มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 97 ทะเลสาบใหม่ วัดร้าง ดวงดาว (1)
ริมทะเลตะวันออกมีหุบเขาสีเขียวอยู่แห่งหนึ่ง ภายในหุบเขามีหลุมที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นอยู่แห่งหนึ่ง ภายในหลุมมีไอหมอกกระจัดกระจาย สายลมอันเย็นยะเยือกพัดโบกขึ้นมาเป็นระยะ นั่นคือบ่อผ่านฟ้าที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับดินแดนลี้ลับหมิงเฉวียน
เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดฝีมือของเผ่าหมิงหรือว่ากองทัพของเผ่าหมิงปีนออกมาจากบ่อผ่านฟ้า เข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับโลกมนุษย์ บริเวณโดยรอบของที่นี่จึงมีการวางข่ายพลังปิดกั้นที่แข็งแกร่งเอาไว้ทั่ว
ในอดีตแม่ชีเทพแห่งทะเลตะวันออกได้สร้างสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเอาไว้ไม่ไกลจากที่นี่
ดังนั้นถึงแม้ที่นี่จะมีทิวทัศน์งดงาม แต่กลับมิใช่สถานที่ท่องเที่ยว
จิ๋งจิ่วยืนอยู่บนปากหลุม สองมือไพล่หลังมองดูด้านใน คล้ายนักท่องเที่ยวผู้หนึ่ง
ลมอันเย็นยะเยือกม้วนไอหมอก ก่อเกิดเป็นกระแสอากาศปั่นป่วนจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในบ่อผ่านฟ้า น่ากลัวยิ่งกว่าลมพายุที่อยู่บนท้องฟ้า
ตรงตำแหน่งที่สายตามองไปถึงล้วนแต่เป็นความมืด ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าด้านล่างนั้นมีอะไรอยู่
จิ๋งจิ่วจำได้ว่าตัวเองไม่เคยไปดินแดนแห่งหมิงมาก่อน
ตอนนี้ถือว่าเคยไปแล้ว
เป็นเหมือนอย่างที่ในหนังสือเขียนเอาไว้จริงๆ ด้วย บ่อผ่านฟ้ามีทั้งหมดสิบสามชั้น
เขาพลันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเหลียวศีรษะกลับไปมอง
ชิงซานอยู่ทางด้านนั้น
เขามองไปทางด้านนั้นอย่างเงียบๆ ไม่รู้ในใจกำลังคิดอะไรอยู่
ในบ่อผ่านฟ้ามีลมเย็นยะเยือกไหลทะลักออกมา
เขายื่นมือขวาออกไป คล้ายมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นมากระทบฝ่ามือ
เขาใช้จิตจำแนกรับรู้มันอยู่ครู่หนึ่ง ภายในใจเกิดความรู้สึกทอดถอนใจ
นี่ไม่เหมือนกับที่จักรพรรดิแห่งหมิงได้คิดเอาไว้ หลังจากที่ดินแดนหมิงทราบข่าวว่าเขาจากไปแล้ว ทางด้านนั้นก็มิได้ตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นมาทันที หากแต่ตกอยู่ในความวุ่นวาย
หมิงซือต้องทำการสยบทหารที่ทรยศ แล้วก็ยังต้องเจรจากับขั้วอำนาจอื่น หัวหมุนเป็นอย่างมาก
แต่บางทีทั้งหมดนี้อาจจะอยู่ในแผนการที่จักรพรรดิแห่งหมิงได้วางเอาไว้ก็เป็นได้ เพราะความมั่นคงในระยะยาวมักจะเกิดขึ้นมาจากความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่ที่แท้จริง
ในตอนที่ความวุ่นวายในดินแดนหมิงจบสิ้นลง และมีการตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นมา เขาก็จะหาเวลาลงไปดินแดนหมิงด้วยตัวเอง จากนั้นส่งลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงกลับคืนไป
หากเปลี่ยนเป็นศิษย์พี่ เขาจะต้องเป็นคนเลือกจักรพรรดิแห่งหมิงคนใหม่ขึ้นมาด้วยตัวเองแน่ แต่เขามิได้ทำเช่นนั้น
นี่เป็นเรื่องของเผ่าหมิง ควรจะให้เผ่าหมิงเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง
จิ๋งจิ่วหมุนตัวจากไป
บริเวณรอบๆ บ่อผ่านฟ้าล้วนแต่เป็นข่ายพลังปิดกั้น บนปากบ่อมีแผ่นยันต์ติดเอาไว้อยู่ แล้วก็มีอักขระที่สมณะระดับสูงของวัดกั่วเฉิงทิ้งเอาไว้
ลมเย็นยะเยือกสายนั้นและการรั้งอยู่ของเขา ย่อมต้องทำให้คนบางคนรู้ตัว
ผ่านไปไม่นาน หญิงสาวที่หน้าตางดงามหลายคนได้บินมายังปากบ่อ พลางมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าระมัดระวัง แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
“ขอให้อาจารย์ในสำนักแม่ชีส่งจดหมายแจ้งทุกสำนัก เกรงว่าจะมีมารเผ่าหมิงที่ร้ายกาจอย่างมากแอบเข้ามาทางบ่อผ่านฟ้าแล้ว”
หญิงสาวที่เป็นหัวหน้ากล่าวอย่างกังวล “ไม่แน่มันอาจจะคิดทำอะไรกับยันต์เซียนวัฒนะของสำนักจงโจวก็เป็นได้ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น”
พวกนางไม่รู้เลยว่าคนที่ตนเองกังวลถึงผู้นั้น ในเวลานี้ได้เข้าไปในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยแล้ว
สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอยู่ในหุบเขาทางด้านนั้น มีการแบ่งเป็นอารามหน้าหลังเหมือนอย่างวัดกั่วเฉิง แล้วก็มีการแบ่งเป็นอารามด้านนอกด้านใน อารามด้านนอกรับผิดชอบเรื่องราวทางโลก อารามด้านในถึงจะเป็นที่พักของเหล่าแม่ชี
จิ๋งจิ่วบินลงมายังส่วนลึกในสำนักแม่ชี ไม่ได้ทำให้ใครรู้ตัว เพราะที่นี่มีเกี้ยวหลังเล็กที่มีม่านสีเขียวหลังหนึ่งกำลังรอเขาอยู่
ผู้ที่อยู่ในเกี้ยวม่านสีเขียวก็คือผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
เขารู้ความหมายของอีกฝ่าย แต่มิได้หยุดพูดคุยกับอีกฝ่าย เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย
นอกจากเจ้าสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดผู้นี้แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเขามายังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
เรื่องราวความวุ่นวายในทะเลตะวันตกเมื่อสามปีก่อนได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน
ทุกคนต่างคิดว่ากั้วตงตายแล้ว
หากมีคนรู้ว่ากั้วตงถูกเขาพากลับมายังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย พวกเขาก็จะต้องคิดเชื่อมโยงได้อย่างแน่นอนว่าผู้อาวุโสชิงซานที่พานางหนีออกมาจากทะเลตะวันตกผู้นั้นก็คือเขา
ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไร หรือสำนักชิงซานจะกลัวสำนักกระบี่ซีไห่มาสอบถาม?
แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่าในตอนนั้นจิ๋งจิ่วได้ใช้วิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกในการหลบกระบี่ของเทพกระบี่ซีไห่กระบี่
ภาพเหตุการณ์และรายละเอียดเหล่านั้นจะทำให้บางคนนึกถึงคนที่หลบหนีออกมาจากคุกสะกดมารในเมืองเจาเกอ ที่กระทั่งชางหลงก็ยังไล่ตามไม่ทันผู้นั้นขึ้นมาได้
สำนักจงโจวมั่นใจแล้วว่าคนผู้นั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับการตายของชางหลงอย่างแน่นอน หากพวกนั้นรู้ว่าเป็นเขา จะต้องทำให้เกิดปัญหายุ่งยากอย่างแน่นอน
อย่างน้อยเรื่องยันต์เซียนที่เขาอยากจะเอามาแผ่นนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ครั้งนี้เขาจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาที่สำนักจงโจว สุดท้ายตัวตนอาจจะถูกเปิดเผย แต่ถึงตอนนั้นเขาก็น่าจะได้ยันต์เซียนมาอยู่ในมือแล้ว เช่นนั้นจะถูกเปิดเผยตัวตนหรือไม่ก็ช่าง
บนกำแพงในห้องภาวนาถูกเจาะเป็นหน้าต่างทรงกลมขนาดใหญ่ที่ยาวลงมาถึงพื้นบานหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเจาะขึ้นมาใหม่
ด้านนอกหน้าต่างมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ริมทะเลสาบมีดอกไม้และต้นไม้ที่หายากอยู่มากมาย
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่ที่นี่ยังคงอบอุ่นเย็นสบายเหมือนช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้บานสะพรั่ง
ทะเลสาบเพิ่งขุดขึ้นมาใหม่ ต้นไม้เหล่านั้นก็ถูกย้ายเข้ามาใหม่เช่นกัน
ต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างแน่นขนัดเกินไป ภาพที่ปรากฏขึ้นมาย่อมไม่งดงามเหมือนสำนักแม่ชีสามพันแห่งนั้น
หากบอกว่านี่ก็เป็นพัดเล่มหนึ่ง เช่นนั้นระดับฝีมือของจิตรกรผู้วาดภาพก็ดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
จิ๋งจิ่วมองดู ในใจครุ่นคิดว่าเรื่องแบบนี้มันไม่เหมาะกับเจ้าจริงๆ
เขาย่อมไม่มีทางพูดความคิดเหล่านี้ออกไป หากแต่เข็นรถเข็นออกจากห้องภาวนามายังริมทะเลสาบ
เมื่อมาถึงริมทะเลสาบ ต้นไม้และดอกไม้ที่มองเห็นได้ก็มิได้ดูแน่นขนัดเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก หากแต่ดูปลอดโปร่งขึ้นมาเล็กน้อย
กั้วตงส่งเสียงอืมอย่างพึงพอใจ กล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาตัดต้นไม้พวกนี้ทิ้ง”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าหากตัดต้นไม้พวกนี้ทิ้งจนหมด ทะเลสาบโล่งๆ แห่งนี้ก็จะไม่มีอะไรน่าดูอีก
ลมพลันพัดขึ้นมา เกล็ดหิมะร่วงตกลงมาจากต้นไห่ถัง ตกลงมาบนตัวทั้งสองคน
ช่วงเวลาสามปีมานี้ เขากับกั้วตงมิได้พบเจอเรื่องอะไร
การพบเจอเรื่องราวมักจะมิใช่ว่าเรื่องราวรอเราอยู่ที่นั่น หากแต่เป็นตัวเราที่วิ่งเข้าไปหามันต่างหาก
กั้วตงเคยเลือดร้อน ตอนนี้ก็ยังเลือดร้อนอยู่ แต่วันเวลาผ่านไปนานหลายปี การผดุงความยุติธรรมเหล่านั้นได้ทำจนเบื่อแล้ว มิได้เที่ยววิ่งไปหาเรื่องเหมือนอย่างในอดีตอีก
ในตอนนั้นเจ้าล่าเยวี่ยก็มีความรู้สึกแปลกใหม่กับเรื่องแบบนี้ กระบี่มิคำนึงถึงได้อาบเลือดมากมายขนาดนั้น
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนจิ๋งจิ่วก็ล้วนแต่ไม่สนใจ เขาเพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนอย่างเงียบๆ
เมื่อคิดถึงเจ้าล่าเยวี่ย ความรู้สึกแปลกๆ ก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จิ๋งจิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อย
ในทะเลสาบมีหญ้าน้ำเพียงเล็กน้อย หมู่ปลาแหวกว่ายอย่างเอื่อยๆ
กั้วตงมองทะเลสาบ กล่าวถามว่า “มีเรื่อง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าจะไปแล้ว”
กั้วตงครุ่นคิดเล็กน้อย กล่าวว่า “รักษาตัวด้วย”
ความจริงจิ๋งจิ่วสามารถจากไปตั้งแต่ตอนที่อยู่ตรงบ่อผ่านฟ้าได้เลย แต่เขากลับมาที่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเพื่อจะบอกลานาง
ด้วยนิสัยของกั้วตง นางควรจะพูดว่าไม่ส่ง แต่ที่นางพูดว่ารักษาตัวด้วย ก็เป็นเพราะนางรู้ว่าเขายังจะกลับมาอีก
พร้อมกับยันต์เซียนวัฒนะ
จิ๋งจิ่วเข็นนางกลับมายังห้องภาวนา จากนั้นจากไป
กั้วตงนั่งอยู่บนรถเข็น มองดูนอกหน้าต่าง มิได้เหลียวหน้ากลับมา
ต้นไม้และดอกไม้ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างแน่นขนัดไปจริงๆ
นางเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่ค่อยชอบใจ จึงให้คนมาตัดทิ้ง
ต้นไม้ถูกตัดทิ้งจนหมด จากนั้นถูกขนออกไป
เบื้องหน้าเปิดโล่ง
กั้วตงมองดูเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เมฆสีขาวลอยออกมาจากในทะเลสาบ ทิ้งเงาเอาไว้ในหุบเขาสีเขียว
จิ๋งจิ่วเดินออกไปจากสำนักแม่ชี จากนั้นหยุดฝีเท้า เงยหน้ามองท้องฟ้า มองดูก้อนเมฆ
……
……
ในที่แห่งหนึ่งมีภูเขาที่ไม่มีชื่ออยู่ลูกหนึ่ง ในภูเขามีวัดร้างอยู่แห่งหนึ่ง
ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ทุกอย่างดูอ้างว่างโดดเดี่ยว ทางขึ้นเขาถูกวัชพืชปกคลุม ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินผ่านมาแม้แต่คนเดียว แต่คืนนี้ภายในวัดร้างกลับมีคนอยู่มากมาย
เมื่อเทียบกับโลกมนุษย์แล้ว ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้นมีการนัดหมายอยู่มากมาย
ภายในวัดร้างในภูเขาที่ไร้ซึ่งผู้คน ทันทีที่กองไฟถูกจุดขึ้นมา เหล่าผู้บำเพ็ญพรตก็จะมารวมตัวกันเหมือนผีเสื้อกลางคืน
แน่นอน เงื่อนไขสำคัญก็คือความปลอดภัย
ที่นี่ไม่ไกลจากเขาอวิ๋นเมิ่ง อยู่ชายขอบของแผ่นดิน ย่อมไม่มีคนของพรรคมารมาก่อความวุ่นวายที่นี่
กองไฟทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังสามารถแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกันได้อย่างไม่มีอุปสรรค
ก็เหมือนกับเหลาสุราและหอนางโลมของโลกมนุษย์
ข้างกองไฟภายในวัดร้างมีคนนั่งอยู่
หลายคนต่างสวมหมวกลี่เม่า ไม่ยินยอมที่จะให้คนอื่นรู้สถานะของตน
ชายศีรษะล้านสามคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นยิ่งดูสะดุดตา
……………………………………………………..