มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2572
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2572
จากคำบอกเล่าของลู่จื่อโม่ หลัวซิวทราบมาว่าตระกูลลู่เสื่อมทรุดลงไปแล้วจริง ๆ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งในตระกูลที่มีชีวิตรอดมาได้ และสืบพันธุ์ถ่ายทอดสืบสานต่อไปเรื่อย ๆ ภายในตระกูลก็มีมกุฎเทพบังเกิดสามคนเช่นกัน หวังว่าสักวันจะสามารถนำพาตระกูลเดินไปสู่เส้นทางที่รุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามสวี่จงหยิงกลับทราบความเป็นมาของตระกูลลู่ เขาได้ยินว่าเมื่อก่อนตระกูลลู่เคยมีวรยุทธ์หนึ่ง ถึงแม้จะไม่สามารถฝึกถึงแดนจักรพรรดิเทพ ทว่ามันกลับประณีตสวยวิจิตรกว่าวรยุทธ์จักรพรรดิเทพส่วนมากเยอะมาก ๆ ดังนั้นเขาจึงบุกฆ่าเข้าไปในตระกูลลู่ แก่งแย่งวรยุทธ์
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดนี้ จิตสังหารในแววตาก็เข้มงวดมาก ยกมือขึ้นมาชี้ครั้งหนึ่ง อัคคีเทพดวงหนึ่งก็ร่วงลงบนตัวสวี่จงหยิง ทำการแผดเผาเขาจนว่างเปล่าไปภายในพริบตา ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้กรีดร้อง
ลู่จื่อโม่สะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้ เขารู้อยู่ว่าสวี่จงหยิงคือจ้าวมหาเทพคนหนึ่ง แต่คนดังกล่าวกลับสามารถสังหารจ้าวมหาเทพได้อย่างง่ายดาย แสดงว่าเขาต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่แข็งแกร่งมากจนตนไม่อาจจินตนาการได้แน่นอน
สายตาของหลัวซิวกวาดมองบริเวณรอบ ๆ ภาพเหตุการณ์ที่สวี่จงหยิงถูกสังหารทำให้ทุกคนช็อกไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ทุกคนที่อยากมามุงดูความสนุกในตอนแรกต่างพากันถอยหลังหลบเลี่ยง เกรงว่าจะเป็นการหาเหาใส่หัว
“เจ้าตามข้ามา ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พูดคุยกัน”
หลัวซิวเห็นว่าในตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีโรงน้ำชาร้านหนึ่ง จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าเดินไปทางโรงน้ำชาโดยตรง
ลู่จื่อโม่สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง เขารู้อยู่ว่าตัวเองไม่มีทางหนีไปได้ ปัจจุบันจึงทำได้เพียงรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ไปตามสถานการณ์ ดังนั้นจึงกลั้นใจเดินตามหลัวซิวไป
คนจำนวนมากได้มองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนใหญ่ในเมื่อครู่นี้แล้ว จ้าวมหาเทพคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองแปลงมังกรถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่หาพบได้น้อยมาก เพราะฉะนั้นเมื่อพวกหลัวซิวมาถึงโรงน้ำชา เจ้าของโรงน้ำชาจึงเดินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง อีกทั้งจัดแจงห้องพิเศษที่ดีที่สุดให้แก่พวกเขาด้วย
ภายในห้องพิเศษ ลาร์และดูดจิตยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิว ภายใต้การบอกใบ้ด้วยแววตาของเขา ลู่จื่อโม่จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา
ชาเทวที่สามารถทำให้คนสัมผัสได้ถึงพลังเต๋าถูกยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลู่จื่อโม่นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะเลี้ยงน้ำชาตัวเอง อีกทั้งยังเป็นชาเทวที่ระดับสูงส่งเช่นนี้ด้วย ต้องท้าวความก่อนว่าแม้นชาเทวประเภทนี้จะเป็นเพียงแก้วเล็ก ๆ แก้วเดียว นั่นก็เป็นของดีที่สามารถทำให้คนตระหนักกฎพลังเต๋าได้เชียวนะ แก้วเทวหมื่นชิ้นยังซื้อไม่ได้เลย
“เจ้าไม่ต้องประหม่า จะว่าไปข้าก็มีวาสนาต่อตระกูลลู่ของเจ้าอยู่บ้างเช่นกัน”
หลัวซิวจิบชาอึกหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง: “เมื่อปีนั้นครั้นเมื่อข้าอยู่ในโลกามนุษย์ เคยเข้าไปในดาราดวงหนึ่ง และได้รับการสืบสานของจ้าวมหาเทพแสงดาวจากที่นั่น”
“ว่าอย่างไรนะ? ท่านผู้อาวุโสเคยได้รับการสืบสานของบรรพอาจารย์แสงดาวอย่างนั้นหรือ?”ลู่จื่อโม่เบิกตากว้างกะทันหัน ตั้งแต่ตระกูลลู่ประสบหายนะเป็นต้นมา บรรพอาจารย์ทั้งสามท่านก็หายตัวไปด้วย การสืบสานขั้นสุดยอดของตระกูลก็ขาดการสืบสานเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าข้ามีความจำเป็นต้องเอาเรื่องประเภทนี้มาโกหกเจ้าด้วยหรือ? บางทีผู้อื่นอาจจะมุ่งหวังของในตระกูลลู่ของเจ้า ทว่าสำหรับข้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์ในตระกูลลู่ของพวกเจ้าก็ดี สมบัติก็ช่าง ยังไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้ข้าหวั่นไหวได้จริง ๆ”หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เหตุใดข้าจึงต้องเชื่อท่านด้วย?”แม้นลู่จื่อโม่จะรู้สึกตะลึงตื่นเต้น แต่กลับยังคงระแวดระวังมาก เมื่อไม่นานมานี้ตระกูลลู่เพิ่งประสบกับหายนะครั้งหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเขาเป็นคนสุดท้ายของตระกูลลู่ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่
“เจ้าหนู เจ้าทราบหรือไม่ว่านายท่านของข้าคือผู้ใด? มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิยังต้องเรียกนายท่านว่าสหาย จากตัวตนของนายท่าน หากไม่ใช่เพราะวาสนาบางอย่าง ท่านจักใส่ใจตระกูลลู่เล็ก ๆ ของพวกเจ้าได้อย่างไร?”ดูดจิตเบ้ปากพลางพูดอยู่ด้านหลัง
ลู่จื่อโม่ที่ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี เนื่องจากเขาดูออกอยู่ว่าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนี้น่าจะยังหนุ่มมาก ๆ บางทีอาจจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนเอง มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมินั่นคือคนประเภทใด? ผู้ที่สามารถทำให้เขาเรียกว่าสหายได้นั้น ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แน่นอนถึงจะทำถึงขั้นนั้นได้
“บางทีเจ้าอาจจะเคยได้ยินชื่อข้ามาก่อน ข้ามีนามว่าหลัวซิว”เพื่อเป็นการทำลายความระแวดระวังและความไม่เชื่อใจของลู่จื่อโม่ที่มีต่อตนเอง หลัวซิวจึงบอกความเป็นมาของตนออกมา