพร้อมกันอย่างอดไม่ได้
……
ภายในแดนเทพโบราณ หลัวซิวเดินผ่านสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารสำเร็จแล้ว แต่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าพื้นที่บริเวณรอบ ๆ หมุนและเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวเองก็อยู่บนพื้นที่นิรนามแห่งหนึ่ง
ทว่าเขากลับไม่มีความรู้สึกพิเศษต่อเหตุการณ์นี้ คิดว่าอาจเป็นเพราะเขาผ่านด่านแรกไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงต้องเผชิญหน้ากับด่านต่อไป
แต่ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเมฆหมอกขมุกขมัวก้องหนึ่งลอยมาจากด้านหน้า ถัดจากนั้นก็มีเงาลวงร่างหนึ่งเดินออกมาจากเมฆหมอก
นี่คือชายที่หน้าตาไม่โดดเด่นอะไร หน้าตาธรรมดาทั่วไปมาก ซึ่งถือเป็นคนประเภทที่เมื่อเดินอยู่บนถนนใหญ่ ก็จะไม่มีผู้ใดใส่ใจเลย
ทว่าบนตัวเขากลับมีออร่าประเภทหนึ่งที่พิเศษมาก ราวกับทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา กระแสสัมผัสของเขาครอบคลุมทั้งดาราจักรวาล เดือนตะวันดาราทั้งปวงล้วนอยู่ในกำมือเขา!
ชาติก่อนและชาติปัจจุบัน จากความทรงจำของทั้งภพชาติ สามารถพูดได้เลยว่าหลัวซิวได้พบเห็นรู้จักกับผู้คนมามากมายจนนับไม่ถ้วนแล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาสัมผัสพลังออร่าที่มากมายมหาศาลเช่นนี้ได้จากตัวคนคนหนึ่ง
และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากกว่านั้นคือ สิ่งที่เขามองเห็นนั้นเป็นเพียงเงาลวงร่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ร่างแท้แต่อย่างใด!
“ข้าหยุนฮวง ขอคารวะผู้เพื่อนยุทธ์”
เงาลวงชายที่ปรากฏตรงหน้าหลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ เขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีเหลือง เมื่อเก็บพลังออร่าที่มากมายมหาศาลในเมื่อครู่กลับเข้าร่าง เขาก็เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเลย
“ผู้เพื่อนยุทธ์หยุนฮวงเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าน้อยหลัวซิว”
หลัวซิวก็ประสานมือทำท่าคารวะตอบเช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าคนดังกล่าวคือผู้ใดกันแน่ ทุกคนที่เข้ารับการประเมินในแดนเทพโบราณล้วนถูกแยกให้อยู่ตัวคนเดียวมิใช่หรือ?
“ที่แท้ก็เป็นผู้เพื่อนยุทธ์หลัวนี่เอง ไม่ทราบว่าภพชาติก่อนผู้เพื่อนยุทธ์คือผู้ใดหรือ?”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังคาดคะเนตัวตนของฝ่ายตรงข้ามอยู่นั้น ชายผู้มีนามว่าหยุนฮวงกลับพ่นคำถามที่น่าตะลึงออกมากะทันหัน!
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว แววตาของหลัวซิวก็ดูรวดเร็วและดุดันขึ้นมาทันที ในโลกหล้านี้ ผู้ที่ทราบว่าเขาเป็นร่างผันแห่งวัฏสงสารนั้นมีไม่มาก แต่คนดังกล่าวมั่นใจเช่นนี้ ตกลงเขาทราบได้อย่างไร?
“ผู้เพื่อนยุทธ์ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเช่นนี้ สาเหตุที่ข้าทราบนั้น เป็นเพราะภาพมายาที่เกิดจากจิตใจขณะเจ้าเดินอยู่บนสะพานวัฏสงสาร ซึ่งได้สาดส่องไปถึงเจตนาเดิมโดยตรง แม้นผู้เพื่อนยุทธ์จักอำพรางได้ดีมาก ทว่าท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นผู้สร้างสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารอยู่ดี ดังนั้นข้าจึงมองเห็นความลี้ลับทั้งปวง”
หยุนฮวงหัวเราะ เขาไม่ได้แสดงเจตนาร้ายออกมาเลยแม้แต่น้อย และคำพูดที่เขาพูดนั้นก็ฟังดูลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ด้วย
หลัวซิวต้องทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่า ในเมื่อสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารเป็นสิ่งที่ทดสอบตัวธรรม จึงต้องสาดส่องไปถึงเจตนาเดิมอยู่แล้ว ต่อมาค่อยอ้างอิงจากความคิดหรือความลุ่มหลงที่เกิดจากเจตนาเดิมของตัวจอมยุทธ์ จนเกิดเป็นภาพมายาแดนมิติต่าง ๆ นานาอย่างไร้ขอบเขต
อย่างไรก็ตาม ตลอดการเดินอยู่บนสะพานวัฏสงสารของหลัวซิว แดนมิติที่ปรากฏล้วนเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาในภพชาติปัจจุบัน และสาเหตุที่ไม่มีสิ่งใดที่มีความเกี่ยวข้องกับภพชาติก่อนถูกสาดส่องออกมานั้น เป็นเพราะหลัวซิวจงใจยับยั้งเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
หากพูดถึงเรื่องตัวธรรมแล้ว เขามีตัวธรรมของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง บวกกับความทรงจำและประสบการณ์ของสองภพชาติ บางทีตัวธรรมของเขา ณ วินาทีนี้อาจจะอยู่เหนือไท่ซ่างฉิงเมื่อภพชาติก่อนเสียอีก
ถ้าเกิดเขาไม่อยากให้มีความคิดเกิดขึ้นในเจตนาดั้งเดิม มาตรแม้นว่าตัวต้องห้ามในสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารจักล้ำลึกมากเพียงใด ก็อย่าคิดว่าจะสามารถสาดส่องออกมาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ แต่ผู้อื่นก็มองเงื่อนงำออกอยู่ดี ถึงแม้เหมือนคนดังกล่าวจะดูไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเขาก็ตาม ทว่าก็ทำให้หลัวซิวระแวดระวังขึ้นมาภายในพริบตาอยู่ดี
“เจ้าเป็นคนในตระกูลเทียนฮวงหรือ?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม เมื่อครู่ฝ่ายตรงข้ามบอกว่าเขาเป็นผู้สร้างสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสาร เช่นนั้นความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามก็ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วล่ะ
“ข้าต้องเป็นคนในตระกูลเทียนฮวงอยู่แล้ว แต่ทว่าผู้เพื่อนยุทธ์ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเป็นเพียงปณิธานเสี้ยวหนึ่งในอดีตที่สถิตอยู่บนสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสาร ซึ่งจะไม่ใช้อำนาจคุกคามเจ้าแน่นอน”
หยุนฮวงยิ้ม เขาไม่ได้ไต่ถามต่อว่าเมื่อภพชาติก่อนหลัวซิวคือผู้ใด
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร มีข้อมูลและข่าวสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเทียนฮวงที่เขารู้กระพริบผ่านไปในหัวใจ แต่กลับไม่มีผู้แข็งแกร่งที่ชื่อหยุนฮวงเลย
เป็นเพียงปณิธานเสี้ยวหนึ่ง มองผลการฝึกตนของคนดังกล่าวไม่ออก แต่จากพลังออร่าและพลังเต๋าที่ไหลเวียนออกมาโดยความบังเอิญของฝ่ายตรงข้าม ทำให้หลัวซิวสามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคนดังกล่าวต้องเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างแน่นอน
เขาเป็นเพียงผู้น้อยที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับหกเล็ก ๆ คนหนึ่ง เมื่อพูดตามหลักแล้วตนไม่มีคุณสมบัติถูกผู้แข็งแกร่งเช่นนี้เรียกว่าผู้เพื่อนยุทธ์ ทว่าฝั่งตรงข้ามดันเรียกเขาเช่นนี้ ซึ่งต้องเป็นเพราะคนดังกล่าวดูออกแล้วว่าเขาคือร่างผันวัฏสงสาร สามารถสัมผัสได้ว่าเมื่อภพชาติก่อนของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลงกะทันหัน มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเขา เขาสันนิษฐานว่าคนดังกล่าวอาจเป็นเสี้ยวปณิธานที่มหาเทพเสินหวง บรรพบุรุษแห่งตระกูลเทียนฮวงทิ้งไว้สูงมาก ทุกคนในโลกล้วนรู้จักมหาเทพเสินหวง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดทราบชื่อที่แท้จริงของผู้สูงส่งแห่งโลกร้างเลย มีเพียงสมญานามของผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่ไหลเวียนอยู่ในโลก ในทางตรงกันข้ามผู้ที่ทราบชื่อจริงของผู้แข็งแกร่งกลับมีน้อยมาก
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพียงการคาดคะเนของหลัวซิวเท่านั้น ซึ่งไม่มีหลักฐานใด ๆ
“การที่ผู้เพื่อนยุทธ์สามารถมองทะลุความล้ำลึกของตัวธรรมบนสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารได้นั้น แสดงให้เห็นเลยว่าเจ้าเป็นผู้ที่เดินบนวิถีเดียวกันกับข้า ตัวธรรมที่หนักแน่นแน่วแน่เป็นเพียงภาพที่ปรากฏในใจ และมีเพียงไม่ละอายในสิ่งที่ตนกระทำไป ไม่นึกเสียดายไม่โกรธแค้น ถึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงของตัวธรรม!”
หยุนฮวงเพ่งมองหลัวซิวพลางพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน: “ครั้นเมื่อข้าทิ้งสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารไว้ แล้วฝากปณิธานไว้เสี้ยวหนึ่ง ก็เพื่อหวังว่าสักวันจะสามารถพบเจอผู้ที่เดินบนวิถีเดียวกัน แล้วมอบโอกาสหนึ่งให้แก่เขา!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หยุนฮวงก็ยกมือขึ้นมาสลักวาดลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า ท่าทางการสลักวาดของเขาดูเรื่อยเปื่อยมาก แต่กลับมีความล้ำลึกสูงสุดแฝงซ่อนอยู่ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถมองทะลุความหมายอันลึกซึ้งและความลี้ลับที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับแตกต่างกัน จู่ ๆ แววตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา
“เคล็ดเซียนมหาศักดิ์!”
หลัวซิวมองเงาลวงร่างมนุษย์ที่ชื่อหยุนฮวงตรงหน้าด้วยสายตาที่เหลือเชื่อ ความล้ำลึกที่ฝ่ายตรงข้ามสลักวาดออกมาอย่างเรื่อยเปื่อยนั้น มีวรยุทธ์หนึ่งแฝงซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นเคล็ดเซียนระดับผู้สูงส่ง!
ตั้งแต่โบราณกาลมา ในโลกหล้านี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งเท่านั้นถึงจะสามารถริเริ่มเคล็ดเซียนวรยุทธ์ระดับนี้ เช่นนั้นตัวตนของคนดังกล่าวก็เป็นที่ประจักษ์แล้วล่ะ!
“เหอะ ๆ ผู้เพื่อนยุทธ์มองทะลุความลี้ลับได้ทันที แสดงว่าภพชาติก่อนก็เป็นผู้สูงส่งคนหนึ่งเช่นกัน”
หยุนฮวงอมยิ้ม เขาไม่ได้สืบเสาะความเป็นมาของหลัวซิวแต่อย่างใด เนื่องจากเขาเป็นเพียงปณิธานเสี้ยวหนึ่ง ต่อให้รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้
“เคล็ดเซียนนี้ เป็นแก่นสารทั้งชีวิตบนวิถียุทธ์ของข้า ข้าขอมอบมันให้ผู้เพื่อนยุทธ์ หวังว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้เพื่อนยุทธ์ได้นะ”
ขณะที่สลักวาดเคล็ดเซียน ร่างกายของหยุนฮวงก็ยิ่งอยู่ยิ่งเลือนราง ความล้ำลึกที่แฝงซ่อนอยู่ในเคล็ดเซียนมหาศักดิ์ไม่มีทางสลักวาดออกมาได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว ทันทีที่สลักเคล็ดเซียนสำเร็จ เช่นนั้นร่างผันเสี้ยวปณิธานนี้ของเขาก็จะสลายหายไป
“ขอบพระคุณผู้เพื่อนยุทธ์เสินหวงอย่างสูง……”
หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ แล้วพูดตัวตนของฝ่ายตรงข้ามออกมา เคล็ดเซียนมหาศักดิ์มีประโยชน์ต่อเขามากจริง ๆ ซึ่งมีแก่นสารการตระหนักรู้บนวิถียุทธ์ทั้งชีวิตของผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งคนหนึ่งแฝงซ่อนอยู่ หากนำมันมาใช้ควบคู่กับการตระหนักรู้ของไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน ก็จะได้รับดอกผลเยอะมาก
หยุนฮวงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อการที่หลัวซิวบอกตัวตนของตัวเองออกมาเช่นกัน เขาสลักวาดเคล็ดเซียนพลางยิ้มพลางพูด: “ได้โปรดผู้เพื่อนยุทธ์คำนึงถึงไมตรีจิตบุพเพสันนิวาสบ่วงกรรมนี้ อนาคตจักสามารถปกปักดูแลลูกหลานตระกูลเทียนฮวงของข้าด้วย”
……
“โครม!”
ภายในเวลาชั่วพริบตา แดนเทพโบราณก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน สีหน้าของผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่ที่บัญชาการอยู่ด้านนอกเปลี่ยนไปกะทันหัน
“เป็นแรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสาร!”
ผู้อาวุโสทั้งสี่คนมองหน้าซึ่งกันและกัน ถัดจากนั้นก็ต่างปลดปล่อยตัวสำนึกของตัวเองออกไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สำรวจในแดนเทพโบราณโดยครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่
อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสองแสนกว่าคนต่างเข้ารับบททดสอบของแดนเทพโบราณในพื้นที่ปริภูมิที่แตกต่างกัน แต่ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ก็ยังคงสามารถเสาะหาคลื่นพลังออร่าในเมื่อครู่นี้แล้วไล่ไปตาม ก่อนจะผนึกเงาร่างของคนคนหนึ่งที่อยู่ในแดนเทพโบราณได้อย่างรวดเร็ว
“เดินผ่านสะพานวัฏสงสารแล้วหรือ?”
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ต่างดูตะลึงงันเล็กน้อย เนื่องจากอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมากเพิ่งเข้าไปในแดนเทพโบราณได้ไม่นาน ไม่นึกเลยว่าคนที่พวกเขามองเห็นจะมาถึงฝั่งตรงข้ามของสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารแล้ว
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าคนดังกล่าวใช้เวลาสั้นมาก ๆ ก็ข้ามผ่านสะพานวัฏสงสารมาได้แล้ว เพราะฉะนั้นถึงได้ทำให้แดนเทพโบราณสั่นสะเทือนขึ้นมา
สามารถทำให้ผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่ยังตะลึงเช่นนั้น เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นเลยว่าการที่จะข้ามผ่านสะพานวัฏสงสารภายในระยะเวลาสั้น ๆ มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเพียงใด มาตรแม้นว่าเป็นอัจฉริยะที่ดีเลิศที่สุดในตระกูลเทียนฮวงก็ทำเช่นนี้ไม่ได้
นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าชายหนุ่มผู้มาเข้าร่วมการคัดเลือกอัจฉริยะนี้ แดนตัวธรรมของเขาต้องบรรลุถึงระดับที่น่าสยดสยองมากอย่างแน่นอน!