มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 123 ปฏิเสธการเข้าร่วม
บทที่ 123 ปฏิเสธการเข้าร่วม
หลัวซิวก็รีบยกมือคำนับพูดว่า “กระผมอยู่ข้างนอกเสียคุ้นเคยแล้วครับ ไม่ชอบอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสำนัก ขอให้ผู้อาวุโสเห็นใจด้วย”
คำพูดนี้ของเขา ถือว่าอ้อมค้อมมากแล้ว แสดงออกชัดเจนว่าเขาไม่อยากตามไปอยู่ในสำนักเหลยหวู่ด้วย ถ้าหากเขาพูดไปแบบนี้แล้ว เล่อเผิงเฉิงก็ยังจะพาตัวเขาไปให้ได้ล่ะก็ ก็คงจะมีใจคิดเป็นอื่นอย่างแน่นอน
แต่ว่า ที่หลัวซิวพูดไปแบบนี้ เหมือนจะฉลาด แต่ก็ยังด้อยอยู่มาก เขาไม่ยากเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่มากเท่าไร เล่อเผิงเฉิงก็ยิ่งคิดว่าบนตัวเขามีความลับมากขึ้นไปอีก ที่ไม่อยากเข้าร่วม ก็เพราะกลัวจะเปิดเผยความลับในตัวออกมา
“ฮ่าๆ ไม่อยากเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่ ผมก็ไม่บังคับ คุณปกป้องหลานเมิ่งเหยามาจนถึงเขตการปกครองโตว้ไห่ ผมก็สมควรแสดงความขอบคุณเสียหน่อย งั้นของสิ่งนี้ ก็ให้เป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”
ขณะพูด เล่อเผิงเฉิงก็หยิบยันต์หยกออกมาหนึ่งกัน “นี่คือยันต์หยกที่มีค่ายกลขั้น4 ได้กระตุ้นจนสามารถเผยการโจมตีของปรมาจารย์ฝึกจิตได้แล้ว”
ยันต์หยกอันนี้มีค่าควรเมือง จอมยุทธ์ชี่ไห่ทุกคนล้วนอยากได้ หลัวซิวแกล้งสงสัย และแกล้งทำเป็นตื่นเต้น แล้วก็รับเอามา
เล่อเผิงเฉิงยิ้มพยักหน้า “ตอนนี้พวกเธอกลับเข้าเมืองไปกับอาก่อน มีอาอยู่ด้วย ตระกูลเยี่ยนและตระกูลต้วนไม่กล้าทำอะไรแน่”
3คนอยู่บนเส้นทางกลับไป เล่อเผิงเฉิงก็จะแอบสอบถามข้อมูลของหลัวซิวจากลู่เมิ่งเหยาบ่อยๆ
เพราะว่าเล่อเผิงเฉิงเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกับพ่อตนเอง ลู่เมิ่งเหยาก็ไม่มีใจคิดจะระวังตัว ก็เลยบอกสิ่งที่รู้ออกไปจนหมด
ภายในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงปี ตั้งแต่ระดับกลั่นร่างขั้น2จนถึงชี่ไห่ขั้น6 และยังมีพลังเทียบเท่าจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น4อีกอย่างนั้นหรือ?
หลัวซิวก็กังวลในใจ รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ตอนแรกตนเองไม่ได้บอกกับลู่เมิ่งเหยาไว้ก่อน ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น
“หลานสาวเมิ่งเหยา อาการโรคชีพจรขาดธาตุไฟของเธอหายดีแล้วใช่ไหม?” เล่อเผิงเฉิงกับลู่เฟยเฉินเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมา ก็เลยรู้ว่าก่อนหน้านี้ลู่เมิ่งเหยามีอาการโรคชีพจรขาดธาตุไฟ
“ใช่ค่ะ ก็ได้หลัวซิวช่วยเหลือ เขาช่วยรักษาฉันให้หายค่ะ” ลู่เมิ่งเหยายิ้มตอบกลับไป โดยไม่รู้ว่ายิ่งเธอพูดมากเท่าไร หลัวซิวก็อันตรายมากเท่านั้น
ที่เธอเล่าเรื่องของหลัวซิวให้กับเล่อเผิงเฉิงนั้น ก็เพราะหวังว่าสำนักเหลยหวู่จะสนใจในตัวหลัวซิว เพียงแต่ว่าหลัวซิวไม่อยากเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่ นี่จึงทำให้เธอรู้สึกเสียใจ
เธอรู้ดีว่า ถ้าจอมยุทธ์คนหนึ่งไม่มีสำนักค่อยสนับสนุน ก็จะประสบผลสำเร็จได้ยาก อนาคตเธออยากจะแก้แค้นให้กับลู่เฟยเฉิน ก็เลยได้แต่เลือกเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่
เธอก็รู้อีกว่า ถ้าครั้งนี้แยกกับหลัวซิวแล้ว ทั้งสองคนก็คงจะแยกทางกันไปจริงๆ แล้ว
ไม่แปลก นี่มันเป็นการเลือกอีกครั้ง ครั้งก่อนเธอเลือกพ่อตนเอง เลยออกไปจากหลัวซิว แต่งงานกับโกวจินชวน ถ้าไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นจริงไปหมดแล้ว
แต่ครั้งนี้ เธอก็ต้องเลือกที่จะเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่อีกครั้ง จะต้องแยกทางกับหลัวซิวอีกครั้ง
หลังจากนั้นครึ่งวัน ทั้ง3คนก็เดินทางมาถึงเมืองโจว๋ซิง
ตอนที่ยังไม่เข้าเมือง ตระกูลเยี่ยนและตระกูลต้วนก็ได้ข่าวคราวแล้ว แต่ก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมา เห็นได้ชัดว่ารู้จักตัวตนของเล่อเผิงเฉิงดี
“พวกเธอไปฆ่าเยี่ยนชิว ลูกชายคนเดียวของเจ้าตระกูลเยี่ยน คงจะมีทางเดียวก็คือ เข้าร่วมสำนักเหลยหวู่ ตระกูลเยี่ยนถึงจะไม่กล้าทำอะไรคุณ” เล่อเผิงเฉิงยิ้มพูดออกมา
หลัวซิวก็ฟังความหมายที่พูดออกได้ แต่ว่าเขาไม่อยากเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่ ดังนั้นก็เลยแกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ
“หลัวซิว นายก็เข้าไปที่สำนักเหลยหวู่กับฉันเลยก็แล้วกัน นายอยู่ข้างนอกคนเดียวไม่มีสำนักคอยเป็นที่พักพิงให้ ยากจะฝึกฝนได้” ลู่เมิ่งเหยาพูดโน้มน้าว
“ไม่แล้วล่ะ ผมวางแผนไว้ว่าจะไปท่องเที่ยวและฝึกฝนตนเองไปเรื่อยๆ” หลัวซิวยิ้มตอบ
เขารู้ดีว่า ที่เล่อเผิงเฉิงยังไม่ลงมือตอนนี้ ก็เพราะว่ามีลู่เมิ่งเหยาอยู่ด้วย และเขาก็ไม่รู้ว่าบนตัวตนเองนั้นมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ถ้าเขารู้ว่าบนตัวหลัวซิวมีสิ่งล้ำค่าอย่างลูกแก้วความเป็นตาย ต่อให้ลู่เมิ่งเหยาอยู่ด้วย ก็ต้องลงมือเป็นแน่
ถ้าหากว่าเขาตามเข้าไปที่สำนักเหลยหวู่ นั่นถึงจะเป็นการเข้าปากเสือ มีความลับและสิ่งล้ำค่าอะไร ก็ต้องบอกออกมาจนหมด และอาจจะไม่มีทางรักษาชีวิตเอาไว้ได้ด้วย
บนโลกใบนี้ มีคนดีและคนชั่ว เหมือนกับเจ้าสำนักชิงหยุน ผู้อาวุโสจวง เย่เซี่ยงโต่ว ถือว่าเป็นคนที่ทำดี ส่วนเล่อเผิงเฉิงคนนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร
บางทีเขาอาจจะดีกับลู่เมิ่งเหยา เพราะว่าเข้าเป็นเพื่อนร่วมตายกับลู่เฟยเฉิน แต่หลัวซิวถือว่าเป็นคนนอก
เล่อเผิงเฉิงก็พาหลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยาเดินทางไปยังที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่
ตอนที่เดินทางผ่านองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวก็ใจเต้น
“พอดีผมนึกได้ว่าจะไปทำธุระที่องค์กรนักล่ายุทธ์หน่อยน่ะครับ ผู้อาวุโสกับเมิ่งเหยา เดินทางไปก่อนเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะตามไปทีหลัง” หลัวซิวพูดแบบนี้ออกไป
“หืม? มีเรื่องสำคัญอะไรที่จะต้องเอาไว้จัดการทีหลังไม่ได้เลยหรือ?” เล่อเผิงเฉิงขมวดคิ้ว
“นั่นสิ หลัวซิว ฉันก็ไม่เห็นได้ยินว่านายมีเรื่องอะไรที่ต้องมาจัดการที่องค์กรนักล่ายุทธ์เลยนะ” ลู่เมิ่งเหยาก็มองไปที่หลัวซิวแปลกๆ เหมือนกัน
พอที่เธอพูดออกมาแบบนี้ เล่อเผิงเฉิงก็เผยสายตามองจิกออกมา ยิ่งมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม ว่าบนตัวหลัวซิวคนนี้ จะต้องมีความลับอะไรแน่ๆ ตอนแรกก็ไม่ยอมเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่ ตอนนี้ก็บอกว่าจะไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์อีก คาดว่าคงจะหาทางปลีกตัวออกไป
จากที่เข้าทำความรู้จักจากสิ่งที่ลู่เมิ่งเหยาเล่าบอกมาทั้งหมด บนตัวหลัวซิวคนนี้คงจะมีความลับไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้สืบทอดของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์คนไหนสักคน มันผิดปกติเกินไป
อายุ14มีพลังระดับชี่ไห่ขั้น6 บางทีอาจจะไม่ได้ดูน่าตื่นเต้นมากนัก แต่ว่าใช้เวลาไม่ถึงปี บรรลุจากแดนกลั่นร่างขั้น2มาถึงแดนชี่ไห่ขั้น6ได้ นี่มันค่อนข้างฝืนชะตาฟ้าแล้ว
เล่อเผิงเฉิงอดใจอยากที่จะลงมือจับตัวหลัวซิวคนนี้ไว้ แต่ว่าเขามองออกว่า หลานสาวเมิ่งเหยาคิดกับหมอนั่นไม่ธรรมดา ถ้าลงมือไป หลานสาวคนนี้จะมองตนเองอย่างไร
พูดจากบางมุมมอง เล่อเผิงเฉิงก็ถือว่าเป็นคนยึดถือคุณธรรมดา ถึงแม้ลู่เฟยเฉินจะตายไปแล้ว ความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องร่วมเป็นตาย ก็ถูกนำมาปฏิบัติต่อลู่เมิ่งเหยาเป็นอย่างดี และจริงใจ
“เหอะๆ ในเมื่อมีเรื่องที่จะไปจัดการ ก็คุณก็ไปเถอะ” เล่อเผิงเฉิงยิ้มพูด สำหรับเขาแล้ว จอมยุทธ์แดนชี่ไห่คนหนึ่ง ขอเพียงยังอยู่ในเขตการปกครองโตว้ไห่ ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขาหรอก
พอเห็นว่าเล่อเผิงเฉิงไม่ลงมือ ในใจหลัวซิวก็โล่งอกไป เขาพูดขอบคุณ แล้วก็เดินไปยังองค์กรนักล่ายุทธ์
หลังจากเข้าประตูใหญ่ไป ด้านมุมหนึ่งของห้องโถงขององค์กรนักล่ายุทธ์ ก็จะมีทางเดินอีกทาง มีแต่พนักงานภายในขององค์กรแสดงตรานักล่าอสูร ก็จะสามารถเข้าออกได้
“สวัสดีค่ะคุณหลัว”
หลังจากเข้าไปด้านในแล้ว ผู้หญิงรูปร่างดีคนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับ แล้วทำความเคารพหลัวซิว
“ผมต้องการจะหาข้อมูลที่นี่หน่อยครับ” หลัวซิวพูดไปตามตรง
“คุณหลัวเชิญตามฉันมาเลยค่ะ”
ภายใต้การนำทางของผู้หญิงคนนี้ หลัวซิวก็มาถึงยังห้องหนึ่ง ผนังทั้งสี่ด้าน ล้วนเป็นชั้นหนังสือ ด้านบนมีหนังสือมากมาย
########################