มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1914
ภายใต้การกระทบกระเทือนจากพลังที่มากมายมหาศาล ทำให้ประตูแห่งกฎเกณฑ์พังทลายลงไป มีเมฆครึ้มปกคลุมเต็มท้องฟ้าภายในชั่วพริบตาเดียว อัสนีนภาก็ผ่าสับไปมา
ปรากฏการณ์ดังกล่าวคือทัฑณ์สายฟ้าพิโรธของการบรรลุมกุฎเทพ นอกเหนือจากหลัวซิวแล้ว ก็มีเพียงขณะที่บรรลุแดนใหญ่นักยุทธ์คนอื่น ๆ ถึงจะมีบททดสอบจากทัฑณ์สายฟ้าพิโรธย่างกรายมาถึง
หลัวซิวหรี่ตาเบิ่งมองออกไป ทัฑณ์สายฟ้าพิโรธของจีเสี่ยวจื่อ เมื่อดูจากขนาดและออร่าแล้ว อานุภาพของมันพอ ๆ กับทัฑณ์สายฟ้าของเขาครั้นเมื่อบรรลุจากเทพฟ้าขั้น 6 สู่ขั้น 7
ดวงดาวที่เขาและจีเสี่ยวจื่อเลือกนั้นเป็นดวงดาวที่ค่อนข้างไม่ค่อยโดดเด่นดวงหนึ่ง แม้จะมีนักยุทธ์คนอื่น ๆ หยุดพักอยู่บนดวงดาวดวงนี้เช่นกัน แต่ทว่าหลังจากที่สัมผัสได้ถึงพลังออร่าของทัฑณ์สายฟ้าพิโรธแล้ว คนเหล่านั้นก็ล้วนมองมาจากที่ไกล ๆ ไม่ได้เข้าใกล้แต่อย่างใด
“มีคนบรรลุสู่แดนมกุฎเทพ!”
“ในเด็กรุ่นใหม่ จักมีมกุฎเทพบังเกิดขึ้นอีกแล้วหรือ?”
สีหน้าของวัยรุ่นอัจฉริยะจำนวนมากบนดวงดาวดวงนี้ต่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าปรวนแปรไม่แน่นอน พวกเขาทุกคนล้วนเป็นหนึ่งในอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสูงสุดจากมหาโลกาต่าง ๆ แม้แต่พวกเขาเองยังบรรลุสู่มกุฎเทพไม่ได้ตลอดมา ปัจจุบันเมื่อพบว่ามีผู้อื่นบรรลุ พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
ในส่วนของเหล่าอสูรโบราณแข็งแกร่งที่ยึดครองอยู่บนดวงดาวดวงนี้ กลับยิ่งไม่มีทางมาท่ีนี่ เนื่องจากภายในออร่าของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธมีอำนาจบารมีแห่งสวรรค์ซ่อนอยู่ ซึ่งทำให้อสูรโบราณเลือกที่จะหลบเลี่ยงและอยู่ห่างจากมันโดยสัญชาตญาณ
“หื้ม?”
บนดวงดาวที่มีปริมาตรใหญ่ที่สุดตรงศูนย์กลางของแดนเทวนิรันกาล ชายหนุ่มร่างกายกำยำคนหนึ่งลืมตาขึ้นมากะทันหัน
“เลือกที่จะบรรลุสู่มกุฎเทพในแดนเทวนิรันกาล ช่างเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย ในเด็กรุ่นใหม่มีคนจำนวนมากที่บรรลุถึงแดนกึ่งมกุฎเทพ แต่ผู้ที่มีความหวังบรรลุสู่มกุฎเทพกลับมีไม่มาก”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น แล้วรีบมุ่งหน้าตรงไปยังทิศเหนือทิศที่ออร่าทัณฑ์สายฟ้าพิโรธถ่ายทอดมา
แสงอัสนีส่องสว่างทั่วทุกสารทิศ มังกรอัสนีโหมกระหน่ำ อัสนีม่วงส่องแสงแวววาววูบวาบไปทั่วท้องฟ้า
จีเสี่ยวจื่อกำลังข้ามผ่านทัณฑ์ จากพรสวรรค์ของนางรวมไปถึงไพ่เด็ดและอุบายจำนวนมากที่จีเสวียนคงทิ้งไว้ให้นาง แม้การข้ามผ่านทัณฑ์จะยากลำบากเล็กน้อย แต่ถ้าเกิดผ่านพ้นไปได้แล้วก็จะไม่เป็นปัญหาใด ๆ
หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไกล แผ่ขยายตัวสำนึกออกไป ทันทีที่มีคนอยากเข้ามารบกวนการข้ามผ่านทัณฑ์ของจีเสี่ยวจื่อ เขาก็จะลงมือในทันที
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองไปทางสุดปลายของขอบฟ้า
เห็นเพียงมีแสงสีทองสว่างวูบวาบอยู่ตรงขอบฟ้า รุ้งยาวสีทองสายหนึ่งทอดยาวลงมาจากขอบฟ้าดั่งสะพานเทว มีเงาดำหลายร่างเดินอยู่บนสะพานรุ้งสีทอง สามารถก้าวข้ามผ่านระยะห่างแสนกว่าไมล์ได้ภายในพริบตาเดียว ก่อนจะมาถึงดวงดาวดวงนี้ภายในชั่วพริบตา
“อั่งง!”
สะพานรุ้งสีทองปรวนแปร กลายเป็นมังกรสีทองแยกเขี้ยวตะปบเล็บอยู่กลางนภา ส่วนหลังของมังกรทองตัวนั้น มีใบหน้าที่เขาไม่คุ้นเคยยืนอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งผู้อาวุโสและผู้น้อย และมีชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวมังกรทองด้วยสีหน้าท่าทางที่โอหังและถือดี
ชายหนุ่มคนดังกล่าวสูงชะลูด รูปร่างบึกบึน ทั้งร่างกายแผ่คลุมอยู่ในแสงทองอ่อน ๆ สวมมงกุฎเทวอยู่บนศีรษะ คลุมเสื้อคลุมงูยักษ์สีทองไว้บนตัว ออร่าลึกซึ้งมากมายมหาศาล
“นั่นคือ……พระโอรสจ้านเทียน!”
มีคนอุทานอย่างตะลึง ภายในเวลาชั่วขณะสายตาของทุกคนก็ล้วนรวมตัวกันบนชายหนุ่มเสื้อคลุมงูยักษ์สีทองนั่น
สมญานามพระโอรสจ้านเทียนนี้ เรียกได้เลยว่าเป็นสมญานามที่ดังกึกก้องในมหาโลกาพันสาม ไม่เพียงแค่เขามีสมญานามเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในมหาโลกาพันสาม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขาเป็นผู้ที่ฝึกพลังจักรพรรดิชั้นฟ้าสองประเภท
พลังจักรพรรดิชั้นฟ้านั้นเป็นวรยุทธ์สูงสุดที่มีเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ในยุคสมัยหนึ่งเท่านั้นถึงจะสามารถริเริ่มได้ ในสายน้ำกาลเวลาที่ยาวนานของประวัติศาสตร์ การถ่ายทอดสืบสานของมหาจักรพรรดิยุทธ์จำนวนมากล้วนหายสาบสูญไปแล้ว ที่คงเหลืออยู่ในโลกมีไม่มากแล้ว ดังนั้นมันจึงถูกสำนักจักรพรรดิต่าง ๆ มองว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ซึ่งไม่สามารถแพร่งพรายออกไปสู่โลกภายนอกได้
มีเพียงตำหนักเทวจ้านเทียนที่บังเกิดมหาจักรพรรดิยุทธ์สองยุค และริเริ่มพลังจักรพรรดิจ้านเทียนสองประเภทที่แตกต่างกัน