มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 122 เล่อเผิงเฉิง
บทที่ 122 เล่อเผิงเฉิง
“พวกเราออกไปได้แล้ว”
หลัวซิวลุกขึ้น แล้วหันไปพูดกับลู่เมิ่งเหยา
10วันมานี้เขาศึกษาค่ายกลตลอดเวลา ลู่เมิ่งเหยาก็อยู่เฝ้าข้างๆ ตลอด
“นายรู้เรื่องค่ายกลด้วยงั้นหรือ?” ลู่เมิ่งเหยาพูดด้วยสีหน้าแปลกใจ
เท่าที่เธอรู้มา ตั้งแต่ที่หลัวซิวเข้าสำนักยุทธ์มาตอนอายุ10ขวบ ก็ไม่เคยได้สัมผัสกับเรื่องค่ายกลอะไรเลย ส่วนที่หลัวซิวเพิ่งได้เคยสัมผัสกับค่ายกลเมื่อครึ่งเดือนก่อน แถมยังมีความรู้ไปถึงระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น5อีกด้วย เธอไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
หลัวซิวไม่ได้บอกว่าตนเองมีความรู้ถึงระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น5 เพราะเรื่องนี้มันดูจะเป็นไปได้ยาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าได้ความรู้จากผังกฎดั้งเดิมของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เขาก็ไม่มีทางที่จะมีความรู้ถึงระดับนี้ได้
ในเมื่ออธิบายไม่ได้ หลัวซิวก็เลยไม่พูดดีกว่า เรื่องมันเกี่ยวข้องกับความลับของตนเอง เรื่องแบบนี้หลัวซิวจะบอกกับคนอื่นง่ายๆ ไม่ได้ ต่อให้เป็นคนที่ตนเองสนิทที่สุด ก็ไม่อาจจะบอกกล่าวไปง่ายๆ
“ผมไปเจอภาพเกี่ยวกับค่ายกลของหุบเขากุ่ยอินในถ้ำ”
หลัวซิวหาเหตุผลขึ้นมาอ้าง “เดี๋ยวคุณเดินตามผม เดินตามทุกก้าวห้ามพลาด”
พอเห็นลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า หลัวซิวก็เริ่มออกเดิน เดี๋ยวเดินหน้า เดี๋ยวถอยหลัง บางทีก็ย่ำเท้าที่เดิม หรือไม่ก็หมุนตัวบ้าง
จนกระทั่งสุดท้าย สภาพของหุบเขาก็เปลี่ยนไป จากที่เคยมีต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ก็กลับกลายเป็นรกร้างไร้สิ่งมีชีวิตทันที และทางเข้าออกของหุบเขา ก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว
พอเห็นดังนั้น ลู่เมิ่งเหยาก็เข้าใจขึ้นมาได้ ว่าภาพในหุบเขาก่อนหน้านี้ เป็นแค่ภาพลวงตาจากผลของค่ายกล ความรกร้างถึงจะเป็นสภาพความเป็นจริงของหุบเขากุ่ยอิน
เทพจิตของซูจิ้งหยุนได้แหลกสลายเป็นผุยผงไปแล้ว หินหยินก็ถูกหลัวซิวเก็บมาแล้ว หุบเขากุ่ยอินแห่งนี้ นอกจากจะมีค่ายกลขั้น6ที่เข้าได้ออกไม่ได้แล้วนั้น ก็ไม่มีอันตรายอื่นเลย
หลังจากที่หุบเขากุ่ยอินของเทือกเขากวนเหลยถูกค้นพบแล้วนั้น ก็มีจอมยุทธ์ตายไปไม่น้อย ถ้าไม่มีพลังระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น6 พอเข้าค่ายกลนี้ไป ก็จะถูกขังอยู่ด้านใน
ถึงแม้ในเขตการปกครองหยุนหลงและเขตการปกครองโตว้ไห่จะมีอาจารย์ค่ายกลขั้น5 ถึงแม้จะบอกว่าจะไม่ถูกขังอยู่ด้านใน แต่ก็ปกป้องการแทรกซึมเข้าโจมตีของปราณหยินไม่ได้ คนพวกนั้นที่เคยบุกรุกเข้าหุบเขากุ่ยอิน คงจะถูกซูจิ้งหยุนดูดวิญญาณไปเอามาฟื้นฟูเทพจิตของตนเองไปหมด
ถูกขังอยู่ในหุบเขากุ่ยอินเป็นเวลา10วัน หลัวซิวก็หลุดพ้นจากการตามฆ่าของตระกูลเยี่ยนในเมืองโจว๋ซิงได้
แต่ว่าเขาก็ยังไม่กล้าพาลู่เมิ่งเหยาไปเมืองโจว๋ซิง ในมือก็ยังไม่มียาย้ายร่างไขกระดูกเอาไว้แปลงโฉม ถ้าถูกคนจับได้ ก็จะลำบาก
ทางเดียวก็คือ อ้อมเมืองโจว๋ซิงไป เดินทางไปยังเมืองอื่นๆ ของเขตการปกครองโตว้ไห่ เพื่อตามหาที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่
เหตุที่เกิดในหุบเขากุ่ยอิน และการตื่นฟื้นขึ้นมาของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ทำให้หลัวซิวรับรู้ได้ว่าพลังของตนเองยังคงด้อยมาก ถ้าเจอกับอันตรายร้ายแรง เขาก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอด คงจะพาลู่เมิ่งเหยาไปตลอดไม่ได้
ถ้าซูจิ้งหยุนไม่ได้เลือกหลัวซิว แต่ไปเลือกตัวลู่เมิ่งเหยาล่ะก็ ตอนนี้เธอก็คงกลายเป็นอีกคนไปแล้ว
ดังนั้น เรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือพาลู่เมิ่งเหยาไปส่งที่สำนักเหลยหวู่
แต่ว่า ทั้งสองคนยังไม่ทันออกไปจากเทือกเขากวนเหลยเลย หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ามีตัวสำนึกขนาดใหญ่มาตกลงที่ข้างๆ ตัวเขากับลู่เมิ่งเหยา จากนั้น คนวัยกลางคนในชุดสีม่วงก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของทั้งสองคน
ใสความรู้สึกของหลัวซิว ชายวัยกลางคนชุดม่วงคนนี้มีพลังแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งปรมาจารย์ฝึกจิต
ชายวัยกลางคนชุดม่วงก็มองหลัวซิวนิ่งๆ จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนไปมองลู่เมิ่งเหยา ถึงแม้พวกเขาจะสวมหมวกและผ้าคลุมหน้า แต่ฝั้งตรงข้ามมีตัวสำนึก การแปลงโฉมแบบนี้แทบจะไม่ได้ผล
“เธอก็คือยัยหนูที่มีป้ายบัญชาการเหลยหวู่ใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนชุดม่วงก็ค่อยๆ เอ่ยถามขึ้นมา
พอได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ตกใจ หรือว่าชายวัยกลางคนชุดม่วงคนนี้ก็จะมาแย่งชิงป้ายบัญชาการเหลยหวู่เหมือนกัน?
“ใช่แล้วค่ะ ผู้อาวุโส” ลู่เมิ่งเหยาตอบไปตามตรง
ชายวัยกลางคนชุดม่วงพยักหน้า จากนั้นก็มองหลัวซิว “ไอ้หมอนี่กล้าไม่เบา มีพลังแค่ระดับชี่ไห่ขั้น6 ก็กล้าฆ่าคนของตระกูลเยี่ยน ความกล้าแบบนี้น่าชื่นชม”
พอเห็นว่าหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยามีสีหน้าระแวดระวัง ชายวัยกลางคนชุดม่วงก็พูดขึ้นมานิ่งๆ ว่า “พวกเธอไม่ต้องกังวลไป ผมไม่มาแย่งชิงป้ายบัญชาการเหลยหวู่หรอก ผมคือเล่อเผิงเฉิง เป็นผู้คุ้มกฎของสำนักเหลยหวู่ ได้ยินว่าคนที่ถือป้ายบัญชาการเหลยหวู่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่….”
เล่อเผิงเฉิงยังไม่พูดไม่ทันจบ ลู่เมิ่งเหยาก็พูดอย่างตกใจขึ้นมาว่า “คุณก็คืออาเล่องั้นหรือ?”
ลู่เมิ่งเหยาก็ถอนผ้าปิดหน้าออก “อาเล่อ ฉันคือเมิ่งเหยาเองค่ะ”
“เมิ่งเหยาหรือ?” เล่อเผิงเฉิงแปลกใจก่อน แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็เคลื่อนตัวมาปรากฏตัวตรงหน้าลู่เมิ่งเหยาอย่างรวดเร็ว “เธอคือเมิ่งเหยา ลูกสาวของเฮียลู่งั้นหรือ?”
“อาได้ยินว่าสำนักเซียวเหยาเกิดเรื่อง ไม่รู้ว่าตอนนี้เฮียลู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“พ่อฉัน……”
จากบทสนทนาของลู่เมิ่งเหยาและเล่อเผิงเฉิง หลัวซิวก็รับรู้ว่า ตอนที่ลู่เฟยเฉินหนุ่มๆ นั้น เคยท่องเที่ยวฝึกตนไปพร้อมกับเล่อเผิงเฉิง มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมาก
แต่ป้ายบัญชาการเหลยหวู่เป็นสิ่งของที่สำคัญมากของสำนักเหลยหวู่ คนที่มีป้ายบัญชาการเหลยหวู่ สามารถร้องขอเรื่องอะไรก็ได้เรื่องหนึ่งต่อสำนักเหลยหวู่ ถ้าคำร้องนั้นไม่มากเกินไป สำนักเหลยหวู่ก็จะตอบรับ
แต่เล่อเผิงเฉิงเหมือนจะมีตัวตนไม่ธรรมดาอยู่ในสำนักเหลยหวู่ ตอนนั้นถึงได้ให้ป้ายบัญชาการเหลยหวู่ที่ไม่ธรรมดาอันนี้แก่ลู่เฟยเฉิน
“เหอะ ตระกูลต้วนและตระกูลเยี่ยนของเมืองโจว๋ซิงเบื่อชีวิตแล้วล่ะมั้ง ป้ายบัญชาการเหลยหวู่ของหลานสาวกู ก็ยังกล้ามาแย่งชิง ไม่รู้จักความตายซะแล้ว”
พอได้ยินลู่เมิ่งเหยาเล่ามาทั้งหมด บนตัวของเล่อเผิงเฉิงก็เผยพลังอาฆาตออกมาแรงกล้า ในสายตาของเขา ตระกูลใหญ่ทั้งสองในเมืองโจว๋ซิงแทบจะไม่มีค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ
ถึงแม้หลัวซิวจะมองผลการฝึกตนของเล่อเผิงเฉิงไม่ออก แต่จากการพิจารณาจากพลังชีวิตแล้ว ก็น่าจะเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์รุ่นเดียวกับลู่เฟยเฉิน
“ในเมื่อเฮียลู่ได้จากไปแล้ว ต่อไปเธอก็ติดตามอาไปฝึกฝนที่สำนักเหลยหวู่ก็แล้วกัน เพื่อที่สักวันจะสามารถแก้แค้นให้กับพ่อเธอได้” เล่อเผิงเฉิงกล่าว
“ขอบคุณอามากค่ะ ต่อไปฉันจะพยายามฝึกฝน เพื่อแก้แค้นให้พ่อ” ลู่เมิ่งเหยาก็พูดขึ้นมาอย่างฮึกเหิม
ก่อนหน้านี้หลัวซิวไม่เคยได้ยินลู่เมิ่งเหยาพูดถึงเรื่องแก้แค้นเลย เห็นได้ชัดว่าเธอได้แต่เอาเรื่องแก้แค้นเก็บไว้ในใจอย่างเดียว คนที่สามารถทำร้ายลู่เฟยเฉินจนสาหัสได้ จะต้องเป็นระดับราชายุทธ์แน่ๆ
“อาเล่อคะ นี่คือหลัวซิว มีพรสวรรค์มาก แม้แต่จอมยุทธ์พรสวรรค์ก็สามารถฆ่าได้ ถ้าไม่ได้เขาล่ะก็ เมิ่งเหยาก็คงไม่ได้มาพบคุณอาแล้วค่ะ”
ลู่เมิ่งเหยาแนะนำหลัวซิวให้เล่อเผิงเฉิงรู้จัก แล้วก็เล่าเรื่องที่หลัวซิวฆ่าโกวจินชวนและซงซานเอ้อร์สง
หลัวซิวพูดว่า แย่ลแล้ว ขึ้นในใจ จอมยุทธ์ที่มีพลังแค่ระดับชี่ไห่ขั้น6อย่างเขา สามารถฆ่าจอมยุทธ์พรสวรรค์ได้ ต่อให้เป็นคนโง่ ก็รู้ได้ว่าเขาต้องได้ของดีอะไรมาแน่ๆ
ยิ่งกว่านั้นเล่อเผิงเฉิงคนนี้ เป็นถึงปรมาจารย์โลกยุทธ์ ด้วยความฉลาดของเขา พอได้ยินก็คงจะคาดเดาได้แน่นอน
ไม่ผิด พอได้ยินลู่เมิ่งเหยาพูดขึ้นมา สายตาของเล่อเผิงเฉิงก็มองไปยังตัวหลัวซิว สายตาว่อกแว่กไปมา แล้วยิ้มพูดว่า “พรสวรรค์แบบนี้ ก็สามารถที่จะไปสำนักเหลยหวู่กับอาได้ ขอเพียงแค่ตั้งใจฝึกฝนดีๆ จะได้เป็นศิษย์ใจกลาง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ลู่เมิ่งเหยาเจอเรื่องราวมาน้อย ขาดความคิดที่ล้ำลึก แต่หลัวซิวกลับมองน้ำเสียงและสายตาของเล่อเผิงเฉิงออก ว่ามีสิ่งผิดปกติ
########################