มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1134
หลัวซิวไม่อยากเสียเวลาอยู่กับการตามหายาเซียนต่อ ตามหามาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว แต่ก็เก็บเกี่ยวได้ไม่เยอะมากนัก ดังนั้นเขาจึงมีแผนที่จะกลับออกไปจากที่นี่
ในระหว่างทางกลับ หลัวซิวนำสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิที่อยู่ในมือโยนเข้าไปกลั่นแปรในเตาเทพ ผ่านไปไม่นานนักก็กลั่นอาวุธออกมาได้สองชิ้น
หนึ่งในอาวุธคือกระบี่ยุทธ์หนึ่งเล่ม ซึ่งส่วนวัสดุหลักของกระบี่คือวัสดุระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ผสมด้วยเหล็กเซียนที่ใช้ในการกลั่นอัญมณีแห่งเทพมารเล็กน้อย อีกทั้งมีการสลักสัญลักษณ์ค่ายกลลงไปภายในกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ด้วย
ส่วนอาวุธชิ้นที่สองคือหอคอยเวทย์หนึ่งหลัง ซึ่งแตกต่างจากหอคอยเวทย์ของยอดฝีมือมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ที่ช่วงชิงดอกสายโลหิตกับเขา พลานุภาพของหอคอยเวทย์ที่หลัวซิวกลั่นได้จะรุนแรงกว่า สามารถปราบปรามคู่ต่อสู้ให้ถูกกลั่นแปรอยู่ภายในหอคอยเวทย์ ดูดกลืนพลังของคู่ต่อสู้มาเพิ่มเสริมให้ตน เพิ่มพูนผลการฝึกตนให้กับเจ้าของหอคอยเวทย์
จากแดนกฎของหลัวซิว สมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิสองชิ้นที่เขากลั่นได้นั้น เรียกได้ว่าเป็นสมบัติชั้นยอดแน่นอน
“ถังหยุน ข้าเห็นว่าวิชาที่เจ้าฝึกตนคือวิชาโลกกระบี่ ประสิทธิภาพกระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือเจ้ามันไม่แย่ก็จริง แต่ถ้าหากเจ้าได้ปะทะกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายที่ร่างเนื้อแข็งแกร่งละก็ เจ้าจะไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันของคู่ต่อสู้ได้เลยด้วยซ้ำ”
หลัวซิวเก็บเตาเทพกลับมา นำกระบี่ยุทธ์เล่มนั้นยื่นไปให้ถังหยุนพลางพูด: “เมื่อมีกระบี่ยุทธ์เล่มนี้แล้ว เจ้าจะมีศักยภาพในการท้าทายคู่ต่อสู้ที่อยู่เหนือกว่า ข้าไม่กล้ารับประกันว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าอย่างน้อยตั้งแต่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ลงไป มีน้อยคนมากที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า”
แววตาของถังหยุนเป็นประกายขึ้นมา ก่อนหน้านี้หลัวซิวถ่ายทอดพลังอมตะให้แก่จินเฟยเทียนทำให้นางรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะมอบกระบี่ยุทธ์เล่มหนึ่งให้ตนเร็วเช่นนี้ อีกทั้งดูเหมือนอนุภาคของกระบี่ยุทธ์เล่มนี้จะทรงพลังมาก ๆ ด้วย
นางกล่าวขอบคุณแล้วรับกระบี่ยุทธ์มา ลูบไล้กระบี่ไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน ชอบมากจนวางไม่ลง
ตอนที่หลัวซิวกลั่นกระบี่ยุทธ์เล่มนี้นั้น สิ่งที่เขาคำนึงถึงก็คือจะมอบมันให้กับถังหยุน ดังนั้นรูปแบบในการกลั่นก็เป็นกระบี่ยุทธ์ที่เหมาะสำหรับสตรีเช่นกัน
“สาเหตุที่ข้าไม่ถ่ายทอดวิชาระดับสูงให้แก่เจ้านั้น เป็นเพราะพรสวรรค์และปัญญาของเจ้าค่อนข้างธรรมดา หากฝึกวิชาธรรมดาทั่วไปยังพอไหวอยู่ แต่ถ้าหากถ่ายทอดวิชาระดับสูงให้แก่เจ้า จากพรสวรรค์และปัญญาของเจ้าแล้ว มันจะทำให้เจ้าตระหนักรู้ในแก่นสารของวิชาได้ยากมากยิ่งขึ้น และไม่สามารถฝึกตนบรรลุไปถึงระดับขั้นที่สูงกว่าได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทำให้ความรู้สึกดีใจที่ได้รับกระบี่ยุทธ์เล่มนั้นในเมื่อกี้นี้ของถังหยุนก็จางหายไป สีหน้าอารมณ์ดูหม่นหมองเล็กน้อย
หากมองในมุมชั้นโลกพรสวรรค์และปัญญาของนาง ต้องถูกจัดอยู่ในหมู่คนที่มีพรสวรรค์ขั้นสูงแน่นอน แต่เมื่อมองในมุมโลกเสวียนเทียน นางกลับเป็นได้แค่ศิษย์นอกสำนักของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน ชาตินี้มากสุดก็ขึ้นไปได้ถึงแค่มหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย
“เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม?”นางเอ่ยปากพูดด้วยสภาพจิตใจที่ไม่แน่วแน่ ดูน่าสงสาร
หลัวซิวอดหัวเราะไม่ได้“ข้ายังไม่ได้บอกนะว่าไม่ต้องการเจ้าแล้ว แต่ทว่าหากเจ้าเลือกที่จะติดตามข้าจริง ๆ เช่นนั้นข้าก็พอจะมีวิธียกระดับพรสวรรค์และปัญญาของเจ้าอยู่ ในส่วนของผลสำเร็จในอนาคตของเจ้านั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการตระหนักรู้ของเจ้าอีกทีแล้วล่ะ”
พรสวรรค์และปัญญาเป็นพื้นฐานของนักยุทธ์ หรือแก่นแท้นั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตัดสินความสำเร็จสุดท้ายของนักยุทธ์ว่าจะทำได้มากหรือน้อย
อย่างเช่นผู้ที่มีปัญญาสูง หากบรรลุระดับแดนอย่างต่อเนื่อง สามารถบรรลุไปถึงแดนที่สูงมาก ๆ ได้ และหากเป็นผู้ที่มีปัญญาต่ำ ปัญญาก็จะถูกจำกัด ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถในการตระหนักรู้ที่ดีมากแค่ไหน ก็ยากที่จะบรรลุไปถึงแดนที่สูงลึกได้ หยุดอยู่ในระดับใดระดับหนึ่งและไม่สามารถก้าวข้ามขึ้นไปถึงแดนที่สูงกว่าได้
แต่ในขณะเดียวกันหากมีปัญญาสูง แต่ความสามารถในการตระหนักรู้แย่ ก็ยากที่จะบรรลุไปถึงแดนที่สูงลึกได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วพรสวรรค์ที่แท้จริงไม่ได้มีแค่พรสวรรค์ปัญญาอย่างเดียว ความสามารถในการตระหนักรู้ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน
ความสามารถในการตระหนักรู้เป็นสิ่งที่พูดยากมาก มันมีความเกี่ยวข้องกับโลกกรรศและประสบการณ์ของคนคนหนึ่ง หากได้พบเห็นรู้จักกับทุกอย่างในโลกมามาก สิ่งที่เข้าใจก็จะมีมากยิ่งขึ้นโดยปริยาย และยิ่งตระหนักรู้ในสิ่งที่อยู่ในระดับขั้นที่สูงกว่าได้ง่ายขึ้น