มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2687 บุกฆ่าเข้าไปในตำหนักหลักเมือง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2687 บุกฆ่าเข้าไปในตำหนักหลักเมือง
“ข้าจริงจังอยู่แล้วสิ เฮียข้าคือเจ้าเมือง ข้าเองก็ย่อมเป็นตัวแทนของตำหนักหลักเมือง เป็นตัวแทนของเฮียข้าได้อยู่แล้ว!”
เรื่องราวดำเนินการมาจนถึงบัดนี้ เปียนหยวนจี๋ไม่มีทางขี้ขลาดเวลานี้ จึงทำได้เพียงฝืนเดินบนเส้นทางผิดนี้ให้ถึงที่สุด
ยกอาณาบริเวณของสมาคมเทียนสุ่ยให้ผู้อื่น เรื่องนี้เฮียเขาไม่มีทางปล่อยตัวเองไปง่าย ๆ แน่นอน แต่ขอแค่สามารถกำจัดไอ้แซ่หลัวนั่นได้ จับกุมตัวกากเดนสำนักหวูซินได้ เช่นนั้นบางทีคุณูปการนี้ก็อาจจะสามารถลดทอนความผิด บวกกับมีพี่สะใภ้ช่วยถือหางด้วยละก็ น่าจะไม่ยุ่งยากเช่นนั้นแล้ว
ซึ่งนี่ก็คือแผนการของเปียนหยวนจี๋ แน่นอนอยู่แล้วว่าก็มีแผนการที่พี่สะใภ้ช่วยเขาจัดแจงด้วย
“คำพูดของรองเจ้าเมือง ข้าได้บันทึกไว้แล้วนะ”
มีลูกแก้วความทรงจำลูกหนึ่งปรากฏในมือเฉว่ซ่า เมื่อครู่เขาได้ทำการบันทึกคำพูดทั้งหมดที่เปียนหยวนจี๋กล่าวมาไว้แล้ว ถึงครานั้นนี่จะเป็นหลักฐานชั้นยอด เจ้าเมืองหวูซินก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน
“ทุกท่านวางแผนที่จะลงมือเมื่อใดขอรับ? ยกอาณาบริเวณของสมาคมเทียนสุ่ยให้พวกท่านก็ได้ แต่เฮียข้าบอกแล้วว่าจำเป็นต้องฝากกากเดนสำนักหวูซินนั่นให้ตำหนักสำนักเราเป็นผู้จัดการ เมื่อไม่มีวิชาค้นวิญญาณของเฮียข้า ต่อให้พวกท่านจับกุมตัวมันได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเช่นกัน”เปียนหยวนจี๋พูดกระแทกเสียงต่ำ
“เรื่องนี้คุยง่าย”
เจ้าจวนกู่หยุนค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น มองไปทางเฉว่ซ่ารวมไปถึงสองบุรุษเสือสิงห์แล้วพูดว่า: “ทั้งสามคิดอย่างไร?”
“ข้าไม่มีความเห็น”เฉว่ซ่าและสองบุรุษเสือสิงห์ต่างตอบกลับเช่นนี้
“แต่ข้ามีความเห็น!”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอก ถัดจากนั้นก็มีเงาดำสามร่างปรากฏหน้าประตูห้องโถงใหญ่ตำหนักหลักเมือง
“ผู้ใดบังอาจบุกเข้ามาในตำหนักหลักเมือง ยังไม่รีบถูกจับโดยละม่อมอีกหรือ!”
เหล่าจอมยุทธ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้องโถงใหญ่ตำหนักหลักเมืองตะคอกเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเบียดเสียดกันเข้าไป
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวไม่จำเป็นต้องลงมือเลยด้วยซ้ำ เขาแค่ใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง แล้วเดินเข้าไปในตำหนักหลักเมืองโดยตรง ลาร์ตะคอกเสียงดังลั่นทีหนึ่ง คลื่นปราณที่ม้วนซัดออกไปมีอานุภาพแห่งอัสนีแฝงซ่อนอยู่ ทำให้กลุ่มคนที่พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามาถูกโหดพัดจนกระเด็นออกไปภายในพริบตา ร่างกายระเบิดแตกกลางท้องฟ้าจนกลายเป็นหมอกเลือด สภาพน่าเวทนามากจนมิอาจทนดูได้
ชายหนุ่มที่ใบหน้าขาวซีดเดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิวด้วยสภาพจิตใจที่กระวนกระวาย เขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเจ้าหมอนี่จะกล้าหาญเช่นนี้ ถึงกับพาเขาบุกเข้ามาในตำหนักหลักเมือง
เมื่อเขาเห็นกลุ่มคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ตำหนักหลักเมือง ชายหนุ่มยิ่งตกใจมากจนแทบจะเป็นลมหมดสติไป เจ้าจวนกู่หยุน เจ้าหอเฉว่ซ่าและสองบุรุษเสือสิงห์ล้วนอยู่ที่นี่ เช่นนี้ก็เท่ากับการมาติดหลุมพรางเองมิใช่หรือ?
ตัวเปียนหยวนจี๋เองก็ผงะไปแล้ว ท่าทางที่จะดื่มเหล้าในเมื่อครู่นี้หยุดนิ่งลงไปภายในพริบตา เมื่อเขาตอบสนองกลับมาได้ หลัวซิวก็เดินเข้ามาแล้ว ราวกับเดินอยู่ในสวนหลังบ้านของตนยังไงอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ตำหนักหลักเมืองที่มีองครักษ์แห่งเมืองหวูซินเฝ้าดูแลอย่างเข้มงวด!
“หลัวซิว มึงช่างโอหังยิ่งนัก!”
เสี้ยงเพล้งดังขึ้น เปียนหยวนจี๋เขวี้ยงแก้วเหล้าลงพื้นจนแตกสลาย แต่ว่าเขาไม่ได้ลงมือโจมตีโดยตรง แต่เป็นการตะโกนพูดกับพวกเจ้าจวนกู่หยุนอย่างเสียงดัง: “ทุกท่าน ไอ้หมอนี่แหละ!”
“ความกล้าของสหายช่างมากเสียจริง”
บนใบหน้าเจ้าจวนกู่หยุนก็มีความแปลกใจปรากฏเช่นกัน ก่อนจะพูด: “เมื่อครู่รองเจ้าเมืองเพิ่งสัญญากับเราว่า ขอแค่เรากำราบเจ้า อาณาบริเวณของสมาคมเทียนสุ่ยก็จะกลายเป็นของเรา”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกมาจากตัวเจ้าจวนกู่หยุน ผลการฝึกตนของเขาคือเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลาย ทว่าออร่าเกณฑ์พลังเต๋ากลับแข็งแกร่งกว่าเปียนหยวนจี๋ไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เมื่ออยู่ในแดนเดียวกัน ศักยภาพก็จะแตกต่างกันอย่างมากล้นเช่นกัน ซึ่งนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงกับจอมยุทธ์ทั่วไปนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน เจ้าหอเฉว่ซ่าและสองบุรุษเสือสิงห์ต่างก็แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นด้วย “เจ้ารนมาถึงที่เอง ก็ประหยัดเวลาเราได้ไม่น้อยเช่นกัน”
“ใช่หรือ? ทุกท่านมั่นใจเช่นนี้เลยหรือว่าจะสามารถจัดการข้าได้? ยังมีอีกจุดหนึ่งที่พวกเจ้าพูดผิดไป นั่นก็คืออาณาบริเวณของสมาคมเทียนสุ่ยจะไม่ตกเป็นของพวกเจ้า แต่จะเป็นของเขา”
หลัวซิวยิ้มอย่างไม่เก็บเอามาใส่ใจ จากนั้นเขาก็ดึงตัวชายหนุ่มมาด้านหน้าตัวเองแล้วพูดว่า: “ไม่ใช่แค่อาณาบริเวณของสมาคมเทียนสุ่ยเท่านั้น เขาจะกลายเป็นนายแห่งเมืองหวูซินและพสุดาราหวูซิน”
ชายหนุ่มมึนงงไปหมดแล้ว เขาไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าหลัวซิวหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เขาบอกว่าอนาคตตัวเองจะกลายเป็นนายแห่งพสุดาราหวูซิน ตกลงเขาจะทำอะไรกันแน่?
“ช่างปากดียิ่งนัก!”
สีหน้าของเจ้าจวนกู่หยุนหม่นหมองลงไป เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาและเหล่าเจ้าหอเฉว่ซ่า มาตรแม้นว่าเป็นเจ้าเมืองหวูซินก็ไม่เคยจองหองเช่นนี้มาก่อน
ลักษณะภายนอกของเจ้าจวนกู่หยุนดูแล้วเหมือนปัญญาชนที่สุภาพมีมารยาท มีรัศมีที่สว่างไสวกระพริบบนมือ จากนั้นก็มีพัดกายสิทธิ์ปรากฏในมือเขาหนึ่งอัน นี่คือพัดเบญจกายสิทธิ์ ขณะที่พัดโบกก็จะมีแสงเทวเบญจธาตุบินออกมา
พลังเบญจธาตุ ทองไม้น้ำไฟดินต่างพึ่งพาช่วยเสริมซึ่งกัน ส่งผลกระทบต่อกันและกัน เมื่ออยู่เดี่ยว ๆ จะไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดเบญจธาตุทั้งห้าหลอมรวมเข้าด้วยกัน พลานุภาพก็จะเพิ่มขึ้นไม่เพียงเท่าตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าศักยภาพที่เด็ดขาด ไม่ว่าพลังอมตะเคล็ดวิชาของเจ้าจะงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้มากเพียงใด ก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย
หลัวซิวสะบัดแขนเสื้อคลุมทีหนึ่ง ชายหนุ่มที่มีการถ่ายทอดสืบสานของหวูซินก็ถูกเขาพัดจนบินออกไป แล้วร่วงลงข้างกายลาร์
“ดูให้ดีล่ะ นี่ถึงจะเป็นเวทย์นำมังกรไร้เจตน์ที่แท้จริงต่างหาก!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็ใช้มือข้างหนึ่งประสานอิน เสียงคำรามมังกรที่ดังและสูงดังก้องขึ้น จากนั้นก็มีมังกรที่กลายมาจากตรีภพพุ่งเข้าไปพร้อมกับเสียงคำราม
เกณฑ์ตรีภพเป็นสิ่งที่หลัวซิววิวัฒนาการออกมาด้วยไร้รูป และระดับของพลังเกณฑ์นั้นสูงกว่าระดับของพลังเบญจธาตุหนึ่งระดับ
มังกรตรีภพพุ่งตรงไปอย่างมโหฬารพันลึก ทุกตำแหน่งที่เคลื่อนผ่าน แสงเทวเบญจธาตุก็จะสลายหายไป พุ่งมาแรงจนไม่อาจต้านทานไว้ได้
“สยบมังกร!”
หลัวซิวยกมือขึ้นมาขยำทีหนึ่ง มังกรตรีภพก็กลายเป็นกระบี่เทพหนึ่งเล่ม ฉีกกระชากฟ้าดิน
“ตู้มม!”
เสียงดังลั่นที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินสะท้อนออกไป ทุกคนในเมืองหวูซินล้วนสัมผัสได้ว่าแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ใต้เท้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ห้องโถงใหญ่ตำหนักหลักเมืองดังสะเทือนเลื่อนลั่นแล้วเริ่มแตกกระจายออกเป็นส่วนย่อย ๆ เศษหินที่นับไม่ถ้วนพุ่งกระเด็นออกไป ภายในชี่จิ้งมีพลังเกณฑ์พลังเต๋าแฝงซ่อนอยู่ ทำให้องครักษ์จำนวนมากในตำหนักหลักเมืองล้วนได้รับผลกระทบ ร่างกายถูกเศษหินทะลวงจนสภาพพังยับเยิน เสียงกรีดร้องโหยหวนที่น่าเวทนาดังขึ้น ๆ ลง ๆ
เจ้าจวนกู่หยุนกระอักเลือดเฮือกหนึ่ง ร่างกายเซถอยหลังกลับไปหลายก้าว สีหน้าดูตะลึงงันอย่างยิ่ง รัศมีเทวที่เขาปล่อยออกไปจากพัดเบญจกายสิทธิ์ถึงขั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนดังกล่าวด้วยซ้ำ และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือหลัวซิวนั่นไม่ได้ใช้ของขลังศัสตราวุธเลย แค่ใช้มือเปล่าปล่อยพลังอมตะออกมาเพียงพลังเดียวเท่านั้น
ชายหนุ่มที่ถูกลาร์คุ้มกันอยู่ข้างกายกลับเบิกตากว้างอ้าปากค้างไปแล้ว อย่างไรเสียพลังอมตะที่หลัวซิวปลดปล่อยในเมื่อครู่นี้ก็มีต้นกำเนิดมาจากเวทย์นำมังกรไร้เจตน์ ซึ่งเป็นวรยุทธ์สืบสานหลักของสำนักหวูซิน!
“ชัวะ!”
เศษเงาสีแดงเลือดร่างหนึ่งปรากฏด้านหลังหลัวซิวอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ถัดจากนั้นก็มีดาบโค้งสีแดงเลือดเล่มหนึ่งฉีกกระชากอนัตตา เฉือนสับมาตรงท้ายทอยเขา
“วิถีแห่งกฎความเร็ว?”
หลัวซิวยักคิ้วทีหนึ่ง ก่อนจะยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ได้ยินเพียงเสียงเตี๊ยงดังขึ้นและมีสะเก็ดไฟแตกกระเด็นออกไปทั่วทุกสารทิศ ดาบโค้งสีแดงเลือดของฝ่ายตรงข้ามได้ฟันลงบนนิ้วมือเขา
ซึ่งผู้ที่ลงมือต้องเป็นเจ้าหอเฉว่ซ่าอยู่แล้ว เขาเป็นยอดฝีมือที่อาศัยวิถีแห่งกฎความเร็วเชี่ยวชาญการจู่โจมลอบสังหารคู่ต่อสู้มากที่สุด
หากเป็นในอดีต หลัวซิวไม่มีทางสุขุมเรียบนิ่งเช่นนี้แน่นอน ทว่าตั้งแต่ผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับหกเป็นต้นมา เขาก็สามารถใช้วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการเกณฑ์พลังเต๋าทั้งปวงในฟ้าดินออกมา วิถีแห่งเกณฑ์ที่สามารถใช้ในระดับเทพมารระดับเจ็ดไม่สามารถเล็ดลอดไปจากกระแสสัมผัสของเขาได้เลยด้วยซ้ำ ไม่มีความล้ำลึกให้พูดถึงเลยแม้แต่น้อย
“ตู้มม!”
หลัวซิวกระทุ้งศอกหนึ่งครั้ง อนัตตาสั่นสะเทือน ปริภูมิที่อยู่ด้านหลังเขาก็ระเบิดแตกภายในพริบตา ทว่าเงาร่างของเจ้าหอเฉว่ซ่ากลับหายไปแล้ว
“หนีเร็วอยู่นี่”
หลัวซิวไม่เก็บมาใส่ใจ สิ่งที่วิถีแห่งกฎความเร็วชำนาญมากที่สุดก็คือการหนีเอาชีวิตรอด เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็ถดถอยแล้ว
เมื่อเห็นปริมภูมิที่แตกสลายเป็นฝุ่นผง ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้ทุกคนตกตะลึงจนหน้าถอดสีแล้ว สามารถสร้างพลังโจมตีที่น่าสยดสยองเช่นนี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย ตกลงพลังของเจ้าหมอนี่มันเกะกะระรานมากเพียงใดกันแน่? นี่ยังใช่ร่างเนื้ออยู่อีกหรือ นี่มันศัสตราวุธของขลังชิ้นหนึ่งที่มีพลานุภาพไร้เทียมทานชัด ๆ
“โครมคราม……”
และในเวลานี้เอง ลายค่ายที่นับไม่ถ้วนก็ปรากฏและผสมผสานกัน เหมือนดังกรงผนึกตำแหน่งที่หลัวซิวยืนอยู่เอาไว้แน่น ๆ
“ข้าใช้ค่ายกลกักขังมันไว้แล้ว รีบฆ่ามันซะ!”
เปียนหยวนจี๋ตะคอกเสียงดังลั่น ตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักหลักเมืองต้องมีค่ายกลต้องห้ามที่ทรงพลังคงอยู่เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และเปียนหยวนจี๋ก็เข้าใจวิชาค่ายกลที่ใช้ควบคุมกระตุ้นเช่นกัน
“แปลงมังกร!”
หลัวซิวหกระเหินเดินฟ้า มองสีมาแสงค่ายดั่งไร้รูป เงาร่างเขาเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้ากะทันหัน จนกลายเป็นมังกรยักษ์ตรีภพหนึ่งตัว
“ตู้มม!”
สองบุรุษเสือสิงห์พุ่งตัวบินออกไป เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด ร่างกายของหลัวซิวได้ดูดกลืนกลั่นแปรพละกำลังในเหล็กเศษณ์ทองเซียนมามากจนนับไม่ถ้วน ทันทีที่ปลดผนึกก็จะทำให้ร่างกายที่หนักอึ้งกลายเป็นพลังโจมตีที่น่ากลัว
“มังกรทะยาน!”
กระบวนท่าเปลี่ยนแปลงไปมา มังกรยักษ์ตรีภพคำรามพุ่งทะยานขึ้นฟ้า หมอกเลือดกลุ่มหนึ่งแย้มบานกลางนภา เจ้าจวนกู่หยุนตายไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนา!
“โฮก! โฮก! ……”
เสียงคำรามดังก้องขึ้นมาสองครั้ง สิงโตที่ใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งและเสือที่ดุดันตัวหนึ่งปรากฏ ต่างมีลำตัวที่ยาวสามพันกว่าเมตร ตั้งตระหง่านอยู่ในตำหนักหลักเมือง สูงตระหง่านดั่งภูเขาที่สูงใหญ่สองลูก
สองบุรุษเสือสิงห์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์แต่อย่างใด แต่เป็นเผ่าพันธุ์มาร วินาทีนี้พวกเขาได้กลายร่างเป็นร่างดั้งเดิม แล้วปลดปล่อยพลังสายเลือดเผ่าพันธุ์มารออกมา
สิงโตเสือกระโจนเข้ามาสังหาร พลังโจมตีอันไร้ขอบเขตได้ผนึกฟ้าดินเอาไว้ จักทำการฉีกกระชากมังกรยักษ์ตรีภพให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เองก็มีออร่าสายเลือดที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมา มีเปลวไฟสีทองแย้มบานออกมาจากตัวยักษ์ตรีภพ เลือดปราณพุ่งทยานขึ้นฟ้า
“พลังสายเลือด? นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”
สิงโตและมังกรที่ดุดันพูดภาษามนุษย์ ต่างตะลึงมากจนหน้าถอดสี น้ำเสียงดูตะลึงงัน
อย่างที่ทุกคนทราบกัน มีเพียงเผ่าพันธุ์มารเท่านั้นที่มีสายเลือดแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิด เพราะฉะนั้นเผ่าพันธุ์มารแทบจะฝึกพลังสายเลือดกันหมดเลย เมื่อใช้พลังสายเลือดควบคู่กับกฎและเกณฑ์ทั้งปวงในโลกหล้า อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดีเป็นพิเศษ ศักยภาพจึงอยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่ในแดนเดียวกัน
แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์คนหนึ่ง จักมีทางมีเลือดปราณและสายเลือดที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?
หลัวซิวคุ้นเคยกับวิถีสายเลือดของเผ่าพันธุ์มารตั้งนานแล้ว หลังจากริเริ่มวิถีไร้ลักษณ์ วิถีสายเลือดก็อยู่ในสรรพวิชาเช่นกัน จึงสามารถวิวัฒนาการออกมาได้ด้วย มิหนำซ้ำร่างเนื้อของเขาเกะกะระราน ชีวีดั้งเดิมมากล้น พลังสายเลือดจึงมากมายมหาศาลเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ อันที่จริงเขามีพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธุ์มารส่วนมากเสียอีก
อั่ก!
เลือดสีแดงสดสาดกระเด็น ศีรษะที่ใหญ่ปานภูเขาลูกหนึ่งลอยขึ้น ก่อนจะกระแทกลงพื้นจนเสียงดังปั้ง สิงห์เดือดหนึ่งในสองบุรุษเสือสิงห์ได้ดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว!
ภายในระยะเวลาไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น เจ้าจวนกู่หยุนและสิงห์เดือดก็ตายคาที่ นี่จึงทำให้เปียนหยวนจี๋ที่รู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมในตอนแรกหวาดผวาถึงขีดสุด!
เขาจึงบินหนีออกไปอย่างไม่ลังเลใจ เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นอกเสียจากว่าเฮียเขาออกจากการปิดขัง อีกทั้งผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับแปด มิเช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานหลัวซิวคนนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขายังไม่ทันได้หลบหนีออกไปจากเมืองหวูซิน กำปั้นข้างหนึ่งก็ปรากฏกลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า แล้วพุ่งตรงเข้ามาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น และมาถึงตรงหน้าเปียนหยวนจี๋ภายในชั่วพริบตาเดียว จิตสังหารและปณิธานรบที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้โจมตีตัวธรรมของเขา ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วร่างกาย
หมัดจ้านเทียน!
ซึ่งพลังอมตะนี้ถือกำเนิดจากครั้นเมื่อผู้แข็งแกร่งแห่งยุคปะทะปราบปรามสวรรค์ เมื่อกระตุ้นโดยร่างเนื้อร่างยุทธ์ที่เกะกะระราน จะทำให้ความลี้ลับและความล้ำลึกทั้งปวงของพลังอมตะนี้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างหมดเปลือก พลานุภาพทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ในฐานะที่เป็นรองเจ้าเมืองเมืองหวูซิน และมีเฮียที่มีผลการฝึกตนสูงที่สุดในพสุดาราหวูซิน ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เปียนหยวนจี๋ดื่มด่ำอยู่กับชีวิตและตำแหน่งที่งดงามอย่างยิ่ง เขาขบคิดหาวิธีทุกรูปแบบหนทางฉวยโอกาสที่เฮียกำลังปิดขัง เล่นสนุกกับคู่ครองของเฮีย ยังดื่มด่ำกับชีวิตที่งดงามเช่นนี้ไม่เต็มที่เลย เขาจักมีทางตายไปตอนนี้ได้อย่างไร?
เปียนหยวนจี๋ตะคอกเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง ผลการฝึกตนทั้งหมดระเบิดออก ทว่ากลับไม่สามารถหลุดพ้นจากการผนึกของจิตสังหารและปณิธานรบได้เลยด้วยซ้ำ ปริภูมิและเกณฑ์ที่อยู่รอบกายเขาล้วนถูกฝ่ายตรงข้ามควบคุม ร่างกายเขาขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้เขาจะมีอุบายไพ่เด็ดในการรักษาชีวิตตัวเองไว้ แต่เวลานี้เขากลับไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้เลยด้วยซ้ำ
“หลัวซิว ถ้าเกิดมึงกล้าฆ่ากู เฮียกูจะทำให้มึงได้ตายอย่างสิ้นซากแน่นอน!”ใบหน้าของเปียนหยวนจี๋ที่หมดหนทางปัญญาดูดุร้าย ทำได้เพียงใช้วิธีการประเภทนี้ หวังว่าจะสามารถรักษาชีวิตตัวเองได้