มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2544
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2544
“เจ้าไส้เดือน เจ้าคือสัตว์ที่ใช้ขี่ในภพชาตินี้ของนายท่านหรือ? อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง หากอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนายท่าน อย่างน้อยเจ้าก็ต้องแข็งแกร่งกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าสิ”คาดิสลาร์แสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันอันเฉียบคมที่เต็มปาก
ดูดจิตตกใจจนสะดุ้ง จากความทรงจำของสายเลือดที่สืบสานมา เขาเข้าใจความโหดร้ายและน่ากลัวของยักษ์ดีมาก ๆ เลยล่ะ ถ้าเกิดเจ้าหมอนี่จะกินมันละก็ เกรงว่ามันคงไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะต่อต้านได้
“ลาร์ อย่าข่มผู้น้อย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วศักยภาพของดูดจิตมีแต่จะสูงกว่าเจ้า หลังจากกาลเวลาผ่านพ้นไปยาวนานอย่างไม่รู้จบ เจ้าอาจจะยังคงเป็นเทพมารระดับเจ็ดอยู่อีกเช่นเคย แต่ดูดจิตอาจจะกลายเป็นเทพมารระดับแปดก็เป็นได้ ถึงครานั้นระวังเขาย้อนกลับมารังแกเจ้าล่ะ”หลัวซิวยิ้มพลางพูด
ตั้งแต่ความทรงจำเมื่อชาติปางก่อนถูกปลุกตื่น สามารถพูดได้เลยว่าลาร์เป็นสหายเก่าคนที่สองเมื่อชาติปางก่อนที่เขาพบเจอ หนึ่งยุคตรีภพที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าสหายเก่าในอดีตยังมีชีวิตอยู่กี่อีกคน เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าแผนการที่เขาจัดวางไว้ในโลกมหาศักดิ์เมื่อปีก่อน มีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่……
“ทุกอย่างคงต้องคอยข้ากลับไปเยือนโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดอีกครั้ง ถึงจะทราบได้แล้วล่ะ”รูม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย เขาต้องไปโลกมหาศักดิ์แน่นอน ทว่ายังไม่ใช่เวลานี้
……
สรรพมหาโลกาอยู่ใกล้กับยอดอัมพรมากที่สุด เพราะฉะนั้นสถานีแรกที่หลัวซิวมาถึงก็คือสรรพดารา
ตระกูลมู่เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียวบนดาราดวงนี้ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลมู่ได้กวาดล้างเหล่าสำนักตระกูลที่ปรปักษ์ไปเยอะมาก กองกำลังทั้งหลายในห้วงดาราสรรพมหาโลกาต่างยึดตระกูลมู่เป็นเจ้า ปฏิบัติตามคำสั่งของตระกูลมู่
ถึงแม้ยังไม่ถึงขั้นรวบรวมกองกำลังทั้งหมดให้เป็นอันหนึ่งเดียวกัน แต่การที่ตระกูลมู่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้นั้น ก็แทบจะเป็นการทำให้ทั้งห้วงดาราเป็นเอกภาพแล้ว ซึ่งนายท่านตระกูลมู่ก็ถูกเรียกว่าประมุขแห่งสรรพสิ่งเช่นกัน
ตำแหน่งของตระกูลมู่น่าเคารพเลื่อมใส มีการก่อสร้างพระราชวังตำหนักที่นับไม่ถ้วนในเขตพื้นที่บริเวณโดยรอบนับล้านไมล์ ซึ่งที่นี่ก็คือฐานที่มั่นของตระกูลมู่ และเป็นสถานบรรพบุรุษที่เป็นบ่อเกิดตระกูลมู่เช่นกัน
“สมกับที่เป็นตระกูลมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสุดยอดในมหาโลกาพันสามเสียจริง สถานการณ์ในสถานบรรพบุรุษของตระกูลมู่นี่ดีเลิศกว่าหอยอดอัมพรเมื่อปีนั้นมากเลยนะ”
เมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ เขาก็เบิ่งมองออกไปไกล ๆ ทั้งสถานบรรพบุรุษของตระกูลมู่ถูกปกคลุมอยู่ในมหาค่ายคุ้มกันมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับห้า ถึงแม้ระดับของค่ายกลเหล่านี้จะบรรลุไม่ถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับหกก็ตาม ทว่าอาศัยจำนวนค่ายกล หากกระตุ้นความสามารถในทุก ๆ ด้านของค่ายกล ก็สามารถต้านทานการโจมตีของมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้เช่นกัน
ซึ่งนี่ก็คือสภาพภูมิฐานของตระกูลมหาจักรพรรดิยุทธ์ ถึงแม้หลังจากมหาจักรพรรดิยุทธ์สรรพสิทธิ์นั่งฌานละสังขารแล้ว มีมหาจักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ บังเกิด การถ่ายทอดสืบสานของตระกูลมู่ก็ยังคงยาวนาน มหาจักรพรรดิยุทธ์ในอดีตล้วนไม่กล้ามาโจมตีสถานบรรพบุรุษของตระกูลมู่
ตรงกลางสุดของสถานบรรพบุรุษมีแท่นบูชาที่สูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งแท่น สูงตระหง่านดั่งภูเขาที่สูงใหญ่ ด้านบนสุดของแท่นบูชา มีการเซ่นไหว้แท่นหินหนึ่งแท่น และมีป้ายวิญญาณสำหรับบูชาตั้งอยู่ด้วย เหมือนมีเงาลวงที่ขมุกขมัวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินนั่น
เล่ากันว่าแท่นหินที่อยู่จุดสูงสุดของแท่นบูชาเป็นสถานที่มรรคผลของมหาจักรพรรดิยุทธ์สรรพสิทธิ์ และเป็นสถานที่เขานั่งฌานละสังขารเช่นกัน ปณิธานที่ไม่ดับสิ้นของมหาจักรพรรดิยุทธ์ ได้ทิ้งเงาลวงเอาไว้หนึ่งร่าง เสมือนความลุ่มหลงที่คอยคุ้มกันสถานบรรพบุรุษแห่งนี้ของตระกูลมู่
นอกเหนือจากนี้แล้วหลัวซิวก็สัมผัสพลังออร่าที่แข็งแกร่งทั้งหลายได้จากพระราชวังตำหนักที่นับไม่ถ้วนของตระกูลมู่ด้วย มีบางคนที่ผลการฝึกตนลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ มีบางคนที่ปราณโลหิตมากล้น ชีวีดั้งเดิมเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน
คาดิสลาร์เบ้ปาก สถานการณ์นี้ในสถานบรรพบุรุษตระกูลมู่ สามารถพูดได้เลยว่าเป็นชั้นยอดในมหาโลกาพันสาม แต่เขาติดตามไท่ซ่างฉิงและเคยพบเห็นรู้จักการถ่ายทอดสืบสานของกองกำลังใหญ่มามากจนนับไม่ถ้วนแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาเคยพบเห็นรู้จัก ตระกูลมู่ก็เหมือนดั่งแสงหิ่งห้อยเท่านั้นแหละ
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เขาหกระเหินเดินฟ้า แล้วร่วงลงเหนือศีรษะอสูรดูดจิต ลำตัวของอสูรดูดจิตกำลังโบยบินอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะมาถึงละแวกใกล้เคียงสถานบรรพบุรุษตระกูลมู่อย่างรวดเร็ว
“ผู้ใดมาเยือน! สถานที่แห่งนี้คือสถานบรรพบุรุษตระกูลมู่ ผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องถอยกลับไปซะ หากไม่มีของยืนยัน ให้อยู่ห่างจากบริเวณนี้แปดร้อยไมล์!”