มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 62 ลิขิตสวรรค์สองประโยค
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่เดินออกมาจากในกระท่อมเก่าก็คือลั่วไหวหนาน
ศิษย์อันดับหนึ่งของเจ้าสำนักจงโจว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์อย่างไร้ข้อกังขา ทั้งยังมีฉายาอีกมากมาย แต่ก็ล้วนมิอาจสู้ชื่อของเขาได้
เมื่อมองดูดวงตาสีดำขาวตัดกันอย่างชัดเจนของเจ้าล่าเยวี่ย ทั้งคิดถึงลำแสงเย็นยะเยือกก่อนหน้านี้ ลั่วไหวหนานพลันรู้สึกคร่ำเคร่งขึ้นมา
เขาย่อมต้องรู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยคือใคร
อายุเท่านี้ก็มีสภาวะสูงส่งถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ว่าไปอยู่ในสำนักไหนก็ย่อมต้องเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดอย่างแน่นอน
เพียงแต่สำหรับเขาแล้ว อีกฝ่ายยังอายุน้อยเกินไป สภาวะยังตื้นเขิน ยังต้องใช้เวลาอีกนานถึงจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงได้
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ใจแห่งกระบี่ของเจ้าล่าเยวี่ยในตอนนี้จะแหลมคมถึงเพียงนี้
สมแล้วที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด อีกทั้งไม่ใช่แค่เพียงเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดด้วยอย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นความจริง หนานซานพูดถูก นางฝึกฝนวิชาอันสุดแสนจะอันตรายนั้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้ว
ใช้เจตน์กระบี่หลอมกายามาฝึกฝนจนกลายเป็นร่างแห่งกระบี่หลังกำเนิดได้จริงๆอย่างนั้นหรือ?
เจ้าล่าเยวี่ยสืบเท้าเดินหน้าไปหนึ่งก้าว
ลั่วไหวหนานมองนางอย่างสงบนิ่ง นิ่งเงียบรอให้นางเอ่ยปากออกมา
เห็นได้ชัดเจน เขาระมัดระวังขึ้นอย่างมาก ซึ่งนี่ก็ถือเป็นความเคารพ
ในเวลานี้เอง จิ๋งจิ่วยกมือซ้ายขึ้นมา
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา มิได้กล่าวกระไร หากแต่ถอยกลับไปยืนอยู่ข้างกายเขา
ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้านและศาลาหนานซง หลิ่วสือซุ่ยมองเห็นลักษณะมือของเขาหรือสายตาของเขา ก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
ตอนนี้เจ้าล่าเยวี่ยเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ลั่วไหวหนานตกใจ
บนโลกนี้ เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกตกใจได้นั้นมีน้อยมาก
เพราะเขารู้สึกคาดไม่ถึง
ไม่ว่าจะเป็นสำนักชิงซานหรือว่าโลกปุถุชน ชื่อเสียงของเจ้าล่าเยวี่ยล้วนแต่โด่งดัง
จิ๋งจิ่วนั้นดูคล้ายผู้ติดตามมากกว่า หากไม่เป็นเพราะมีใบหน้าที่งดงามจนถึงที่สุดนั้น และแสดงความสามารถออกมาให้เห็นบางครั้งบางคราว เกรงว่าเขาคงจะไร้ชื่อเสียงไม่มีใครสนใจยิ่งกว่านี้
แต่ภาพที่เกิดขึ้นในเวลานี้กลับแสดงให้เห็นว่ายอดเขาเสินม่อมีจิ๋งจิ่วเป็นผู้นำ!
นี่เป็นเพราะเหตุใด
ลั่วไหวหนานพลันคิดถึงข่าวลือหนึ่งขึ้นมา
ในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ของชิงซานครั้งนี้ ก่อนที่จิ๋งจิ่วจะหักกระบี่ของหนานซาน เขาได้ใช้แผนการเอาชนะกู้หานของยอดเขาเหลี่ยงว่าง
ได้ยินว่าในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั้น มิรู้ว่าจิ๋งจิ่วใช้วิชาอะไร เขาพุ่งตัวออกไปสิบกว่าจ้างพร้อมกับเงากระบี่เป็นสายๆ
มีอาจารย์ของชิงซานบางท่านสงสัยว่านั่นคือร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิด!
สำนักชิงซานคิดอยากจะปกปิดข่าวนี้ แต่ในเวลานั้นมีดวงตาตั้งมากมายมองดูภาพเหตุการณ์นั้นอยู่ มีหูตั้งมากมายคอยฟังอยู่ แล้วจะปกปิดข่าวนี้เอาไว้ได้อย่างไร สุดท้ายมันก็เล็ดรอดออกมายังนอกสำนัก
ในตอนที่ทราบข่าวลือนี้ เดิมลั่วไหวหนานไม่เชื่อ
แต่ในเวลานี้เมื่อได้เห็นภาพนี้ เขาพลันเกิดความคิดที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมา
หรือข่าวลือจะเป็นจริง ไม่ใช่ข่าวเท็จที่ทางสำนักชิงซานจงใจปล่อยออกมาเพื่อปั่นหัวสำนักงานอื่น
หากนี้เป็นความจริง ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดและร่างกระบี่หลังกำเนิด หลังจากนี้ยอดเขาเสินม่อ…จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?
จิ๋งจิ่วมิได้ให้เจ้าล่าเยวี่ยพูด ส่วนตัวเองก็มิได้พูดเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องเหล่านี้เดิมมันก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่จำเป็นต้องพูดกับคนอื่น
ลั่วไหวหนานจ้องมองดูเขา มิได้กล่าวกระไรอีก เขายกมือขึ้นมาทำการคารวะทุกคน ก่อนเดินจากไป
ยังมีรายละเอียดอีกเรื่องหนึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขามิได้กล่าวอะไรกับชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นเลย กระทั่งมองก็มิได้เหลือบมองดู
บริเวณนั้นกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
ลั่วไหวหนานจากไปแล้ว วันนี้สิทธิ์ในการเข้าพบเทียนจิ้นเหรินน่าจะยังเหลืออีกสองที่ แต่ในเวลานี้ด้านนอกกระท่อมยังเหลือคนอีกห้าคน
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ
ชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นกล่าวเสียดสีเล็กน้อย “กระทั่งลั่วไหวหนานที่บุ่มบ่ามมุทะลุก็ยังมิกล้าทำอะไร ดูเหมือนจิ๋งจิ่วที่ร่ำลือกันจะมีความลับอยู่มากมายจริงๆ เจ้ากังวลว่าจะถูกท่านอาจารย์เทียนมองออกสินะ?”
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจเขา หากแต่กล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยว่า “กังวลเหรอ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”
หากอาจารย์ที่อยู่ในกระท่อมผู้นั้นสามารถทำนายอนาคต คำนวณการเกิดการตาย ชี้ทางสู่สวรรค์ได้อย่างที่ร่ำลือกันจริงๆ มีผู้ใดบ้างที่จะยอมพลาดโอกาสนี้?
แต่ภายในใจของนางก็ปิดบังความลับเอาไว้มากมาย ไม่ยินยอมที่จะถูกอาจารย์ผู้นั้นมองออก
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความลับอะไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เรื่องที่เจ้ารู้พวกนั้น”
คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
แต่คนที่ฟังอยู่ข้างๆ กลับรับรู้ได้ถึงความหมายอย่างอื่นอีกหลายอย่าง
อาทิความใกล้ชิดและความเชื่อใจอย่างไร้ความเคลือบแคลงสงสัย
พระสนมหูกรอกตา มิได้กล่าวกระไร
“ท่านอยากจะพูดว่าช่างเป็นคู่ชายหญิงที่ไร้ยางอายเสียจริงใช่หรือเปล่า?”
สาวน้อยเซ่อเซ่อหัวเราะฮี่ๆ พลางกล่าว
พระสนมหูยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก ยิ้มอย่างมีเสน่ห์พลางกล่าวว่า “เจ้าพูดเองนะ อย่ามาโทษข้าล่ะ”
เมื่อเห็นอากัปกิริยาที่นางแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นพลันขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย มิได้ปกปิดความรู้สึกรังเกียจของตนเองเลยแม้แต่นิดเดียว
ในเวลานี้เอง เด็กรับใช้ผู้หนึ่งได้เดินออกมาจากในกระท่อม
เขาเดินมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มชุดแพร ทำการคารวะพร้อมกล่าว “ท่านอาจารย์บอกว่า เรื่องราวเกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ไม่อาจดูได้ ขอคุณชายกลับไปเสียเถิด”
ชายหนุ่มชุดแพรผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นไม่รู้ครุ่นคิดอะไร สีหน้าดูเหม่อลอย
แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิส่องทะลุกิ่งก้านของต้นเหมยลงมา ตกกระทบลงบนใบหน้าของเขา จุดแสงเหล่านั้นมิได้ทำให้ใบหน้าเขาดูแปลก หากแต่ยิ่งทำให้ดูงดงามสดใส
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องประกายระยิบระยับ โครงหน้าของเขายิ่งดูชัดเจนขึ้น คล้ายกับภาพตรงหน้าที่เขาเห็นอยู่ในขณะนี้ นี่ทำให้มุมปากของเขาค่อยๆ ยกขึ้นมา
ชายหนุ่มชุดแพรออกไปจากป่าเหมยพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ เขาเดินออกไปคนละทางกับลั่วไหวหนาน
พระสนมหูไม่เข้าใจ สายตามองดูแผ่นหลังของชายหนุ่มชุดแพรที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป พลางกล่าวเยาะเย้ยเสียงเบาๆ ขึ้นมาสองสามประโยค
เซ่อเซ่อที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างเห็นใจขึ้นมา “เขาเข้าใจความหมายของประโยคนั้นแล้ว ถึงได้ยิ้มออกมา”
พระสนมหูงุนงง กล่าวว่า “หมายความว่าอะไร? ท่านอาจารย์เทียนไม่ยอมให้เขาพบไม่ใช่หรือ?”
“อาจารย์เทียนบอกว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์….”
เซ่อเซ่อเน้นเสียงตรงคำว่าลิขิตสวรรค์
ในที่สุดพระสนมหูก็เข้าใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนขึ้นมาทันที นางย่อมต้องรู้ว่าชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นอยากจะถามอะไร ซึ่งนั่นก็คือลิขิตสวรรค์…
เซ่อเซ่อมองดูนางพลางปลอบว่า “เช่นนี้แล้ว ท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องถามแล้วล่ะ แม้นจะให้กำเนิดลูกชายได้จริง ก็ไม่อาจเป็นรัชทายาทได้ กลับจะทำให้ต้องมานั่งกังวลหวาดกลัว เหตุใดต้องลำบากเช่นนั้นเล่า”
พระสนมหูร่างกายโงนเงนเล็กน้อย สีหน้าขาวซีด กล่าวอะไรไม่ออก
ผู้ใดต่างก็คิดไม่ถึง เด็กรับใช้ผู้นั้นเดินมาตรงหน้าพระสนมหู ทำการคารวะ ทั้งกล่าวคำพูดที่เหมือนกัน
“ท่านอาจารย์บอกว่า เรื่องราวเกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ไม่อาจดูได้ ขอพระสนมกลับไปเสียเถิด”
พระสนมหูตกตะลึง หลังจากนั้นบนใบหน้าพลันมีสีหน้ายินดีอย่างมากปรากฏขึ้นมา นางกล่าวขอบคุณหลายครั้ง ก่อนเดินออกไปจากป่าเหมยโดยไม่ได้หันกลับมาอีก
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด หญิงสาวผู้นี้อยู่ในวังมาได้นานขนาดนี้ ดูเหมือนนิสัยของฮ่องเต้จะยังไม่เปลี่ยน ยังคงใจกว้างมีเมตตา เพียงแต่เหตุใดไม่สั่งสอนลูกชายให้ดี?
สีหน้าเจ้าล่าเยวี่ยเคร่งขรึมขึ้นมา สีหน้าของหญิงสาวแห่งสำนักเสวียนหลิงเองก็เคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน
อากัปกิริยาของชายหนุ่มชุดแพรและพระสนมหูนั้นมิได้ต่างอะไรกับชาวบ้านธรรมดาที่อยู่ในเมืองเจาเกอเลย บทสนทนาเหล่านั้นฟังดูคล้ายคำพูดนินทาของเพื่อนบ้าน
แต่เมื่ออยู่นอกสวนดอกเหมย พวกเขาคือบุคคลที่สามารถส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งราชวงศ์ได้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ คำพูดที่เด็กรับใช้ผู้นั้นกล่าวออกมา มีความเป็นไปได้สูงว่านั่นจะเป็นอนาคตของราชวงศ์มนุษย์
เพียงแต่คำพูดของอาจารย์เทียนจิ้นเหรินที่เด็กรับใช้ถ่ายทอดออกมานั้นเหมือนกัน นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
…………………………………………………