มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 224 วิชาเทพไท่เสวียน
บทที่ 224 วิชาเทพไท่เสวียน
การเก็บมังกรไร้ร่างมาได้ถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับหลัวซิว
ทว่าหลัวซิวเองก็รู้ดีว่ามังกรไร้ร่างตัวนี้ไม่ได้อยากจะอยู่กับเขาจริงๆ หากมันสามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้ แน่นอนว่าจะต้องแว้งกลับมาจัดการเขาแน่
ทว่าเรื่องของโชคชะตานี้ก็มีความเสี่ยงในตัวของมัน ขอเพียงแค่ควบคุมไว้ให้ได้ มังกรตัวนี้อย่าได้คิดจะหนีไปไหนได้อีก
“แกบอกว่าด้านล่างของวังใต้มีแท่นวิภาไร้เขตอยู่งั้นหรือ มันคืออะไร”
หลังจากที่ตราสำนึกได้เข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลงหมิงแล้ว หลัวซิวก็หยุดใช้พลังจิตแท้เปลวไฟดำแล้วเริ่มตั้งคำถาม
ร่างของหลงหมิงกับอากาศรวมกันเป็นหนึ่ง แม้แต่ตัวสำนึกก็ไม่อาจหาเจอ มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่อ่อนแอของมันอย่างชัดเจน
นี่คือพรสวรรค์ของมังกรไร้ร่างที่สามารถควบคุมอากาศได้ จึงสามารถเลือกสภาพแวดล้อมที่ดีรอบตัวได้
“ก็เป็นสมบัติวิเศษน่ะสิ แถมยังเป็นสมบัติวิเศษขั้นสูงอีกต่างหาก ไม่อย่างนั้นแล้วจะขังฉันอยู่ในนั้นนานถึงห้าหมื่นปีได้อย่างไร” เมื่อกล่าวถึงแท่นวิภาไร้เขต น้ำเสียงของหลงหมิงก็แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง เห็นได้ชัดว่ามันฝังใจกับประสบการณ์ที่ตัวเองโดนขัง
หลัวซิวเคยถามมันแล้วว่า ทำไมมันถึงถูกขังอยู่นานตั้งห้าหมื่นปี แต่หลงหมิงกลับพยายามเลี่ยงที่จะตอบ และบอกว่าตัวเองนึกไม่ออกจึงไม่ได้ตอบคำถามออกมาตรงๆ
ทว่าสิ่งของอย่างสมบัติวิเศษ นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่หลัวซิวเคยได้ยินชื่อ
“ดูท่าแล้วสิ่งที่หลงเหลือมาจากสมัยโบราณนั้นเหลืออยู่น้อยมาก” หลงหมิงทอดถอนใจพลางกล่าว “อาวุธที่นักยุทธ์ใช้ในการต่อสู้ในสงครามแบ่งออกเป็นสามประเภทตามลำดับคือ เครื่องสมบัติเครื่องลางและเครื่องทิพย์”
การแบ่งลำดับอาวุธของสมัยโบราณนั้น บังเอิญเทียบเท่าได้กับการแบ่งอาวุธในยุคปัจจุบันได้พอดี นั่นคือขั้นมนุษย์ ขั้นดินและขั้นฟ้า
หลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์ด้านหลังออกมา “กระบี่ยุทธ์ของฉันเล่มนี้ เทียบเท่าได้กับเครื่องลาง ที่พูดรึไม่”
ร่างของหลงหมิงปรากฏออกมา มันใช้กรงเล็บของมันพลิกไปพลิกมาด้วยสายตาดูแคลน “นี่น่ะหรือจะเรียกว่าเครื่องลางได้ ก็แค่เอาวัสดุสองสามอย่างเอามาหลอมเข้าด้วยกันโดยใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเท่านั้น แค่ช่วยเสริมพลังให้กับพลังจิตแท้เท่านั้น อย่างมากก็เป็นได้แค่เครื่องสมบัติ”
จากคำบอกเล่าของหลงหมิง สมัยโบราณไม่มีอาชีพอย่างนักหลอมอาวุธ มีแต่นักประเมินสมบัติ
วิชาประเมินสมบัติคือการนำเอาวิชาค่ายกลมาหลอมรวมเข้ากับการหลอมอาวุธ อาวุธที่ได้จากการหลอมจะมีอานุภาพที่แข็งแกร่งยากคาดเดา
หลงหมิงก็ไม่เข้าใจวิชาประเมินสมบัติมากนัก ทว่าในมันก็รู้จักปรมาจารย์ประเมินสมบัติในยุคโบราณอยู่หลายคน อีกอย่างก่อนที่จะถูกขังอยู่ที่สำนักไท่เสวียน ตัวเขาเองก็มีสมบัติวิเศษระดับสูงอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่หลังจากถูกขังแล้วก็ถูกสำนักไท่เสวียนเก็บเอาไปทั้งหมด
สำนักไท่เสวียนถือเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ในยุคโบราณ แดนนานาอสูรแท้จริงแล้วคือสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งวางค่ายกลเอาไว้เพื่อเลี้ยงอสูรกาย และให้ลูกศิษย์ของตนได้มาฝึกฝน ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรอันยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้
แดนนานาอสูรมีทั้งสิ้นเก้าเขต สิ่งที่อาศัยอยู่ในแดนขั้นเก้าคือ จักรพรรดิอสูรขั้น9ที่สามารถเทียบเท่าได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง
ซึ่งแม้แต่จักรพรรดิอสูรเองก็ยังถูกจับตัวมาเลี้ยงไว้ในค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นแล้วถูกลูกศิษย์ในสำนักใช้สำหรับฝึกฝน นี่จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าในยุคโบราณนั้นสำนักไท่เสวียนนั้นยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองมากแค่ไหน
เมื่อนำสำนักไท่เสวียนในอดีตมาเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบัน ประเทศเทียนหวูฝนตอนนี้จะกลายเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งในทะเลทรายที่ไร้คุณค่าไปเลย
หลัวซิวอยากลงไปยังชั้นล่างของวังใต้ เพื่อดูว่าสมบัติวิเศษในยุคโบราณอย่างแท่นวิภาไร้เขตนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
“อย่า ห้ามเข้าไปเด็ดขาด!” หลงหมิงรีบเอ่ยห้ามทันที “ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปห้าหมื่นปีแล้ว แต่อานุภาพของแท่นวิภาไร้เขตยังคงไม่ได้ลดลง หากเจ้าไปจับแท่นวิภาไร้เขตส่งเดช เจ้าจะกลายเป็นผุยผงไปในทันที”
เพราะตราสำนึกนั่นเอง หากหลัวซิวตายไป ตัวสำนึกของหลงหมิงเองก็จะได้รับผลกระทบจนแตกสลายไปด้วย ดังนั้นมันจึงรีบห้ามเอาไว้
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของหลัวซิวก็หนาวสะท้าน โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไป ไม่แปลกที่คนที่ตระกูลเหยียนส่งเข้าไปถึงไม่มีโอกาสรอดกลับมา
“อย่างนั้นฉันต้องฝึกฝนให้ถึงขั้นไหนก่อนถึงจะเข้าไปได้” หลัวซิวถามขึ้น
“ราวๆ พรีเมี่ยมยุทธ์ และตอนนี้อานุภาพองสมบัติวิเศษได้เสื่อมลงไปบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็อย่าได้หวังจะเข้าไปเก็บสมบัติวิเศษ ออกมาได้”
……
หลังจากที่เดินออกมาจากวังใต้แล้ว บนบ่าของหลัวซิวมีมังกรไร้ร่างที่มีชีวิตมาตั้งแต่โบราณเพิ่มมาด้วยอีกตัว
การใช้ตาและตัวสำนึกทั่วไปไม่สามารถมองเห็นหลงหมิงได้ เพราะเผ่ามังกรไร้ร่างมีความเคยชินที่จะรวมร่างกายของตัวเองเข้าเป็นหนึ่งกับบรรยากาศรอบตัว
มีเพียงผู้ที่เข้าสู่แดนราชายุทธ์ และเข้าใจการควบคุมความลับในการควบคุมบรรยากาศเท่านั้น ถึงจะรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของมังกรไร้ร่าง
“ฮ่าๆ ในที่สุดเจ้ามังกรอย่างข้าก็ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง!”
เมื่อหลัวซิวพาหลงหมิงออกมาจากออกมาจากวังใต้แล้ว หลงหมิงก็รู้สึกตื่นเต้นมาก
“แดนนานาอสูรของสำนักไท่เสวียนเป็นสถานที่ที่ดีนัก ลูกแก้วโลหิตที่พวกอสูรหลอมออกมา ทำให้การกลั่นร่างมีประสิทธิภาพมาก” สายตาของหลงหมิงเป็นประกาย หากดูดกลืนลูกแก้วโลหิตเข้าไปมากพอ พลังของมันก็อาจจะฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว
อีกอย่างหากตนสามารถฝึกฝนจนฟื้นฟูพลังกลับมาเหนือกว่าหลัวซิวได้ ก็จะสามารถหยุดยั้งตราสำนึกของหลัวซิวได้
“เด็กน้อยคนนี้เป็นมนุษย์ ไม่สามารถหลอมลูกแก้วโลหิตที่แฝงพลังของอสูรกายออกมาได้……”
ในขณะที่หลงหมิงกำลังคิดในใจเช่นนั้นอยู่ มันก็เห็นหลิวซิวพลิกมือเอาลูกแก้วโลหิตของผู้ฝึกจิตออกมาแล้วโยนเข้าปากไป
เลือดปราณที่ไหลเวียนเริ่มสั่นกระเพื่อมอยู่ภายในร่าง ลูกแก้วโลหิตที่มีสารเลือดปราณอยู่ ค่อยๆ หลอมละลายไปทั่วทั้งเลือด กระดูกและร่างเนื้อ
หลงหมิงเบิกตากว้าง มันปรากฏออกมาจากอากาศแล้วกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เจ้ารู้จักวิชาเทพไท่เสวียนด้วยหรือ”
หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินวิชาเทพไท่เสวียนมาก่อน เห็นได้ชัดๆ ว่ามังกรไร้ร่างตัวนี้มีหลายเรื่องที่รู้แต่ไม่ยอมพูดออกมา
หลัวซิวไม่ได้กล่าวอะไร เพียงใช้สายตาจ้องไปที่หลงหมิงทำเอามังกรไร้ร่างที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณต้องขนลุก
“วิชาเทพไท่เสวียนคือหนึ่งในวิชายิ่งเลิศเก้าวิชาของสำนักไท่เสวียน สามารถนำสารในตัวของสรรพสิ่งต่างๆ มาหลอมเพื่อยกระดับการฝึกตนของตัวเอง” หลงหมิงวาดกรงเล็บของมันประกอบการอธิบาย
เมื่อเห็นสีหน้าเคลือบแคลงของหลัวซิว หลงหมิงก็รู้ทันทีว่าเด็กคนนี้ไม่รู้จักวิชาเทพไท่เสวียน
อีกทั้งเขายังสังเกตได้ด้วยอีกว่า การกลั่นแปรยาลูกแก้วโลหิตของหลัวซิว แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังอสูร แต่กลับไม่สามารถช่วยยกระดับการฝึกตนได้ เพียงแค่ช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของร่างเนื้อเท่านั้น
วิธีการเช่นนี้ หากเทียบกับวิชาไท่เสวียนแล้วถือว่ายังห่างชั้นกันอีกเยอะ
“เจ้ารู้วิธีการฝึกวิชาเทพไท่เสวียนรึ” หลัวซิวมองไปทางหลงหมิงพลางตั้งคำถาม
หลงหมิงส่ายหน้า “วิชายิ่งเลิศของสำนักไท่เสวียนเป็นความลับที่ไม่มีการสืบทอด ข้าจะไปรู้ได้ยังไง”
หลัวซิวก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามคำถามนี้ต่อไป เพราะระยะทางก่อนที่แดนปริศนาจะเริ่มต้นเหลือไม่ถึงสามเดือนแล้ว เขาตั้งใจว่าก่อนที่จะไปจะต้องสะสมลูกแก้วโลหิตของผู้ฝึกจิตให้ได้เพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย จากนั้นค่อยออกจากแดนนานาอสูรนี้ไป
พลังของหลงหมิงตอนนี้เทียบเท่ากับจอมยุทธ์พรสวรรค์ แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ในการควบคุมอากาศ และน่าจะสามารถรับมือกับผู้ฝึกจิตทั่วๆ ไปได้ แต่ในแดนนานาอสูรเขต 3 นี้ กลับไม่สามารถลงมือสังหารอสูรกายตัวใดได้เลย
มันคิดจะขอลูกแก้วโลหิตของผู้ฝึกจิตมาเพื่อยกระดับพลังของตัวเอง ทว่าก็ยังไม่ได้มาจากหลัวซิวเลยสักเม็ด
เพราะว่าหลัวซิวรู้ดีว่ามังกรไร้ร่างตัวนี้ไม่จริงใจกับเขามากนัก ดังนั้นจึงต้องพยายามรักษาระดับพลังของตัวเองให้เหนือกว่ามันให้ได้ ดังนั้นเขาย่อมไม่มีทางมอบลูกแก้วโลหิตให้หลงหมิงเพื่อให้มันยกระดับพลังของตัวเองอย่างแน่นอน
……
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน หลัวซิวก็ออกมาจากแดนนานาอสูร หลังจากผ่านการฝึกฝนตัวเองอย่างหนักมาเกือบหนึ่งปี พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนที่เผชิญกับการต่อสู้แย่งชิงโควต้าเสียอีก
การฝึกตนอยู่ในขั้นฝึกจิตขั้น 5
ร่างเนื้ออยู่ในขั้นร่างยุทธ์ขั้นสูงช่วงปลาย
ตัวสำนึกอยู่ในขั้นฝึกจิตขั้น 8
รวมทั้งการที่เขามีไม้เด็ดอีกมากมาย หากเขาต้องเผชิญหน้ากับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่ไม่ได้ครอบครองห้วงยุทธ์ เขาก็พอที่จะรับมือได้อยู่บ้าง
เมื่อถึงตอนนี้แล้ว ถือได้ว่าหลัวซิวที่อยู่ในประเทศเทียนหวูมีทั้งความมั่นใจและต้นทุนในพลังยุทธ์ของตัวเองค่อนข้างมาก
########################