ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - ตอนที่ 36 ตกใจกลัว
ฉากที่หอมหวาน!
ในตอนเที่ยง จินฮู่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เต็มใจซะเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เค้าก็ทนไม่ไหวที่จะมาที่นี่เพื่อขอยานี้ด้วยตัวของเค้าเอง
จินเฉิงเองก็คาดการณ์ฉากนี้ไว้นานแล้ว เค้าปัดนิ้วของเค้าไปมาแล้วพูดว่า: "ตอนนี้ราคาของมันก็ขึ้นแล้ว เม็ดละห้าร้อยล้าน"
มุมปากของจินฮู่ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ ไอ่เด็กนี้มันโลภมากจริงๆ
"ถ้าไม่อยากได้หละก็ ฉันจะได้เอาไปให้คนอื่น" ฉินเฉิงก็ทำท่าว่าจะปิดประตู
จินฮู่ก็รีบคว้าฉินเฉิงเอาไว้แล้วพูดขึ้นมาว่า: "ฉันต้องการมัน ฉันต้องการมันทั้งหมด"
ฉินเฉิงก็ส่งยาเม็ดเล็กๆ ที่เค้าปรุงขึ้นมาเมื่อก่อนหน้านี้ให้กับจินฮู่ในทันทีแล้วพูดว่า: "ทั้งหมดอยู่ที่นี่"
จินฮู่ก็ผงะแล้วก็พูดขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วมว่า: "ตอนนี้ผมไม่ได้เอาเงินมา….."
"นายเอาไปก่อนก็แล้วกัน จากนั้นพรุ่งนี้ค่อยเอาเงินมา" ฉินเฉิงก็กล่าวขึ้นมา
จินฮู่ก็กินยาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า: "คุณฉิน คุณไม่กลัวว่าฉันจะเบี้ยวแล้วหนีไปอย่างงั้นเหรอ?"
ฉินเฉิงก็หัวเราะเยาะขึ้นมาแล้วพูดว่า: "นายกล้าเหรอ?"
จินฮู่ก็สั่น เค้ายิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า: "เดี๋ยวตอนที่ฉันจะเอาเงิน ฉันค่อยโทรหานายทีหลัง….."
ราคาห้าร้อยล้านหยวนนี่ สำหรับคนธรรมดาแล้วมันเป็นราคาที่สูงเสียดฟ้าเลย
แต่สำหรับจินฮู่แล้ว มันก็เป็นราคาที่ตรงไปตรงมา
เมื่อเค้าตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงก็ได้รับเงินจากจินฮู่
เค้ามองดูยอดเงินในมือถือ ฉินเฉิงเองก็อดไม่ได้ที่จะตบเข้าไปที่ใบหน้าของตัวเอง
เงินกว่าพันล้านหยวน นี่มันก็ทำให้เค้ารู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง
"ด้วยเงินจำนวนนี้แล้ว ฉันก็ควรจะไปที่เมืองจิงได้แล้วสินะ" ฉินเฉิงก็คิดกับตัวเอง
หลังจากผ่านไปซักพัก ซูหวานก็โทรเข้ามา
เธอพูดทางโทรศัพท์ว่า: "ฉันใช้เส้นสายของตระกูลซูทั้งหมด แต่ฉันก็ไม่เจอกับโจวฉินที่ที่นายพูดถึงเลยแล้วที่เมืองจิงตูก็ไม่มีตระกูลโจวเลยด้วย"
ฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วบ่นพึมพำขึ้นมาว่า: "ทำไมมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ มันไม่ควรที่จะเป็นแบบนี้….."
ซูหวานก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า: "มันมีความเป็นไปได้เพียงแค่สองอย่างก็เท่านั้น คนๆ นี้เค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง หรือว่าคนๆ นี้ แม้แต่อิทธิพลของตระกูลซูเองก็ยังไม่มากพอที่จะหาตัวของเค้าได้"
"ฉันรู้แล้ว" ฉินเฉิงก็ตอบขึ้นมา
ดูเหมือนว่าพ่อของเค้าจะไม่ได้โกหกตัวเอง ตัวตนแม่ของตัวเอง เกรงว่านี่มันจะไม่ง่ายเลย
หลังจากที่วางสายไป ฉินเฉิงก็วางแผนที่จะเดินทางไปที่เมืองจิง
หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เค้าก็ตัดสินในที่จะไบ๋เชียนไปด้วย แม้ว่าไบ๋เชียนจะไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเค้าเองก็ติดต่อกับที่นี่มาแล้วหลายครั้ง ชื่อเสียงของเค้าเองมันก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองจิง การที่จะเอาเค้าไปด้วยนั้นมันก็น่าจะสะดวกกว่า
ฉินเฉิงนั่งอยู่บนโซฟาในคฤหาสน์ เค้าบีบนิ้วของตัวเองแล้วพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า: "ตระกูลตี๋น่าจะมาเร็วกว่านี้นะ"
เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลซู ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็ตัดสินใจที่จะรอก่อน
ฉินเฉิงเองก็ไม่ใช่คนขี้ตืดอะไร ถ้าตระกูลตี๋มาเหตุผล ฉินเฉิงก็จะช่วยรักษาเค้า
แน่นอนว่าในคืนนั้น ตระกูลตี๋ก็รีบเข้าไปที่เมืองปีนัง
ที่ด้านในโรงพยาบาล ขาของตี๋เชาถูกห่อเอาไว้ด้วยปูนปลาสเตอร์ มันดูน่าเวทนามาก
"พ่อ พ่อต้องแก้แค้นมันให้ผมนะ!" ที่ตรงหน้าเตียงพยาบาลของตี๋เชา ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามก็ยืนอยู่ที่ข้างเค้าพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกหลายคน
นอกจากนี้แล้ว หวงหลงเองก็ตามมาด้วย
"เหล่าหวง แกจะทำยังไง!" พ่อของตี๋เชาก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา "คนอยู่ต่อหน้าของแก แกไม่สามารถที่จะปกป้องเค้าได้เลยอย่างงั้นเหรอ?"
หวงหลงก็กล่าวขอโทษขึ้นมา: "พี่ตี๋ เรื่องนี้ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เด็กคนนั้นมันเก่งมาก ฉันเองก็ยังไม่ทันที่จะได้ตอบสนองเลยด้วยซ้ำ….."
"ไร้สาระ!" พ่อของตี๋เชาก็ด่าทอขึ้นมา "ดูท่าแกจะกลัวตระกูลซู ก็เลยไม่กล้าที่จะลงมืออย่างงั้นเหรอ?"
หวงหลงเองก็ต้องการที่จะแกตัวขึ้นมา แต่ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็โบกมือของเค้าขึ้นมาขัดจังหวะพูดของหวงหลง
"ฉันเองก็คุยกับนายท่านซูแล้ว เค้าบอกว่าเค้าจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้" ตี๋รุ้นเจี๋ยก็กล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา
หวงหลงก็ลูบเข้าไปที่มือของเค้า จากนั้นก็ลองถามขึ้นมาว่า: "พี่ตี๋ อย่างงั้นพี่จะทำยังไงกับเรื่องนี้?"
ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็เดินตรงไปที่หน้าต่าง เค้าจุดบุหรี่ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาช้า: "เพียงแค่มันสามารถที่จะรักษาขาของลูกชายฉันจนหายดีได้ ฉันก็จะฆ่ามันซะ"
แม้ว่าหวงหลงจะไม่ชอบฉินเฉิงเท่าไหร่ แต่เค้าก็รู้ถึงความสามารถของฉินเฉิงเป็นอย่างดี
ดังนั้น หวงหลงก็เตือนขึ้นมาว่า: "พี่ตี๋ ฉันคิดว่าพี่น่าจะต้องคุยกับฉินเฉิงให้ดีก่อนนะ แม้ว่ามันจะโอหังเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ถ้าหากว่าพี่จะใช้ไม้แข็งกับมัน ฉันกลัวว่ามันจะยิ่งแย่เข้าไปอีก เมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่ตัวตนของพี่……"
ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็เหลือบมองไปที่เค้าแล้วเยาะเย้ย: "เหล่าหวง ฉันว่านายเองก็มีชีวิตอยู่มาหลายปีแล้ว แม้ว่าตี๋รุ้ยเจี๋ยจะไม่ใช่คนร่างกำยำอะไร แต่ฉันก็เป็นคนมีอิทธิพล แค่ฉันพูดออกมา มันก็มีหลายคนที่พร้อมที่จะทำงานให้กับฉันแล้ว!"
หวงหลงก็เตือนเค้าขึ้นมาอย่างขมขื่นว่า: "พี่ตี๋ เห็นแก่หน้าของฉันเถอะนะ ไว้หน้าคุณซูหน่อย คุยกันก่อนดีกว่าไหม?"
แม้ว่าชายชราซูจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ แต่เค้าก็ไม่ได้ต้องการที่จะทำให้เรื่องนี้มันแย่ไปกว่าเดิม นี่มันคือการตบหน้าเค้าชัดๆ
ดังนั้น ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็คิดอยู่ซักพัก จากนั้นเค้าก็พยักหน้า: "ก็แล้วแต่นาย แต่ฉันจะบอกให้นะ ถ้าหากว่าเด็กนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อย่างงั้นก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่สุภาพนะ!"
"โอเค ไม่ต้องห่วง!" หวงหลงก็พยักหน้าของเค้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
…
หวงหลงไม่ชอบที่จะพูดคุยกับฉินเฉิงซะเท่าไหร่ ดังนั้นเค้าก็เลยส่งข้อความไปหาฉินเฉิง: เย็นนี้ที่ร้านอาหารยุนลั่ว คุณตี๋เข้าเชิญเธอไปทานข้าวเย็น
เมื่อเห็นข้อความนี้ ฉินเฉิงก็ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า: "ดูเหมือนว่าคนตระกูลตี๋จะไม่ค่อยมีเหตุผลซะเท่าไหร่เลยนะ"
ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: "คุณฉิน นี่มันครอบครัวแบบไหนกันที่เลี้ยงลูกมาแบบนี้ ตี๋เชามันโอหังแล้วก็เย่อหยิ้ง พ่อของเค้าเองก็อาจจะไม่ได้ดีอะไรมากไปกว่านั้นมากนัก"
ฉินเฉิงก็เหลือบมองไปที่เค้าแล้วพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า: "นั่นมันก็ไม่แน่ ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน"
ทั้งสองก็ลุกขึ้นมาแล้วนั่งแท็กซี่ไปที่หน้าร้านอาหารยุนลั่ว
ในฐานะที่เค้าเป็นคนใหญ่คนโตจากมณฑล ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็มาพร้อมกับแขกจำนวนมากตามปกติของเค้าที่จะต้องมีนักธุรกิจท้องถิ่นจำนวนมากที่ต้องการจะแสวงหาผลประโยชน์จากตระกูลตี๋
ดังนั้น พวกนักธุรกิจที่ร่ำรวยในท้องถิ่นจำนวนมากต่างก็มานั่งกินอาหารคำกันที่นี่ด้วย
"คุณตี๋ ฉินเฉิงนี่เค้าไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะครับ พวกเราทุกคนต่างก็ได้เจอเค้าในปาร์ตี้งานเลี้ยงตอนนั้น เค้าหักหาคนแล้วก็สามารถที่จะรักษาได้ในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาก็เท่านั้น คุณว่านี่มันคือเวทมนต์ใช่ไหม?"
"ใช่ๆๆ นั่นมันดูราวกับมีเวทมนต์เลยจริงๆ ถ้าหากว่าพวกเราไม่ได้เห้นมันด้วยตาของตัวเอง พวกเราก็จะต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน!"
"ชายคนนั้นต่อไปเค้าจะต้องประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก! ทักษะการแพทย์ของเค้ามันมีแค่เค้าคนเดียวในโลกเท่านั้นที่ทำได้!"
ยิ่งมีคนพูดคุยมากขึ้นเท่าไหร่ นี่มันก็ยิ่งทำให้ตี๋รุ้ยเจี๋ยไม่อยากจะเชื่อมากขึ้นเท่านั้น
"ดูเหมือนว่าเมืองปีนังนี่มันก็จะเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ ก็เท่านั้น ต่อให้มันดีมากแน่ไหน มันก็ดูราวกับพวกกบในกะลาอยู่ดี" ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็คิดกับตัวเอง
ในตอนที่พวกเค้ากำลังพูดคุยกันนี้เอง ฉินเฉิงกับชายที่มีแผนเป็นบนใบหน้าก็เดินเข้ามา
"คุณฉิน คุณมาแล้ว"
พวกนักธุรกิจร่ำรวยหลายคนก็รีบลุกขึ้นมาแล้วกล่าวทักทาย
ฉินเฉิงก็ตอบกลับอย่างสุภาพ จากนั้นเค้าก็มองไปที่ตี๋รุ้ยเจี๋ย
เค้าพูดออกมาอย่างสุภาพว่า: "คุณน่าจะเป็นพ่อของตี๋เชาใช่ไหม?"
เมื่อเห็นท่าทีของฉินเฉิงที่อ่อนน้อมเป็นอย่างมาก ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็ดูมีความมั่นใจมากขึ้น ในใจเค้าก็คิดว่าไอ่เด็กนี่มันอาจจะกำลังกลัว