มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 185 ลำแสงกระบี่และเงานกร่วมฉลองปีใหม่ (1)
เมื่อเห็นภาพนี้ อินซานไม่พูดอะไรอีก หากแต่หมุนตัวกลับไป สองมือไพล่หลัง เริ่มตั้งใจบิน
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่บนกระบี่มิคำนึง ด้านหนึ่งก็พยายามบรรลุสภาวะ อีกด้านหนึ่งก็ไล่ตาม
บนท้องฟ้ามิได้มีคนของตระกูลไป๋อย่างที่ว่าเลย
ภายใต้อานุภาพอันน่ากลัวของข่ายพลังกระบี่ชิงซาน สำนักจงโจวได้รับตัวฉีหลินถอยกลับไปทางเหนือตั้งนานแล้ว ไหนเลยยังจะกล้ารั้งรออยู่ที่นี่อีก
บนฟ้าดินมีเพียงลำแสงกระบี่สีแดงและเงาของนกยักษ์สายหนึ่ง
ลำแสงกระบี่และเงานกบินอยู่ในป่า
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงบรรลุสภาวะไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าอาการบาดเจ็บจากการถูกปราณกระบี่กลืนกินยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าของนางยิ่งขาวซีด สายตายิ่งดูเลือนลาง แต่ความเร็วในการขี่กระบี่กลับมิได้ลดลงเลย
ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวนางที่อยู่ในสภาวะขั้นคเนจรระดับต้นนั้นทำแบบนี้ได้อย่างไร
ถึงแม้เมื่อก่อนนางจะเคยนั่งอยู่บนยอดเขากระบี่มาเป็นเวลาหลายปี ถึงแม้นางจะเป็นร่างกระบี่ไร้ลักษณ์หลังกำเนิด แต่นางจะแบกรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้อย่างไร
หากเปลี่ยนเป็นตัวนางในเวลาปกติ เวลานี้นางก็น่าจะยอมแพ้ไปแล้ว
ความกล้าและความมุ่งมั่นมิได้หมายความว่าจะเอาแต่เดินไปข้างหน้า ไม่สนใจทางถอยหนี ไม่แยแสความเป็นความตาย โดยเฉพาะหลังจากที่จิ๋งจิ่วสอนนางมานานหลายปีขนาดนี้
แต่วันนี้นางไม่มีทางยอมแพ้ เพราะนางเข้าใจในหลายๆ เรื่องแล้ว
เหตุใดเมื่อหลายปีก่อน เห็นๆ อยู่ว่านางสามารถบรรลุสภาวะขั้นคเนจรระดับกลางได้ แต่จิ๋งจิ่วกลับไม่อนุญาต
เหตุใดจิ๋งจิ่วถึงจับนางโยนไปด้านนอกตำหนักฌานหลังนั้น แล้วเจอกับปรมาจารย์ไท่ผิง
เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่มีคำตอบ
อย่างเช่นเรื่องที่จับนางโยนไปด้านนอกตำหนักฌาน
เจตนาของจิ๋งจิ่วนั้นชัดเจน
นางมิอาจปล่อยให้เขาหลุดรอดไปได้
ตอนนี้จิ๋งจิ่วเกิดเรื่อง เป็นตายอย่างไรไม่รู้
นางยิ่งมิอาจปล่อยเขาหลุดมือไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังจะฆ่าเขาด้วย
……
……
ในป่าอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า พลันมีภูเขาสูงลูกหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ภูเขาสูงย่อมหนาวเหน็บ ยิ่งสูงขึ้นไป ต้นไม้ก็ยิ่งบางตา โดยเฉพาะหน้าผาสูงชันที่กำลังพุ่งเข้ามาด้านหน้าล้วนแต่เป็นหินทั้งหมด ดูคล้ายยอดเขากระบี่ของชิงซานอยู่ทีเดียว
ที่นี่อยู่ห่างจากชิงซานเป็นหมื่นลี้ นั่นย่อมมิใช่ยอดเขากระบี่
หากไม่เปลี่ยนทิศทาง ก็จะต้องชนเข้ากับหน้าผานั้นอย่างแน่นอน อินซานสีหน้าเยือกเย็น ยังคงพุ่งไปข้างหน้า มิได้ลดความเร็วและมิได้เปลี่ยนทิศทาง คล้ายว่าจะพุ่งชนเข้าไป
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงไม่สามารถบรรลุสภาวะได้ อาการบาดเจ็บภายในยิ่งรุนแรง โอสถกระบี่ปั่นป่วน มีทีท่าว่าจะแตกสลาย
หากโอสถกระบี่แตกสลายไปจริงๆ ผลที่ตามมาอย่างเบาก็คือสภาวะทั้งหมดสลายหายไป จำเป็นต้องฝึกใหม่ตั้งแต่ต้น อย่างหนักก็คือตาย
ใบหน้านางขาวซีดเหมือนหิมะ มุมปากมีคราบเลือด ไม่รู้ว่าระหว่างทางนางกระอักเลือดออกมากี่ครั้ง แต่สายตานางยังคงแน่วแน่
ถึงแม้อินซานจะมีวิชาหลบหนีอะไรสักอย่างที่สามารถเข้าไปในภูเขาได้ นางก็จะตามเขาเข้าไป
อินซานบินมาถึงด้านหน้าหน้าผา จู่ๆ พลันหยุดลง จากนั้นหมุนตัวยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง
ดูคล้ายเป็นการเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ แต่ความจริงแล้วกลับน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
การหยุดอย่างกะทันหันในขณะที่บินด้วยความเร็วสูงนั้นถือเป็นเรื่องที่ผิดหลักธรรมชาติ นี่คือหลักการขยับคล้ายมิได้ขยับอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ขั้นสูงสุดก็ยากจะทำได้อย่างสมบูรณ์
ทั่วทั้งแผ่นดินนี้น่าจะมีเพียงอินซานและจิ๋งจิ่วเพียงสองคน หรือไม่ก็ยอดฝีมือของดินแดนหมิงอีกสองสามคนถึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้
ตอนที่ฉีหลินถูกจิ๋งจิ่วแทงเข้าที่ไหล่ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะหลักการเดียวกัน
เจ้าล่าเยวี่ยบินตรงเข้าไปทางหน้าผา
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น
นิ้วที่ดูปกตินิ้วนั้นจิ้มลงไปบนกลางหัวไหล่ของเจ้าล่าเยวี่ยพร้อมกับเจตน์กระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างมากสายหนึ่ง
หากนางมิได้เป็นร่างกระบี่ไร้ลักษณ์หลังกำเนิด บางทีในเวลานี้คงจะถูกเจตน์กระบี่สายนี้แทงทะลุจนตายไปแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่อาจทนรับได้ ตกลงมาจากบนกระบี่มิคำนึง ร่วงตกลงไปยังด้านล่างหน้าผาอย่างไร้ซุ่มเสียง
สมแล้วที่เป็นนักพรตไท่ผิงผู้เป็นปรมาจารย์แห่งชิงซาน ท่องทะยานไปทั่วโลกมนุษย์และดินแดนหมิง ลงมือโจมตีครั้งแรกก็ทำให้นางจนตรอกได้ขนาดนี้
ดูคล้ายลงมือโจมตีอย่างง่ายๆ แต่ความจริงกลับแอบซ่อนประสบการณ์และแผนการจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
หน้าผาคือฟ้าดิน เคลื่อนไหวคล้ายมิเคลื่อนไหวคือความได้เปรียบ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าในขณะที่เจ้าล่าเยวี่ยพยายามบรรลุสภาวะมาจนถึงตอนนี้ เวลานี้นับเป็นช่วงเวลาที่นางอ่อนแอที่สุดแล้ว
อินซานมิได้มองดูเจ้าล่าเยวี่ยที่ร่วงตกลงไป หากแต่สะบัดแขนเสื้อเบาๆ ใช้พลังเต๋าออกมา ซ่อนตัวเข้าไปในป่า
เสียงฉัวะเบาๆ ดังขึ้น
กระบี่มิคำนึงพลันขยับขึ้นมาด้วยความเร็วสูง พุ่งผ่านตัวเขาไปพร้อมกับลำแสงกระบี่สีแดง
หัวไหล่ของอินซานมีรอยแผลเกิดขึ้นรอยหนึ่ง
ขลุ่ยกระดูกแท่งนั้นไม่รู้ว่าลอยมาอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไร
หากมิเป็นเพราะมีขลุ่ยกระดูกคุ้มครองร่างกาย เกรงว่ากระบี่มิคำนึงคงจะฟันตัวเขาขาดออกเป็นสองท่อนไปแล้ว
หากไม่มีดวงจิต ต่อให้เป็นกระบี่ชั้นเซียนก็ไม่สามารถบินออกไปสังหารศัตรูด้วยตัวเองได้ กระทั่งกระบี่ไร้อัตตาก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะมีดวงจิต กระบี่มิคำนึงย่อมไม่สามารถทำได้
นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าล่าเยวี่ยยังไม่ตาย
กระบี่มิคำนึงมิได้หยุด มันแปลงกายเป็นลำแสงสีแดงบินลงไปยังด้านล่างหน้าผาด้วยความเร็ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจ้าล่าเยวี่ยก็เหยียบกระบี่บินกลับขึ้นมาตรงหน้าหน้าผา
สีดำที่อยู่ในม่านตาของนางยิ่งเป็นสีดำ สีขาวยิ่งเป็นสีขาว ดูเจิดจ้าเป็นยิ่งนัก
ดวงตาคู่นี้เพียงพอที่จะดึงดูดทุกสายตาเอาไว้ ทำให้คนไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าที่ขาวซีดและเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของนาง
สิ่งที่ยากจะจินตนาการได้มากกว่านั้นก็คือพลังที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายของนางเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ราวกับเป็นสายธารที่ทะลุผ่านหุบเขาอันมืดมิดออกมา จากนั้นไหลมาถึงป่าสนอันเงียบสงบ
การโจมตีของอินซานเมื่อครู่นี้เด็ดขาดเป็นอย่างมาก เด็ดขาดจนนางมิอาจหลบได้ แต่เมื่อเจตน์กระบี่อันสงบนิ่งสายนั้นเข้าไปในร่างกายของนาง มันกลับไปกระตุ้นโอสถกระบี่ที่กำลังจะแตกสลายให้ทำการโจมตีกลับ!
วิถีกระบี่ชิงซานเน้นหนักเรื่องในก่อนนอกทีหลัง เจตน์กระบี่และโอสถกระบี่ขัดแย้ง ทำให้นางมีเวลาที่จะควบคุมเจตน์กระบี่ที่กำลังปั่นป่วนได้
ในขณะที่นางร่วงหล่นลงไปด้านล่างหน้าผา นางรักษาใจแห่งเต๋า เจตน์กระบี่กลับคืนสู่ความสงบ ทั้งสองประสานกันได้สำเร็จ เข้าสู่คเนจรระดับกลาง!
ผลลัพธ์แบบนี้ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึง อินซานคิดไม่ถึง เจ้าล่าเยวี่ยเองก็คิดไม่ถึง
สิ่งที่นางคิดถึงนั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง
จากวัดกั่วเฉิงมาถึงที่นี่ อินซานไม่ได้ลงมือโจมตีเลย แต่ในเวลานี้จู่ๆ เขากลับลงมือโจมตี ดูแล้วเหมือนว่าเขาเลือกสภาพแวดล้อมและจังหวะลงมือได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เหตุใดถึงไม่คิดว่ามันเป็นเพราะเขารู้สึกว่าไม่มีหวังที่จะสลัดนางทิ้งได้ จึงกระวนกระวายใจขึ้นมา ถึงได้ยอมเสี่ยงลงมือโจมตี?
“ท่านกลัวแล้ว” เจ้าล่าเยวี่ยมองดูดวงตาของชิงซานพลางกล่าว
อินซานนิ่งเงียบไปครู่ ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาด ข้าน่าจะฆ่าเจ้าก่อนแล้วค่อยหนีไป”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตอนนี้สภาวะข้าสูงกว่าท่าน หรือท่านยังจะฆ่าข้าได้?”
“หากสภาวะสูงหมายความว่าร้ายกาจ อย่างนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญพรตยังจะมีการต่อสู้ที่น่าเบื่ออยู่มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ตอนที่เจอหน้ากันก็แค่ประกาศสภาวะของตัวเองออกมาเสียก็สิ้นเรื่อง”
อินซานค่อยๆ หุบยิ้ม มองนางพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ต่อให้ข้าฆ่าเจ้าตอนนี้มันก็ยังไม่สาย”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก หากแต่เปิดฉากโจมตี
สภาวะของนางในตอนนี้สูงกว่าอินซานอยู่หน่อย กระบี่มิคำนึงเองก็เป็นกระบี่ที่เร็วที่สุดในบรรดากระบี่หลักของยอดเขาทั้งเก้า สามารถไล่ตามอินซานได้อย่างสบายๆ
อินซานไม่อยากสู้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสู้
ลำแสงกระบี่สีแดงส่องสว่างหน้าผา ฟาดฟันออกไปอย่างดุดันเกี้ยวกราด
วิชาที่เจ้าล่าเยวี่ยใช้ย่อมต้องเป็นเคล็ดกระบี่เก้ามรณาของยอดเขาเสินม่อ
ตายเก้าครั้งก็ไม่เสียใจ
หลังนักพรตจิ่งหยางจากไปแล้ว บนโลกนี้ก็มีเพียงนางที่ใช้เคล็ดกระบี่นี้ได้
ความจริงแล้วก็มีเพียงนางที่เหมาะสมกับเคล็ดกระบี่นี้มากที่สุด
เสียงเสียดสีสิบกว่าเสียงดังแน่นขนัด
เจ้าล่าเยวี่ยเหยียบกระบี่ถอยออกมาสิบกว่าจ้าง มองดูอินซานที่ลอยอยู่ตรงด้านหน้าหน้าผา สีหน้าดูคร่ำเคร่ง
บนไหล่ซ้ายของนางมีรอยแผลที่มองไม่เห็นรอยหนึ่ง
สิ่งที่ให้นางบาดเจ็บก็คือขลุ่ยกระดูกแท่งนั้น