มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1537
อิงจากการคาดคะเนเดิมของเขา โอสถเวทย์ธรรมระดับ 7 หนึ่งเม็ดเพียงพอที่จะผนึกรวมดาราชีวีที่แปดขึ้นมาได้แล้ว อีกทั้งฤทธิ์ยาจะยังคงเหลือด้วย
แต่ทว่าฤทธิ์ยาที่บ้าระห่ำของโอสถเวทย์ธรรมอยู่เหนือการคาดหมายของเขา ร่างยุทธ์ร่างเนื้อระดับกึ่งราชาเทพยากที่จะแบกรับ ทำได้เพียงโคจรวรยุทธ์ทั้งสามพร้อมกัน เพื่อแบ่งฤทธิ์ยาของโอสถเวทย์ธรรมออกเป็นสามส่วน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฤทธิ์ยาที่ใช้ในการผนึกรวมดาราชีวีจริง ๆ กลับมีเพียงหนึ่งในสามของฤทธิ์ยาทั้งหมด
“ถึงแม้จะไม่สามารถโหมผนึกรวมดาราชีวีดวงที่แปดได้ในทีเดียว แต่ช่องจิตและร่างเนื้อของข้าก็ได้รับการยกระดับไม่น้อยเช่นกัน”
เขาลองใช้จิตสัมผัสการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายตัวเอง ในการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ร่างยุทธ์ร่างเนื้อเป็นสิ่งที่สามารถมองข้ามได้มากสุด เนื่องจากร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงระดับกึ่งราชาเทพตั้งนานแล้ว เมื่อดูดซับพลังหนึ่งในสามของโอสถเวทย์ธรรม ก็ได้รับการยกระดับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดของเขาที่ผนึกรวมมาจากช่องจิตและกฎการเวียนว่ายตายเกิดผสมกัน ลักษณะรูปร่างของช่องจิตก็ค่อย ๆ ผันแปรไปตามวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน การค้นพบนี้ทำให้หลัวซิวเข้าใจว่าด้านการกลั่นวิญญาณของพลังจุติมรณะมีข้อดีที่เยี่ยมยอดมาก ๆ
จุดเด่นของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าอยู่ที่การยกระดับผลการฝึกตน จุดเด่นของเคล็ดวิชาจุดลมปราณอยู่ที่ร่างเนื้อ ส่วนจุดเด่นของพลังจุติมรณะนั้นอยู่ที่วิญญาณ หากฝึกวรยุทธ์ดังกล่าวขึ้นไปถึงแดนขีดสุด ก็จะมีความเร้นลับของสองระดับความเป็นตายแฝงอยู่ในวิญญาณดั้งเดิม ยิ่งกว่านั้นคือสามารถวิวัฒนาการวัฏสงสารออกมาได้ และไม่ดับสิ้นชั่วนิรันดร์!
พลังจุติมรณะเป็นวรยุทธ์แรกที่เขาได้รับ ทว่ากลับเป็นวรยุทธ์ที่ตระหนักรู้ได้ช้าที่สุด
ปัจจุบันตัวสำนึกของเขาบรรลุถึงแดนเทพฟ้าขั้น 7 แล้ว ช่องจิตค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด ทันทีที่เกิดการแปรเปลี่ยนสำเร็จ เช่นนั้นตัวสำนึกวิญญาณของเขาก็จะเกิดการบรรลุ ก้าวข้ามขึ้นไปสู่ระดับราชาเทพ
“อีกรอบ!”
เขาพลิกฝ่ามือกลืนโอสถเวทย์ธรรมระดับ 7 ลงไปอีกครั้ง มีเสียงดังสนั่นเลื่อนลั่นดังออกมาจากร่างกายเขาอีกครั้ง
ในขณะที่หลัวซิวกำลังฝึกตนปิดขังอยู่สุดปลายขอบเขตวิถีโบราณดารากาล นักยุทธ์อีก 14 คนที่เหลือก็ต่างบรรลุถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว
ผลการฝึกตนถูกแดนปริศนามกุฎเทพกดอัดอยู่ในแดนเทพมาร พวกเขาจึงไม่มีทางมีกำลังรบที่เก่งกาจดุจปีศาจอย่างหลัวซิว ด้วยเหตุนี้การที่สามารถเดินบนวิถีโบราณดารากาลได้สี่ร้อยไมล์นั้น ถือเป็นความสำเร็จที่ไม่เลวแล้ว
หลังจากทุกคนทุ่มสุดความสามารถได้รับผลสำเร็จที่ดีที่สุดของตัวเองแล้ว พวกเขาก็พากันเดินย้อนกลับมาในวิถีโบราณดารากาล แต่ละคนดูรีบร้อนดั่งลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู
เมื่อเปรียบเทียบกับโอกาสโชคชะตาที่ได้รับในแดนปริศนามกุฎเทพแล้ว การบุกรุกของคนต่างแดนสองคน รวมไปถึงศักยภาพอันทรงพลังที่หลัวซิวแสดงออกมา กลับทำให้พวกเขาทุกคนรู้สึกน่าทึ่งมากกว่า
พวกเขาอยากออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เร็วได้ นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้บอกเล่าให้อาจารย์ฟัง พวกเขาเชื่อว่าอาจารย์ราชาเทพต้องรู้สึกสนใจอย่างแน่นอน
แต่ทว่าเมื่อพวกเขาย้อนกลับไปถึงทางเข้าระลอกคลื่นเจ็ดสี กลับค้นพบอย่างตกตะลึงว่า บนระลอกคลื่นมีตัวต้องห้าม ทุกคนที่เข้าใกล้มันล้วนถูกดีดจนกระเด็นออกมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
สิบกว่าคนร่วมมือกัน ดึงความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่ของตัวเองออกมาแล้ว กลับไม่สามารถเข้าใกล้ระลอกคลื่นเจ็ดสีได้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องออกไปจากที่นี่เลย
“หรือว่าต้องถูกกักขังอยู่ภายในนี้ และไม่สามารถออกไปได้ตลอดชีวิตหรือ?”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโลกภายนอกกันแน่ เหตุใดอาจารย์ราชาเทพถึงไม่มาช่วยชีวิตพวกเรา?”
“แล้วก็หลัวซิวนั่นจากสำนักเทียนเจี้ยนอีก เขาเดินเข้าไปยังส่วนลึกบนเส้นทางหลักของวิถีโบราณดารากาล เขาต้องได้รับโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ แน่นอน!”
“ทุกคนกลับมาหมดแล้ว เหตุใดเขายังไม่กลับมา?”
ในระแวกที่ใกล้เคียงระลอกคลื่นเจ็ดสี สีหน้าท่าทางของนักยุทธ์ทั้ง 14 คนต่างแตกต่างกันออกไป พวกเขาทนทุกข์ทรมานมาหลายเดือนแล้ว วิธีการที่คิดได้ก็ใช้ไปหมดแล้วเช่นกัน ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ กลับไม่สามารถเข้าใกล้ระลอกคลื่นได้เลยแม้แต่น้อย
ในกองกำลังใหญ่ทั้งห้า ผู้คนในสำนักไท่ไหลเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลมากที่สุด เมื่อผ่านการวิเคราะห์ บริเวณระลอกคลื่นมีค่ายเทพต้องห้ามผนึกไว้ ซึ่งอย่างน้อยสุดระดับของมันก็บรรลุถึงระดับ 7