มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2676 สังหารหลู่ปู้เหว่ย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2676 สังหารหลู่ปู้เหว่ย
ทันทีที่หลู่ปู้เหว่ยพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ทุกคนในภูเขาว่านเริ่นหันมองเขาด้วยความโกรธทันที
“ดูเหมือนว่าจักรพรรดิสวรรค์เทวพยัคฆ์จะไม่ได้มาเข้าร่วมพิธี แต่มาเพื่อหาเรื่องอย่างนั้นหรือ ?”
สีหน้าของลวี่โหลวเองก็ฉาบไปด้วยน้ำค้างแข็ง นางหันมองหลัวซิวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หลังจากเห็นหลัวซิวพยักหน้าแล้ว แรงอาฆาตที่รุนแรง ก็พุ่งตรงออกมาจากดวงตาคู่งามของนางทันที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้จักรพรรดิสวรรค์เทวพยัคฆ์ก็คงไม่ต้องกลับไปอีกแล้ว !”
ในขณะที่พูดเช่นนี้ ลวี่โหลวก็ลงมือทันที นางยกมือแล้วแทงออกไปทันที ปราณกระบี่ทำงาน ทำลายทั้งภูเขาและแม่น้ำจนไร้สีสัน !
“ไม่ยอมใช้อาวุธเทพขั้นเก้า อาศัยเพียงเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอกนะ”
หลู่ปู้เหว่ยส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ ส่งวิชาตราประทับออกไปจากมือทั้งสองข้าง ราวกับเขาเทวลูกใหญ่ที่กดทับลงมา
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ถึงแม้วิชาตราประทับของหลู่ปู้เหว่ยจะรับมือปราณกระบี่ได้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงเลือดปราณภายในร่างกายที่สั่นสะเทือนไม่รู้จบ และแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
เทพมารระดับแปดขั้นสูงและขั้นกลางนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ความสามารถระดับลวี่โหลว สามารถเอาชนะเทพมารระดับแปดช่วงปลายอย่างเจ้าสำนักมังกรฟ้าได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงแล้ว แต่นี่ กลับสามารถต่อกรกับตนเองซึ่งเป็นถึงเทพมารระดับแปดขั้นสูง ความสามารถของนางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
ถึงแม้จะอยู่ในแดนเทพมารระดับแปดเช่นเดียวกัน แต่หลู่ปู้เหว่ยก็รู้ดีว่าลวี่โหลวประมุขเขาผู้นี้อายุยังน้อย ระยะเวลาในการฝึกตนยังไม่ถึงครั้งหนึ่งของตนเองด้วยซ้ำ ถ้าหากอายุเพียงเท่านี้ก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว วันหน้าอาจเป็นที่หนึ่งในแดนเทพมารระดับเก้าก็เป็นได้ ?
ลวี่โหลวไม่ได้ใช้พลังของหอคอยเทพนิรยวิภา แต่กลับอาศัยความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของตนเอง ในการต่อสู้กลางอากาศกับหลู่ปู้เหว่ยกว่าสิบกระบวนท่า ทั้งสองต่างกันถึงสองแดนเล็ก แต่กลับต่อสู้กันอย่างสูสี
“วิชาขั้นจักรพรรดิเทพระดับเก้า ?”
แววตาของหลู่ปู้เหว่ยเป็นประกาย ในสถานการณ์ที่มีผลการฝึกตนเป็นรองตนเองอยู่ถึงสองแดน แต่ยังสามารถประมือกับตนเองได้เช่นนี้ ก็พอจะทำให้มองออกแล้วว่า ระดับวิชาที่ลวี่โหลวฝึกตนนั้น สูงกว่าตนเองอย่างมากแน่นอน
ต่อให้เป็นวิชาขั้นมกุฎเทพระดับเก้า ก็ไม่มีทางมีผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า น่าจะเป็นวิชาขั้นจักรพรรดิเทพระดับเก้าแล้ว !
วิชาในระดับนี้ อย่าว่าแต่สำนักเซียนต้าโหลวของพวกเขาเลย แม้แต่ผู้สืบทอดในระดับแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากก็ยังไม่มี !
ในบรรดาศิษย์จำนวนมากของภูเขาว่านเริ่น หลัวซิวยืนอยู่ด้านหน้าสุด เขาเงยหน้ามองการต่อสู้บนท้องฟ้าอย่างสงบ และเกิดคำถามขึ้นว่า คนอย่างหลู่ปู้เหว่ยคุ้มค่าแก่การมองหรือ
วิชาที่เขาถ่ายทอดให้กับลวี่โหลว ไม่ใช่วิชาขั้นจักรพรรดิเทพระดับเก้าเท่านั้น แต่เป็นวิชาขั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ที่เหมาะสมกับพรสวรรค์ส่วนตัวของนางมากที่สุดต่างหาก !
อย่าว่าแต่วิชาขั้นมหาจักรพรรดิยุทธิ์ระดับเก้าเลย ต่อให้เป็นวิชาขั้นผู้สูงส่ง หลัวซิวเองก็มี นั่นคือวิชาที่เขาใช้ฝึกตนในภพไท่ซ่างฉิงก่อนหน้า
เพียงแต่ ของประเภทวิชาพลังอมตะ ใช่ว่ายิ่งแข็งแกร่งจะยิ่งดี แต่ต้องเหมาะสมกับตนเองต่างหาก จึงจะดีที่สุด
วิชาที่เขาฝึกในชาติก่อนไม่เหมาะสมกับลวี่โหลว มิเช่นนั้นเขาคงถ่ายทอดให้นานแล้ว ส่วนคนที่เหมาะจะฝึกวิชาในชาติก่อนนั้น ข้างกายของเขามีเพียงแค่คนเดียวก็คือหลี่ยู่ !
หลี่ยู่และเย่ห้าวหรานเรียกได้ว่าเป็นชาติภพหนึ่งของเขา แต่ก็ไม่นับว่าใช่ เพราะคนในทั้งสองภพนี้ เมิ่งเชียนชางจงใจจัดวางเอาไว้ เพื่อให้เศษวิญญาณที่เหลืออยู่ของเขา วนเวียนในวัฏจักรเพื่อล้างความทรงจำและเหตุผลต่าง ๆ ในภพไท่ซ่างฉิง
ถือได้ว่าหลัวซิวฝากความหวังครั้งใหญ่ไว้กับหลี่ยู่ ในชาติไท่ซ่างฉิง เขาไม่อาจบรรลุจุดสูงสุดของโลกยุทธ์ได้ ไม่แน่ว่าในชาตินี้ อาจอาศัยหลี่ยู่เพื่อก้าวเดินไปถึงแดนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้
การต่อสู้กลางอากาศเข้มข้นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านตัวสำนึกวิญญาณ หรือด้านการกลั่นร่างเนื้อ ลวี่โหลวก็ไม่แสดงความบกพร่องและจุดอ่อนออกมาแม้แต่น้อย หลังจากการต่อสู้ดำนินไปอย่างยาวนาน กลับกลายเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงกว่าอย่างหลู่ปู้เหว่ยที่เริ่มตกเป็นรอง และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อย ๆ ก้าวไปสู้ความแพ้พ่าย
สิ่งนี้ทำให้หลู่ปู้เหว่ยตกใจจนหน้าถอดสี สีหน้าของเขาดูย่ำแย่เหลือประมาณ เขาก้าวถอยหลังไปทันที และตะโกนออกมาอย่างเย็นชาว่า : “ให้ข้าได้เห็นมรดกของภูเขาว่านเริ่นของพวกเจ้าหน่อยเถิด !”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น หลู่ปู้เหว่ยก็เสกกล่องสมบัติออกมาหนึ่งกล่อง ในกล่องสมบัติมีแสงเทวเคลื่อนไหวเข้าออก มีมือขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากด้านใน และระเบิดพลานุภาพอันกว้างใหญ่ที่แข็งแกร่งจนยากจะเปรียบได้
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปดอย่างลวี่โหลว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลานุภาพอันกว้างใหญ่เช่นนี้ ก็ต้องรู้สึกกดดันเช่นกัน ราวกับมีภูเขาสูงเสียดฟ้ามากดทับอยู่ที่หัวใจ จนทำให้นางรู้สึกอยากกระอักเลือดออกมา
“มรดก ! สำนักเซียนต้าโหลวก็อัญเชิญมรดกออกมาแล้ว !”
คนของกองกำลังต่าง ๆ ที่เดินทางมาภูเขาว่านเริ่นเพื่อร่วมพิธี ต่างค่อย ๆ ถอยหนีออกไป ไม่มีใครกล้าอยู่ในภูเขาว่านเริ่นต่ออีก สำนักเซียนต้าโหลวถึงขนาดอัญเชิญมรดกออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการต่อสู้กับภูเขาว่านเริ่นให้รู้แพ้รู้ชนะ พวกเขาจึงไม่อยากพลอยติดร่างแหไปด้วย
สิ่งที่เรียกว่ามรดก ก็คือวิธีการที่สำนักตระกูลใช้ปกป้องผู้สืบทอด อย่างเช่นอาจารย์ปู่ในระดับเทพมารระดับเก้า ก็ถือเป็นมรดกอย่างหนึ่ง สมบัติอาวุธเทพระดับเก้าเอง ก็ถือเป็นมรดก !
นี่คือกล่อมสมบัติ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติอาวุธเทพระดับเก้าชิ้นหนึ่ง หลู่ปู้เหว่ยกล้ามาที่ภูเขาว่านเริ่นตามลำพัง ย่อมเตรียมวิธีรับมือกับหอคอยเทพนิรยวิภาเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว
เมื่อมีกล่อมสมบัตินี้มาช่วยสกัดหอคอยเทพนิรยวิภา อาศัยผลการฝึดตนที่แข็งแกร่งกว่าลวี่โหลวถึงสองแดน ย่อมปราบปรามภูเขาว่านเริ่นได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ สิ่งที่หลู่ปู้เหว่ยและสำนักเซียวต้าโหลวที่คอยหนุนหลังเขาอยู่ไม่รู้ก็คือ ถึงแม้ผลการฝึกตนของลวี่โหลวจะด้อยกว่าเขา แต่ความสามารถกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิด ถึงขั้นว่าอาจเหนือกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ
“ก็แค่อาวุธเทพระดับเก้ากระจอก ๆ เท่านั้น” หลัวซิวไม่คิดเช่นนั้น ความสามารถของลวี่โหลวแข็งแกร่งกว่าหลู่ปู้เหว่ยเล็กน้อย ซ้ำหอคอยเทพนิรยวิภายังเป็นถึงอาวุธเทพระดับเก้า หลู่ปู้เหว่ยกล้ามาอวดเบ่งที่ภูเขาว่านเริ่นเช่นนี้ เท่ากับมารนหาที่ตายชัด ๆ
“เปรี้ยง !”
ลวี่โหลวร่ายวิชา หอคอยเทวที่ลอยอยู่เหนือภูเขาว่านเริ่น ก็เปล่งรัศมีเทวออกมารัศมีเทวพุ่งตรงออกมาทีละเส้น ๆ และกลายเป็นปราณกระบี่ ฟาดไปยังมือใหญ่ที่ยื่นออกมาจากกล่องสมบัติ
ชิ้ง ! ชิ้ง ! ชิ้ง !……
เมื่อปราณกระบี่ตัดเข้าไปที่มือใหญ่ ก็เกิดประกายไฟออกมา ถึงแม้ไม่อาจตัดมือใหญ่จนกลายเป็นผุยผงได้ แต่ก็ระงับการเคลื่อนไหวของมือใหญ่ได้ และทำให้มันไม่สามารถตกลงมาบนภูเขาว่านเริ่นได้
“เรื่องในวันนี้ สำนักเซียนต้าโหลวของเรา ไม่ยอมปล่อยให้จบลงง่าย ๆ อย่างแน่นอน !”
เมื่อเห็นว่าไม่อาจทำอะไรได้อีก หลู่ปู้เหว่ยจึงตัดสินใจแน่วแน่ พูดคำขู่ทิ้งท้ายเอาไว้ เก็บกล่องสมบัติ และหันหลังหนีไปทันที
ภารกิจของเขาในครั้งนี้ หากสามารถกำจัดภูเขาว่านเริ่นได้ก็ย่อมเป็นการดี แต่หากไม่อาจจัดการได้ ก็นำสมบัติที่อาจารย์ปู่ให้มาหนีกลับไป อันที่จริงแล้ว จุดประสงค์ของเขาก็คือ ต้องการมาหยั่งเชิงดูว่า ภูเขาว่านเริ่นยังมีมรดกที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกหรือไม่
“คิดว่าภูเขาว่านเริ่นของเราเป็นอะไร ? เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้อย่างนั้นหรือ ?”
ตอนนี้เอง มีเสียงเย้ยหยันดังขึ้นมาจากในภูเขาว่านเริ่นอย่างกะทันหัน จากนั้น โดยรอบของภูเขาว่านเริ่นก็ปรากฏหมอกควันฟุ้งกระจาย ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและบดบังแสงอาทิตย์
ทันใดนั้นเอง สายตานับไปถ้วนก็จับจ้องไปยังทิศทางที่มีเสียงดังขึ้นมา กลับพบว่าคำพูดนี้ไม่ได้ดังมาจากปากของประมุขเขาลวี่โหลว และไม่ใช่ธิดาเทพหงเหยียน ยิ่งไม่ใช่ผู้อาวุโสใหญ่ แต่เป็นศิษย์วัยหนุ่มคนหนึ่ง
คนจำนวนมากจากกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ล้วนไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือใคร แต่บรรดาศิษย์ในภูเขาว่านเริ่นกลับรู้ดี คนผู้นี้คือศิษย์ใจกลางที่เพิ่งเข้ามาใหม่ และได้รับความสนใจอย่างยิ่งในช่วงนี้ หลัวซิว !
แต่สิ่งที่ทำให้บรรดาศิษย์จำนวนมากของภูเขาว่านเริ่นยิ่งงุนงงก็คือ ตอนนี้ในมือของหลัวซิวกุมพลังตราประทับอยู่ หมอกควันรอบข้างภูเขาว่านเริ่นฟุ้งตลบอบอวล ค่ายกลใหญ่ที่ปกป้องสำนักเขาถูกเปิดใช้งานขึ้นมาแล้วจริงหรือ ?
“เป็นไปได้อย่างไร ?”
ผู้คุมกฎจำนวนไม่น้อยล้วนหน้าถอดสี ศิษย์ธรรมดา ๆ คงไม่รู้ แต่ในฐานะที่เป็นผู้คุมกฎย่อมรู้ดี ค่ายกลป้องกันใหญ่ภูเขาว่านเริ่นนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง มีเพียงอดีตประมุขเขากับผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น ที่จะรู้วิธีและเคล็ดวิชาในการควบคุมค่ายกล
ศิษย์ใจกลางที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนหนึ่ง กลับได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่สำคัญเช่นนี้หรือ ?
อีกทั้งหลัวซิวผู้นี้ มีผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับห้าเท่านั้น เขาอาศัยอะไรมาควบคุมและใช้งานค่ายกลป้องกันใหญ่ ที่อยู่ถึงในระดับเทพระดับแปด ?
แม้แต่ลวี่โหลวเองก็ตกตะลึง นางจำไม่ได้ว่าตนเองเคยถ่ายทอดเคล็ดวิชาค่ายกลป้องกันใหญ่ให้กับท่านนายตั้งแต่เมื่อไร
แต่ไม่ช้า คนฉลาดอย่างนานก็นึกถึงเรื่องระดับวิถีค่ายของท่านนาย ที่หงเหยียนผู้เป็นน้องสาวเคยพูดถึงได้ ก็รู้สึกตกตะลึงในใจอย่างยิ่ง
ถึงแม้จะมีความทรงจำของชาติก่อน การใช้ผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับห้า มาใช้ควบคุมค่ายกลระดับเทพระดับแปด ก็นับเป็นการเคลื่อนไหวที่น่ากลัวอย่างยิ่งแล้ว
ตามหลักเหตุผลแล้ว ผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับห้า ไม่มีทางควบคุมค่ายกลที่มีความแข็งแกร่งอยู่เหนือตนเองมากเกินไป
ต่อให้เป็นหลัวซิว ด้วยผลการฝึกตนในตอนนี้ สามารถตั้งค่ายกลในระดับเทพระดับเจ็ดออกมาได้เท่านั้น หากคิดจะตั้งค่ายกลระดับเทพระดับแปด ยังนับว่าห่างไกลนัก
แต่การตั้งค่ายกลกับการใช้ค่ายกลนั้นเป็นคนละเรื่องกัน การตั้งค่ายกลต้องสลักลายค่าย หลัวซิวไม่อาจสลักลายค่ายในระดับเทพระดับแปดออกมาได้ แต่หากต้องการปลุกลายค่าย ขับเคลื่อนการโคจรของค่ายกล สำหรับเขาแล้วนับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
อย่าว่าแต่ค่ายกลระดับเทพระดับแปดเลย ตราบใดที่เข้าใจหลักการทำงานของค่ายกลนั้น ๆ อย่างชัดเจน ต่อให้เป็นค่ายกลระดับเทพระดับเก้า หลัวซิวก็มั่นใจว่าจะเปิดใช้งานได้
เมื่อปลุกค่ายกลขึ้นมา ภูเขาว่านเริ่นก็ถูกปิดผนึก ต่อให้หลู่ปู้เหว่ยจะมีสมบัติอาวุธเทพระดับเก้าอยู่ในมือ ภายในระยัเวลาอันสั้นนี้ ก็อย่าคิดว่าจะทำลายค่ายกลที่ปิดผนึกอยู่ และหนีขึ้นท้องฟ้าไปได้
เปรี้ยง……
ลวี่โหลวโคจรผลการฝึกตนอย่างสุดกำลัง เพื่อขับเคลื่อนหอคอยเทพนิรยวิภา ให้กดทับไปที่หลู่ปู้เหว่ย
“พวกเจ้าอย่าบีบให้คนจนตรอกนัก ! ถึงแม้วันน้พวกเจ้าจะเอาชีวิตของข้าได้ แต่ถ้าหากข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ก็สามารถทำให้ภูเขาว่านเริ่นของเจ้าราบเป็นหน้ากลองได้อย่างแน่นอน !” หลู่ปู้เหว่ยพูดขึ้นพลางจ้องข่มขู่
“เจ้ายกย่องตนเองมากเกินไปแล้ว เจ้าไม่มีโอกาสเลยเสียด้วยซ้ำ”
หลัวซิวหัวเราะเยาะ วิชาค่ายในมือเปลี่ยนไปทันที หมอกควันจำนวนมหาศาลพุ่งตรงไปปกคลุมสนามต่อสู้ระหว่างลวี่โหลวและหลู่ปู้เหว่ย
เมื่อมีหมอกควันของค่ายกลปกคลุมอยู่ คนที่อยู่ด้านนอก จึงไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ภายในได้ ถึงขั้นว่า ไม่อาจสัมผัสถึงคลื่นพลังงานออร่าได้เลยแม้แต่น้อย
และในตอนนี้เอง หลัวซิวใช้ตัวสำนึกในการสื่อสารกับลวี่โหลว ลวี่โหลวเข้าใจทุกอย่างในทันที ตราเขามังกรที่ซ่อนอยู่ในจุดตันเถียนขอนางค่อย ๆ สั่นไหว ราวกับว่าอสูรโหดโบราณกำลังจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา !
ผ่านไปสักพัก ภูเขาว่านเริ่นที่ถูกปกคลุมอยูก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หมอกควันทั้งหมดจางหาย ค่ายกลใหญ่ป้องกันเองก็กลับสู่ภาวะสงบ
สายตานับไม่ถ้วนต่างจับจ้องขึ้นไปด้านบน มีเพียงประมุขเขาลวี่โหลวที่ถือหอคอยเทวอยู่ ส่วนร่างของหลู่ปู้เหว่ยกลับหายสาบสูญไปจนไม่เหลือซาก
พลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่กว้างใหญ่จนยากจะคาดเดา แผ่ขยายไปทั่วฟ้าดิน ไม่มีใครรู้ว่าหลู่ปู้เหว่ยหายไปได้อย่างไร แต่ในมือของลวี่โหลว กลับมีกล่องที่ส่องประกายระยิบระยับเพิ่มขึ้นมาหนึ่งใบ ซึ่งนั่นก็คือสมบัติอาวุธเทพระดับเก้า ที่หลู่ปู้เหว่ยครอบครองอยู่ก่อนหน้านี้ !
……
“ฉึบ !”
ในขณะที่หลู่ปู้เหว่ยถูกสังหาร ม้วนหยกวิญญาณชีวีที่เป็นของเขา ก็แตกสลายอยู่ในสำนักเซียนต้าโหลว
ผู้ที่มีหน้าที่เฝ้าตำหนักวิญญาณชีวีตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และเดินถือม้วนหยกวิญญาณชีวีที่แตกสลายมายังวิหารเจ้าสำนัก“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ?”
สีหน้าของเจ้าสำนักต้าโหลวดูแย่ขึ้นไปถนัดตา ผู้ที่อยู่ในสำนักและมีระดับผู้อาวุโสขึ้นไป ล้วนมีม้วนหยกวิญญาณชีวี อีกทั้งม้วนหยกวิญญาณชีวีเหล่านี้ ล้วนกลั่นมาจากเคล็ดวิชาพิเศษ ตอนที่ถูกสังหาร จะสามารถส่งภาพจำบางส่วนกลับมาได้ และจะปรากฏผ่านม้วนหยกที่แตกหัก
แต่หลังจากเจ้าสำนักต้าโหลวใช้เคล็ดวิชา กลับมองไม่เห็นภาพจำใด ๆ แม้แต่น้อย สถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือตอนที่หลู่ปู้เหว่ยถูกสังหาร เขาไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะใช้เคล็ดวิชาส่งภาพจำกลับมาเสียด้วยซ้ำ !
หลู่ปู้เหว่ยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับแปดขั้นสูง และมีสมบัติอาวุธเทพระดับเก้าอยู่ในมือ เป็นไปได้อย่างไรว่า ในภูเขาว่านเริ่นจะมีคนที่สามารถสังหารเขาได้อย่างหมดจดเช่นนี้ ?
สีหน้าของเจ้าสำนักต้าโหลวค่อย ๆ เคร่งเครียดขึ้น จู่ ๆ เขาก็รู้ว่าเรื่องของภูเขาว่านเริ่น อยู่เหนือการควบคุมของเขา เริ่มจากสำนักมังกรฟ้าถูกกวาดล้าง ตามมาด้วยหลู่ปู้เหว่ยถูกสังหาร ดูเหมือนว่าภูเขาว่านเริ่นจะมีความลับอยู่มากมาย ที่สำนักต้าโหลวล้วนยากจะเข้าใจได้ !
“ศิษย์ผู้น้อยหลัวซ่างหวงขอเข้าพบอาจารย์ปู่รุ่นสามขอรับ !”
ไม่นานนัก เจ้าสำนักต้าโหลวก็เข้าไปในสถานบรรพบุรุษ เรื่องของภูเขาว่านเริ่นช่างแปลกประหลาดมาก เขาจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องให้บรรพอาจารย์ช่วยตัดสินใจ