มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1355
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1355
“ผู้อาวุโสหวูมิต้องพิธีรีตองมากหรอก”ฉินเฟยเสว่ยิ้มอ่อน
“ได้ยินมาว่าช่วงพันกว่าปีที่ผ่านมา เทพธิดาฝึกตนปิดขังมาโดยตลอด ไม่ทราบว่ามาที่นี่เพราะเหตุอันใดหรือขอรับ? ข้ากำลังประเมินผลฐานหยินหยางฝึกปรือให้เหล่าวัยรุ่นยุคใหม่”ผู้อาวุโสหวูถาม
ในระหว่างที่ผู้อาวุโสหวูพูดอยู่นั้น สายตาของฉินเฟยเสว่ก็ได้กวาดมองวัยรุ่นยุคใหม่ทุกคนที่อยู่ในนี้ เมื่อดวงตาที่สว่างไสวดุจดวงดาวได้หยุดลงที่ตัวหลัวซิว ดวงตาคู่นั้นก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
“ข้าว่างแล้วไม่มีอะไรทำน่ะ จึงมาดูว่าในบรรดาวัยรุ่นยุคใหม่มีหน่ออ่อนที่คุ้มแก่การบ่มเพาะหรือไม่”ฉินเฟยเสว่ตอบกลับเช่นนี้
หลัวซิวทราบอยู่ว่าฉินเฟยเสว่น่าจะจำตัวเองได้แล้ว
ผู้อาวุโสหวูหัวเราะแล้วตอบกลับ: “การที่สามารถทำให้เทพธิดาท่านลงมาถึงที่นี่ด้วยตัวท่านเองนั้น ถือเป็นเกียรติและโชคดีของวัยรุ่นเหล่านี้มาก ๆ ขอรับ”
“ผู้อาวุโสหวูประเมินผลต่อได้เลย ข้าจะดูอยู่ห่าง ๆ”ฉินเฟยเสว่ยิ้มอ่อนพลางตอบกลับ
ผู้อาวุโสหวูพยักหน้า ก่อนที่เขาจะใช้นิ้วชี้มาทางชายหนุ่มคนหนึ่ง“เจ้า มาดำเนินการทดสอบได้”
ชายหนุ่มดังกล่าวอยู่ในชุดสีเหลือง เขาไม่ได้ดูตื่นเต้นและกระวนกระวายดังสองคนเมื่อก่อนหน้านี้ เดินขึ้นไปตรงกลางค่ายเสวียนด้วยสีหน้าท่าทางที่สุขุม
ชายหนุ่มชุดเหลืองผู้นี้แสดงศักยภาพครั้นเมื่ออยู่ในการประเมินกฎเบญจธาตุก่อนหน้านี้ออกมาได้ไม่เลวเลย อดทนอยู่ในค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุของผู้อาวุโสหวูไปได้ประมาณ 20 ลมหายใจ
“ข้าขอสละสิทธิ์!”
หลังจากที่ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ตะโกนเสียงดัง เดินออกมาจากค่ายเสวียนด้วยใบหน้าที่ขาวซีด อย่างไรก็ตามในแววตาเขากลับมีรังสีแห่งความดีใจกระพริบโดยยากที่จะปิดบังได้
“สังหารคู่ต่อสู้ได้หกคน ผ่านการประเมิน!”ผู้อาวุโสหวูเอ่ยปากประกาศผลการประเมินของเขา
ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าผลเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้ยินผู้อาวุโสหวูประกาศผลการประเมินของตัวเองออกมาอย่างแท้จริงแล้ว ชายหนุ่มชุดเหลืองผู้นี้ก็ดีใจมากอย่างอดไม่ได้ กําหมัดแน่นพลางพูด: “ข้าเป็นคนแรกที่ผ่านการประเมิน!”
“ก็แค่สังหารได้เพียงหกคน พอถู ๆ ไถ ๆ ผ่านการประเมินมาได้เท่านั้นแหละ”ในขณะที่ชายหนุ่มชุดเหลืองกำลังรู้สึกดีใจมาก ๆ อยู่นั้น เสียงหัวเราะอันเยือกเย็นที่มีความเสียดสีปนอยู่ก็ดังขึ้นมา ซึ่งเจ้าของคำพูดนี้ก็คือสวีชิงซานที่ยืนอยู่ข้างกายหวางยู่ซวน
สวีชิงซานผู้นี้คือศิษย์สนิทในสายผู้อาวุโสสำนักหยินหยางเขาหัวเราะเยาะแล้วพูด: “การประเมินของฐานหยินหยางมีทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งการประเมินครั้งแรกง่ายที่สุด ง่ายเช่นนี้แต่เจ้ากลับผ่านมาได้อย่างยากลำบาก ในส่วนของการประเมินหลัง ๆ เจ้าไม่มีความหวังที่จะผ่านได้เลยด้วยซ้ำ”
ในฐานะที่เป็นศิษย์สนิทในสายผู้อาวุโส สวีชิงซานมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองและหยิ่งยโสมาตั้งแต่กำเนิดแล้ว คนดังกล่าวถากถางอย่างไร้ความปราณี ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มชุดเหลืองที่ดีใจมาก ๆ เมื่อครู่นี้หม่นหมองลงไป
อย่างไรก็ตามเขากลับปฏิเสธไม่ได้ว่าที่สวีชิงซานกล่าวมานั้นเป็นความจริง นอกจากศิษย์สนิทสายผู้อาวุโสสำนักหยินหยางและสายเจ้าสำนักแล้ว ศิษย์ที่ฐานะสังคมค่อนข้างธรรมดาอย่างพวกเขา แทบจะไม่มีทางได้รับผลสำเร็จที่ดีเป็นพิเศษจากการฝึกปรือในฐานหยินหยางเลย
แต่ทว่าชายหนุ่มชุดเหลืองผู้นี้ก็มิใช่คนอ่อนแอที่ยอมให้ผู้อื่นมารังแกได้ง่าย ๆ เช่นกัน เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วตอบกลับ: “หากมีปัญญาความสามารถจริง เจ้าก็ลองเอาที่ 1 มาให้ข้าดูสิ พูดอย่างกับเจ้าเก่งกาจมาก ๆ อย่างนั้นแหละ”
“ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ที่ 1 แต่ใช้ผลการประเมินมาหยามหน้าเจ้าน่ะ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดังปอกกล้วยเข้าปากอยู่”สวีชิงซานพูดอย่างเหยียดหยาม
ผู้อาวุโสหวูไม่มีท่าทีที่จะสนใจการมีปากเสียงกันของเด็กวัยรุ่นเลย จากการที่เขาใช้นิ้วชี้ผู้เข้าร่วมการประเมินคนต่อไป ก็มีคนอื่น ๆ ทยอยเดินขึ้นไปบนค่ายเสวียนเพื่อทำการทดสอบ
เหมือนดั่งที่ผู้อาวุโสหวูกล่าวไว้เมื่อก่อนหน้านี้ นี่เป็นเพียงบททดสอบแรกหลังจากเริ่มฐานหยินหยางฝึกปรือ วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศก็ตกรอบไปเกือบครึ่งแล้ว
สวีชิงซานก็เดินเข้าไปในค่ายเสวียนเช่นกัน ผลการประเมินของเขาคือสังหารคู่ต่อสู้ในค่ายเสวียนได้สิบคน บรรลุถึงระดับดีเด่น จึงได้รับของรางวัลเป็นแหล่งเบญจธาตุหนึ่งชิ้น
ผลการประเมินนี้ทำให้ตัวสวีชิงซานเองรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ก่อนที่เขาจะกวาดตามองไปทางชายหนุ่มชุดเหลืองที่มีปากเสียงกับเขาเมื่อครู่นี้ด้วยสายตาที่ยั่วยุ