ฟุเอ๊ เกิดใหม่ก็เก่งภาษาสุดๆซะแล้วค่ะ - ตอนที่ 27 การต่อสู้ของครอบครัวในโรงพยาบาล
ในระหว่างตอนที่คุยเกียวกับเรื่องการเรียนของฉันคุณแม่เองก็ได้ล้มลง
ฉันรู้สึกมึนงงจนทำอะไรไม่ถูก
คุณครูที่โรงเรียนพิเศษเองก็ได้โทรเรียกรถพยาบาลมารับแม่ของฉันให้ไปที่โรงพยาบาล
ฉันเข้าไปในรถพยาบาลกับคุณแม่โดยที่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั้น
* * *
“คุณทำงานหนักเกินไปใช่ไหมครับ?”
“ทำงานหนัก..? นั่นแปลว่าคุณแม่เองป่วยหนักหรอ?”
“ถ้าเธอนอนพักผ่อนให้เพียงพอและดูแลตัวเองแค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะครับ”
ขาของฉันได้ล้มลง
ในเตียงที่โรงพยาบาลเอง คุณแม่ก็ได้บอกกับฉันว่า “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
คุณหมอที่ได้เดินเข้ามาพร้อมกับคลิปบอร์ดและปากกา คุณหมอเองก็ใช้ปากกาเคาะไปที่คลิปบอร์ดเบาๆ
เขามองมาที่พวกเราด้วยสายตาที่แหลมคม
“นี่มันเรื่องอะไรบนโลกนี่เนี่ยครับ? ทั้งคุณแม่และลูกทั้งคู่ต้องทำงานหนักทั้งคู่”
“”อัก!?””
มาลองคิดเูแล้ว เขาเป็นคุณหมอคนเดียวกันกับที่เคยดูแลฉันมาก่อน (ตอนก่อนนู่นที่อิโรฮะจังเปิดหนังสือภาษาแล้วสลบไปครับ)
เขาเลยรู้ในทันทีว่าฉันที่ยังเป็นเด็กและต้องเรียนหนักไปด้วย
“ดูแลตัวเองบ้างนะครับ ทั้งคู่เลยโดยเฉพาะคุณแม่ คุณอยู่ในตำแหน่งที่ต้องดูแลลูกของคุณนะครับ ใช่ตามที่ผมพูดไหม?”
“ใช่ค่ะ”
“ตัวของลูกที่ต้องโตขึ้นและคุณแม่เองก็ต้องเฝ้าดูพวกเขา และคุณเองก็ต้องสอนเรื่องต่างๆให้ แต่การที่คุณมาล้มลงแบบนี้มันดีแล้วหรอครับ? ถ้าอยากให้ลูกของคุณมีอนาคตที่ดีแล้วละก็ช่วยหยุดฝืนร่างกายตัวเองทีเถอะครับ เพราะลูกเองก็ยังเด็กและยังมีเรื่องอะไรที่ต้องให้คิดในชีวิตอีกมาก”
“ขออนุญาตินะคะ”
คุณแม่ที่ปกติจะเป็นคนที่ชอบกล้าหาญ แต่ยังไงก็ยังไม่พูดอะไรต่อหน้าของคุณหมออยู่ดี
มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะ และฉันเองก็ไม่แน่ใจวาเท่าไหร่กันแน่ที่ฉันเป็นห่วงเธอ
ฉันนึกไปถึงตอนที่คุณแม่รู้ว่าตัวของฉันได้ล้มลง
นั่นคงเป็นสิ่งที่คุณแม่รู้สึกในตอนนั้นสินะ
ไม่สิ อาจจะมากกว่านั้นอีก
เพราะฉันเป็นลูกของเธอ
“นี่แม่ แม่มีคนที่รู้จักหรือญาติที่พึ่งพาบ้างไหม?”
“อ่า.. มีแค่เพื่อนอ่ะจ๊ะ”
“?”
สายตาของเธอได้จ้องมาที่ฉัน
ฉันส่ายหัวไปมา ไม่เข้าใจความหมายที่คุณแม่ต้องการจะสื่อ
บางทีฉันอาจจะไม่เข้าใจอะไรบางอย่างกันนะ?
แต่พอมาลองคิดดูแล้ว ฉันไม่รู้จักทั้งคุณแม่ หรือ พวกคนแก่ๆในครอบครัวเลย
“โอเค งั้นดูเหมือนว่าจะต้องนอนที่โรงพยาบาลนะคะ คืนนี้ ทางเราจะต้องมาตรวจร่างกายอีกทีแล้วถ้าทุกอย่างโอเค ก็จะสามารถกลับบ้านได้เลย”
หลังจากที่คุยกันซักพัก คุณหมอเองก็ได้ออกจากห้องไป
ในห้องนี้ก็มีคนไข้คนอื่นๆนอนอยู่ด้วยเช่นกัน
“ฉันเป็นห่วงนะ ทำไมคุณแม่ถึงต้องทำงานหนักด้วยล่ะ ถึงแม่ฉันจะรู้ว่าคุณแม่เองต้องกลับบ้านดึก แต่ฉันก้ไม่คิดว่าคุณแม่จะทำงานตลอดเวลาขนาดนั้น—”
“นี่ อิโระ ตกลงซีเรียสที่จะไม่สอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นจริงๆหรอ?”
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “หาาา?”
“ไม่ค่ะ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราจะคุยกันตอนนี้ ใช่ไหมคะ?”
“ไม่จ๊ะ ต้องคุยกันตอนนี้เลย”
คุณแม่ได้จ้องมาที่ฉัน
ถึงฉันจะรำคาญนิดๆ แต่ฉันก็ยังตอบกลับออกไป
“ซีเรียสค่ะ ว่าฉันจะไม่สอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้น”
“ทำไมล่ะ?”
“นี่ แม่คะ เสียงดังเกินไปแล้วนะยังมีผู้ป่วยคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยนะ”
ฉันดึงม่านเพื่อให้คลุมทั้งรอบเตียงเพื่อปิดกั้นการมองเห็นจากรอบนอก
ฉันได้นั่งลงและยืดตัวของตัวเองให้ตรง
TL : ตั้งแต่ประโยคนี้ อิโรฮะจังจะแทนตัวเองว่า”หนู” นะครับ ให้มันเข้าบริบทนิดนึงส์ แต่ยังจะมีบางอันที่เป็น “ฉัน” อยู่นะครับ อิโรฮะจังเราไม่ได้สดใสขนาดนั้นwwww
“เอ่อ.. คือหนูเองก็ต้องขอโทษที่ทำให้เงินของคุณแม่เสียไปด้วย แต่หนูไม่คิดว่าหนูต้องสอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้น”
“นั่นมันไม่จริงหรอกนะจ๊ะ หนูต้องลองไปสอบเข้าก่อนสิ ทั้งๆที่คุณครูที่โรงเรียนพิเศษก็ได้บอกเอาไว้ [ผลลัพท์ของคะแนนสอบครั้งสุดท้ายดีมากเลยครับ] [ถ้ายังเข้าเรียนพิเศษและเรียนต่อต้องเข้าห้องพิเศษภายในปีนี้ได้เลย] พวกเขาได้พูดอย่างนั้น”
มันก็จริงล่ะนะ
เพราะคุณครูเองก็ได้พูดจริงๆว่าฉันสามารถเข้าโรงเรียนมัธยมที่ยากๆได้
และฉันก็ได้เรียนรู้ว่าพวกเขานั้นได้เข้าใจผิดในหลายอย่าง
คุณครูได้พูดเอาไว้ว่า
[อิโรฮะจังมีคะแนนอยู่ที่ราวๆ 50 ในตอนที่ได้สอบเข้า ถึงมันจะดูธรรมดาก็จริงแต่มันก็ดูอุกอาจเช่นกัน]
[แต่ถ้าลองเทียบกันดูแล้ว มันไม่เหมือนกับการสอบเข้าในโรงเรียนมัธยมปลายถ้าให้เทียบกันแล้วคะแนน ที่อยู่ราวๆ 50 นั้นถ้าไปเทียบกับการสอบเข้ามัธยมปลายก็จะอยู่ราวๆ 65]
[มีอยู่ประมาณ 2 รูปแบบสำหรับเด็กที่ได้คะแนนประมาณนี้โดยที่ยังไม่ได้เตรียมตัวมาสอบ หนึ่งคืออัจฉริยะที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ส่วนอีกอันคือประเภทที่มีพรสวรรค์ที่สามารถท้าทายความรู้ที่พวกเขามีอยู่ได้]
[รู้ไหมว่านักเรียนที่สามารถเริ่มสอบเข้ามัธยมต้นได้แล้วโดยที่ยังไม่ได้แม้แต่เรียนพิเศษ มันเป็นประเภทเด็กกิฟต์ชัดๆ]
[เพราะมันต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้ทักษธพื้นฐาน แต่ในทางกลับกัน การที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งจะช่วยเพิ่มคะแนนได้เร็ว โดยการใช้ทักษะในการทำความเข้าใจรูปแบบเฉพาะการสอบของโรงเรียนมัธยมต้น]
[โดยเฉพาะเด็กอย่างอิโรฮะที่การเติบโตสูงมากๆ สิ่งที่เธอเรียนรู้แค่ครั้งเดียวสามารถเอาไปต่อยอดได้ การทำความเข้าใจของเธอดีพอๆกับผู้ใหญ่เลยล่ะครับ]
[ถ้าให้ขึ้นอยู่กับคำถามของข้อสอบ ต้องบอกเลยว่ามีโอกาศสูงมากๆที่จะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นที่ยากๆได้]
อะไรอย่างงั้นมั้งนะ..
ตอนแรกที่พวกคุณครูได้บอกว่า “ฉันได้เป็นเด็กห้องพิเศษ” และฉันก็ได้รู้ว่านั่นไม่ใช่การกล่อมให้เรียนพิเศษ
[สุดยอดสุดๆไปเลย เธอสามารถเข้าไปเรียนมัธยมต้นได้โดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาด้วยซ้ำ!]
ฉันก็พึ่งมารู้ก็ตอนที่พวกเขาบอกก็นั่นแหละนะ
มากไปกว่านั้น ฉันก็ได้รู้ว่ามีการพิจารณาจากความแตกต่างของคะแนนในการสอบแต่ละครั้งด้วย
เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ที่ได้เข้ามาเรียนพิเศษในช่วงป.6 นั้นต่างก็มีเวลาที่ยากลำบากในตอนที่เข้ามาเรียนใหม่ๆ ฉันเป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ
คงเป็นเพราะฉันพิเศษ
แม่งเอ้ย ทำไมฉันถึงต้องรู้สึกอะไรแปลกๆทั้งที่ฉันอยู่ในชีวิตที่สองและมีความสามารถโกงๆด้วยเนี่ย
ไม่สิ นี่คงเป็นเหตุว่าทำไม
“นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมแม่ถึงล้มลงเพราะทำงานหนักใช่ไหมคะ? หาเงินมาเพื่อส่งหนูเรียนพิเศษเนี่ยนะ? มันเป็นเหตุผลที่โง่สุดๆเลยนะคะ!”
“อ๋อ นี่ลูกหมายความว่าอะไรนะ “เหตุผลที่โง่หรอ?” งั้นทำไมลูกถึงต้องเป็นคนที่พูดอะไรโง่ๆแบบนี้ออกมาด้วย แม่จริงจังมากที่จะส่งลูกเรียนพิเศษในช่วงฤดูร้อน และแม่ก็พร้อมที่จะช่วยลูกตลอด ทำไมถึงต้องให้ความสามารถของตัวเองเสียเปล่าด้วยล่ะ!”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่มีความสามารถอะไรหรอกค่ะ แม่พูดถูกแล้ว หนูมันโง่”
“ลูกไม่ได้โง่เหมือนแม่ซักหน่อย!”
เมื่อแม่ได้รู้ตัวว่าตัวของเธอได้ร้อนขึ้น คุณแม่เลยปล่อยให้ร่างกายไปที่เตียงเบาๆ
เธอปิดตาของเธอลงและพูดพึมพัมออกมา
“นี่อิโรฮะ ที่โรงเรียนสนุกไหม?”
“ไม่ มันก็ปกติดีแหละค่ะ..”
“จริงๆหรอ? นี่ลูกคิดว่าที่โรงเรียนมันน่าเบือใช่ไหมล่ะ?”
คุณแม่ได้เปิดตาและจ้องมาที่ฉัน
ดวงตาของเราได้สบกัน
หัวใจของฉันมันเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่แปปนึง
ฉันเหมือนรู้สึกไปเลยว่าเธอสามารถมองทะลุหัวใจฉันได้ ฉันเลยมองไปทางอื่นแทน
ถ้าให้ถามว่าฉันสนุกกับโรงเรียนประถมไหม จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
มันคงเป็นเพราะฉันยังมีสิ่งที่เรียกว่าชีวิตก่อนอยู่ มันเลยเป็นจุดแตกต่างของทางช่วงอายุระหว่างเพื่อนในห้องเรียนกับฉันที่มันไม่ตรงกัน
ในอีกความหมายก็ ฉันมี ‘เวลาว่าง’ และ ‘ความเบื่อ’ เข้ามาแทนที่
มันต้องเป็นการโกหกแน่ๆถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้คิดว่าอยากที่จะใช้เวลาว่างที่เหลือกับการไปดูพวกวีทูบเบอร์มากกว่าไปทำอะไรแบบนั้น
“นี่ลูกรู้ไหม ว่าบางทีว่าวเองก็อาจจะเร็วเหมือนเหยี่ยวก็ได้นะ บางทีแม่อาจจะเป็นเพียงแค่ว่าวแต่ลูกกลับเป็นเหยี่ยวที่โผบินไปได้ทุกๆที่ เวลาของลูกมีค่ามากนะรู้หรือเปล่า”
ในน้ำเสียงของคุณแม่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
ฉันรู้สึกหายใจไม่ออก
“แม่คงทำสิ่งโง่ๆและโยนเวลาของตัวเองทิ้งไป แม่รู้มันยากสำหรับลูกที่ไม่มีพ่อ และแม่เองก็ไม่แม้แต่จะให้ลูกได้สร้างความทรงจำร่วมกับพวกคุณปู่คุณย่า ลูกรู้ไหมตอนแม่เรียนเอง แม่ก็ได้เกรดดีมากเลยนะ”
เธอได้พูดกับตัวเองว่า “ตัวของเธอเองไม่ได้เก่งเท่าอิโรฮะ”
เท่าที่ฉันรู้มา คุณแม่เองก็ได้เจอกับคุณพ่อในช่วงที่อยู่ในโรงเรียน
“แม่คิดว่าถ้าลูกหยุดที่จะพยายาม ลูกจะเสียทุกๆอย่างที่ทำขึ้นมา” และเธอก็ได้พูดต่อว่า “แม่เคยลองพยายามทำต่อแล้ว แต่แม้ไม่มีแม้แต่ความรู้ เวลา และ หัวใจที่จะทำมันอีกครั้งแล้วล่ะ อิโรฮะ..”
และคุณแม่เองก็ได้จ้องมาที่ฉันอีกครั้งหนึง
“แม่อยากจะให้ลูกมีการศึกษาที่ดีกว่านี้ แม่อยากจะให้ลูกเรียนอยู่ในระดับของลูกเอง และแม่ไม่อยากให้ลูกต้องเสียเวลาของตัวเองไปโดนเปล่าประโยชน์ และปล่อยให้พรสวรรค์เหี่ยวเฉา เวลาที่จะได้โฟกัสกับการเรียนมันหายากมันเลยนะและมันจะมีแค่ในช่วงเป็นเด็กนั่นแหละ”
ก็เป็นไปตามที่ฉันคิดตั้งแต่ต้นเลยนะ การสอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นคงเป็นอัตตาของแม่
แต่ฉันก็คิดว่าฉันยังคิดไม่ผิด
แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ
คุณแม่เองก็เหมือนจะเห็นความรู้สึกที่แท้จริงของฉัน ฉันรู้มาว่าครอบครัวจะมองลูกๆมากกว่าที่ลูกคิดไว้ซะอีก และฉันก็รู้ว่าเธอแคร์กับอนาคตของฉันมากๆ
“เข้าใจแล้วล่ะค่ะคุณแม่..”
เพราะงั้น ฉัน–
“หนู–”
“หนูจะไม่แม้แต่จะเข้าโรงเรียนมัธยมต้นเลยค่ะ!!”
“ฟุเอออออออออออออออออออออออออออออออออ๊!?”
เอเฮะ ดูเหมือนว่าคุณแม่จะโกรธแล้วแฮะ