มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2020
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2020
ในหมู่บ้านชิงเมี่ยว บ้านดั้งเดิมของหลัวซิวถูกเซ่นไหว้บูชา คือสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งของหมู่บ้านกลางภูเขาแห่งนี้
เมื่อหลัวซิวและพี่สาวหลัวซิ่วเอ๋อร์ประคองพ่อแม่มาถึงที่นี่ จึงถูกผู้คนในหมู่บ้านสกัดกั้นเอาไว้
“ที่นี่คือคฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียน พวกท่านเข้าไปไม่ได้”
ผู้ที่เข้ามาสกัดกั้นพวกเขาเอาไว้คือชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้าน เมื่อพูดถึงคำว่าคฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียน ภายในสีหน้าอารมณ์เขาก็เปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ มาตรแม้นว่าเขาจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่เล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงคนหนึ่งก็ตาม
“คฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียน?”
“พวกท่านไม่รู้หรือ? พวกท่านต้องเคยได้ยินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนในอาณาจักรใต้มาก่อนสินะ? ซึ่งผู้ก่อสร้างแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็คือท่านจ้าวเซียน ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ท่านเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในฟ้าดินของเรา”
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของชายหนุ่มคนดังกล่าว หลัวซิวก็รู้สึกทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาออกจากโลกแสงดาวก็หลายปีแล้ว แต่ที่นี่ยังมีตำนานเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับเขาเล่าสืบต่อกันมา
“ข้าเห็นว่าออร่าของทุกท่านไม่ธรรมดา ต้องเป็นคนใหญ่คนโตในโลกแห่งการฝึกยุทธ์แน่นอน หรือว่าพวกท่านก็มาอธิษฐานให้จ้าวเซียนสำแดงฤทธิ์เช่นกันหรือ?”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ใช้นิ้วชี้ไปทางตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีคนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้นไม่น้อย ซึ่งล้วนเป็นนักยุทธ์ที่สำเร็จในด้านการฝึกตน ในจำนวนทั้งหมดมีสามถึงสี่คนยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
ผลการฝึกตนแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ถือเป็นยอดฝีมือชั้นยอดในโลกแสงดาวแล้ว ทว่าพวกเขากลับมาหมู่บ้านกลางภูเขาที่ไม่โดดเด่นนี่
และสิ่งที่ทำให้ผู้คนงงงวยมากกว่าคือ สีหน้าอารมณ์ของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้ดูเคารพนอบน้อมมาก คารวะไปทางคฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียนที่อยู่ห่างออกไปไกล ปากกำลังพึมพำราวกับกำลังขอพรอยู่
จากศักยภาพของหลัวซิว เขาต้องได้ยินสิ่งที่พวกเขาพึมพำเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนมากล้วนเป็นเรื่องศัตรูรุกราน อสูรจิตลำบากยากแค้นแสนเข็ญและเรื่องภัยพิบัติฟ้าดินต่าง ๆ
การรุกรานและการปล้นชิงของโลกะอิมเอี๊ยง ได้นำพาหนะสู่กองกำลังส่วนมากในโลกแสงดาวจริง ๆ จำนวนเทพมารในโลกแสงดาวมีไม่มาก แต่สมาคมเฟยหยางกลับสามารถส่งเทพมารนับร้อยหรือมากกว่านั้นเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ศักยภาพระดับนี้ เพียงพอที่จะกวาดล้างทุกโลกาเทพฟ้าได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากเลย
หากไม่ใช่เพราะสมาคมเฟยหยางทำการปล้นชิงโลกาเทพฟ้าหลายโลกาพร้อมกันละก็ กองกำลังทั้งหมดในโลกแสงดาวคงถูกทำลายล้างไปตั้งนานแล้ว
“เสี่ยวซิว พ่อกับแม่ลูกแก่แล้ว จึงอยากใช้ชีวิตวัยเกษียณอยู่ในบ้านเก่าที่บรรพบุรุษลูกทิ้งไว้”จู่ ๆ หลัวซงหลินก็เอ่ยปากพูด
เขาเป็นคนชราที่แนวคิดโบราณ และเขาก็ทราบเช่นกันว่าท่านจ้าวเซียนที่กล่าวถึงนั่นก็คือลูกชายเขา ทว่าเขาแก่แล้ว อยากกลับบ้านที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ไม่อยากให้ที่นี่กลายเป็นคฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียนอะไรนั่น ถูกผู้คนโลกภายนอกรบกวน
เขาแค่อยากใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายของชีวิตกับภรรยาอย่างสบายใจ
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ลูกทราบแล้ว”หลัวซิวผงกหัว วินาทีนี้เขาเป็นเพียงลูกชายคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่จ้าวเซียนผู้ไร้เทียมทานตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันอะไรนั่น
เขาประคองแม่ พี่สาวประคองพ่อ ก่อนที่ทั้งครอบครัวจะมุ่งหน้าเดินตรงไปยังบ้านที่บรรพบุรุษทิ้งไว้
“เหตุใดพวกท่านถึงยังจักเข้าไปอีก? ลบหลู่คฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียนมิได้!”เมื่อชายหนุ่มคนเมื่อครู่เห็นพฤติกรรมของคนทั้งครอบครัวเขา จึงแหกปากตะโกนอย่างอดไม่ได้
อดีตจ้าวเซียนในตำนานได้กำเนิดในหมู่บ้านชิงเมี่ยวเล็ก ๆ แห่งนี้ สำหรับหมู่บ้านชิงเมี่ยวแล้ว นี่คือเกียรติยศสูงสุดอย่างหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นว่าจะมีคนเดินเข้าไป ชายหนุ่มคนนั้นจึงร้อนรนขึ้นมาในทันที วิ่งขึ้นไปหวังจะสกัดกั้น
“โอ๊ยย!”
ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ร้อยอย่างเจ็บปวด ล้มนั่งลงไปกับพื้น ทว่ากลับรู้สึกเหมือนข้างหน้ามีกำแพงหนึ่งชั้นปรากฏตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จึงส่งผลให้หัวเขาชนเข้ากับกำแพง
เสี่ยวจื่อที่อยู่ข้าง ๆ หลุดหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่นี้เป็นฝีมือนาง