จี้อ๋องกล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าไม่มีทางติดร่างแหไปด้วยหรอก ข้าไม่เคยเห็นเงินของพวกเขา”
พระชายาจี้อ๋องตกตะลึง “ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร?”
จี้อ๋องมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ “คนข้างกายของข้าสามารถเป็นพยานได้ว่าข้าไม่เคยแตะต้องเงินเหล่านั้นเลย”
พระชายาจี้อ๋องสีหน้าเปลี่ยนไป ไหล่ของนางลู่ลงและพูดอย่างเหม่อลอย “ถูกต้อง ท่านอ๋องไม่เคยแตะต้องเงินเหล่านั้นเลย ล้วนเป็นข้าที่รับมา เป็นหม่อมฉันที่วางแผนกับญาติผู้น้องโดยอาศัยความสะดวกจากท่านอ๋อง แต่หากคำพูดนี้แพร่ออกไป เสด็จพ่อจะเชื่อหรือ? เหล่าขุนนางทั้งหลายจะเชื่อหรือ?”
“ทำไมจะไม่เชื่อเล่า? ในหลายปีมานี้ทางฝั่งมารดาของพระชายาซื้อที่ดิน ร้านค้า หมู่บ้านนับไม่ถ้วน เพียงแค่ตรวจสอบเสียหน่อยก็คงจะกระจ่างแจ้ง” จี้อ๋องกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
พระชายาจี้อ๋องสูดหายใจเข้าด้วยความเย็นยะเยือก สายตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “เรื่องยังไม่ได้ไปถึงขั้นที่เลวร้ายที่สุด แต่ท่านอ๋องกลับคิดจะผลักหม่อมฉันออกไปตายแทนเสียแล้ว และยังจะทำให้เกี่ยวพันไปถึงจวนเดิมของหม่อมฉันด้วย? เงินที่บ้านเดิมของหม่อมฉันล้วนเป็นเงินที่พี่รองได้มาจากการทำการค้าขายเพคะ”
“ทำการค้า? ใช่แล้ว พี่รองของเจ้าอยู่ที่กรมคลัง ในหลายปีมานี้ทำการค้าไปไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่จะหลบรอดจากการตรวจอย่างละเอียดไปได้หรือ? เป็นเงินที่ปล่อยกู้หรือว่าเงินที่กันค้ากันแน่? การค้าที่พี่ใหญ่ของเจ้าใช้ชื่อพี่รองของเจ้าไปทำนั้น หากโดนตรวจขึ้นมา คิดว่าเสด็จพ่อจะตรวจสอบไม่พบงั้นหรือ?” จี้อ๋องยิ้มเย็น
ในใจของพระชายาจี้อ๋องร้อนรน ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่ได้ทำงานอยู่ในกรมคลังอีก แต่ว่าที่เคยทำมาก่อน เพียงแค่โดนฝ่าบาทตรวจสอบก็จะสามารถเห็นชัดไปรากถึงโคน
แต่ในใจนางยังคงเก็บซ่อนความโกรธนั้นไว้ ตระกูลของนางในหลายปีมานี้ ทั้งต่อหน้าและลับหลังให้เงินสนับสนุนมาเท่าไหร่? หากไม่มีตระกูลของนางสนับสนุน เขาจะมีวันนี้หรือ? แม้ว่าจะรู้นานแล้วว่าเขามีใจคิดเป็นอื่น แต่นางก็มักจะคิดว่าเขายังต้องพึ่งพานาง แต่วันนี้เมื่อรู้ว่าเขาต้องการแต่งหลานสาวของฉู่โส่วฝู่เข้ามาเป็นชายารองเขาก็ทอดทิ้งนาง เมื่อหมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้ง เขาช่างเนรคุณยิ่งนัก
พระชายาจี้อ๋องเป็นผู้ที่อดทนอดกลั้นมาเสมอ ตอนนี้นางโกรธอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าของนางเป็นดังคลื่นลมที่ไม่สงบ แต่กลับเก็บสายตาโกรธปนเศร้านั้นเอาไว้และเอ่ยเตือนเขาออกมาอย่างสงบ “ท่านอ๋อง ยังไม่ได้แต่งชายารองเข้ามา หยวนชิงหลิงก็ยังไม่แท้ง เรื่องทั้งหมดยังคงมีโอกาสที่จะพลิกผัน แต่ก่อนข้าก็มักจะเตือนท่านเสมอว่าทำอะไรก็ต้องเหลือทางถอยไว้บ้าง วันนี้ก็ยังเป็นประโยคนี้ หมากที่ท่านอ๋องคิดว่าเป็นหมากที่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีไพ่ไม้ตายเหลืออยู่อีก”
จี้อ๋องกล่าวอย่างเฉยเมย “คำพูดของข้าเมื่อครู่นี้ก็เป็นการเหลือทางถอยไว้แล้ว เจ้าและญาติผู้น้องของเจ้ารับผิดไป ข้าย่อมมีวิธีช่วยเจ้าพลิกตัวกลับมาได้อีก”
พระชายาจี้อ๋องหัวเราะเบาๆ สายตาที่นางจี้อ๋องเกือบจะติดแววดูถูก “ท่านอ๋อง ข้อหานี้ไม่มีใครต้องรับผิดทั้งนั้น อวี่เหวินฮ่าวจะต้องสืบได้หรืออย่างไร?”
“คนผู้นี้ข้ารู้จักดี หากเขาไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเขาจะไม่ลงมือโดยง่าย”
สายตาของพระชายาจี้อ๋องปรากฏแววอำมหิตแวบหนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หาเรื่องมาทำให้เขาต้องพัวพันโดยไม่อาจไปสืบเรื่องราวของเมืองถิงเจียงได้สิเพคะ”
เมื่อจี้อ๋องได้ยินเช่นนั้นเขาก็หรี่ตามองนาง “พระชายามีวิธี?”
พระชายาจี้อ๋องไอออกมา เสียงไอนั้นกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหอบเสร็จแล้วสักพักจึงจ้องมองจี้อ๋อง “ท่านอ๋องเข้ามานี่ หม่อมฉันจะบอกท่าน”
จี้อ๋องเดินเข้าไปนั่งลงข้างกายนางแล้วตบหลังให้นางเบาๆ “ว่ามา”
พระชายาจี้อ๋องกระซิบกระซาบที่ข้างหูเขาสองสามประโยค “สองแผนนี้ หากแผนหนึ่งไม่ได้ผลก็ให้ใช้อีกแผน หากทำสำเร็จก็จะสามารถสำเร็จโทษฉู่อ๋องได้”
จี้อ๋องมองนาง ในใจเกิดความรู้สึกอันซับซ้อน ดูเหมือนว่าตอนนี้ยังคงไม่อาจไม่มีนาง แผนของนางไม่มีใครเทียบได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนางเหี้ยมโหดซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้พอดี
…
วันนี้ท่านฮูหยินใหญ่มาอยู่เป็นเพื่อนหยวนชิงหลิง
นางดูสดชื่นกว่าครั้งที่แล้วมาก สีหน้าของนางแดงระเรื่อขึ้น ยามเดินก็ไม่จำเป็นต้องให้ซุนมามาคอยพยุงแล้ว เห็นได้ชัดว่านางดีขึ้นมาก
ท่านฮูหยินใหญ่กับหยวนชิงผิงมาด้วยกัน หยวนชิงผิงมีอาการใจลอยเล็กน้อย หยวนชิงหลิงพูดกับนางหลายครั้ง นางก็ยังดูเหม่อลอย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดอย่างงุนงง “ท่านพี่ว่าอะไรนะ?”
เมื่อรอท่านฮูหยินใหญ่จากไป หยวนชิงผิงก็จับแขนนางและเอ่ยกับนางอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน”
“เรื่องอะไรหรือ?” หยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าของนางไม่ปกตินัก “ในจวนเกิดเรื่องขึ้นหรือ?”
“ไม่ใช่หรอก” หยวนชิงผิงรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย เป็นกู้ซือผู้นั้น”
“กู้ซือ? กู้ซือทำไมหรือ?” หยวนชิงหลิงนิ่งงัน
เจ้านั่นคงไม่ได้ไปตอแยหยวนชิงผิงหรอกนะ?
หยวนชิงผิงหน้าแดงก่ำ อึกอักอยู่สักพักก็เอ่ยว่า “วันนั้นข้ากับเสี่ยวชิงออกไปซื้อเครื่องประทินโฉม ได้พบเขาเข้าระหว่างทาง เขาถามข้าว่าข้ายินดีแต่งให้เขาหรือไม่ ข้าตกใจจนวิ่งหนีไป ท่านพี่ กู้ซือผู้นี้เป็นขุนนางเลวหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “เขาถามเช่นนี้หรือ?”
“เจ้าค่ะ โชคดีที่ไม่มีใครได้ยินเข้า” หยวนชิงผิงทั้งหนักใจและไม่รู้จะทำเช่นไรดี “เขากำลังเกี้ยวข้าเล่นอยู่หรือ? ทำไมเขาถึงได้เลวเช่นนั้น? ข้ายังนึกว่าเขาจะเป็นคนดีเสียอีก”
“ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก!” หยวนชิงหลิงกล่าวพลางหัวเราะ
หยวนชิงหลิงรับคำ ตาของนางแดงขึ้นมาทันที “เช่นนั้น… เขาล้อข้าเล่นแกล้งข้าเล่นหรือ?”
นางเคยนึกไปว่าเขาจะจริงจัง สองวันมานี้นางคิดซ้ำไปซ้ำมา คิดถึงสายตายามที่เขาถามนางก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
“แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ล้อเล่นหรือแกล้งเจ้าหรอก”
หยวนชิงผิงเขย่าแขนของนางแล้วกล่าวอย่างร้อนรน “เช่นนั้นท่านช่วยข้าวิเคราะห์หน่อยว่าเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
หยวนชิงหลิงกุมมือนางและตอบว่า “ตกลง เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรต่อเขา? หากจะแต่งงาน เจ้ายินดีแต่งให้เขาหรือไม่?”
หยวนชิงผิงหันไปมองรอบๆ เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีคนก็กัดปากเล็กน้อยและตอบว่า “ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย แน่นอนว่าต้องยินดี เขารูปหล่อ ชาติตระกูลดี พูดจาก็ดี แล้วยังมีวิทยายุทธ์ เป็นถึงหัวหน้าราชองครักษ์ในวัง…”
“รองหัวหน้าต่างหาก” หยวนชิงหลิงแก้
หยวนชิงผิงกลอกตา “รองแล้วอย่างไร? อายุน้อยเช่นนี้ได้เป็นถึงรองหัวหน้าราชองครักษ์ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว”
“ไม่เก่งเท่าพี่เขยของเจ้าหรอก” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเอาแต่ใจ
หยวนชิงผิงมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วมองนางอย่างเย่อหยิ่ง “ไม่แน่หรอก พี่เขยนั้นโชคดีที่เกิดมาเป็นคนในราชตระกูล หากเทียบกับกู้ซือที่เกิดมาในตระกูลคนธรรมดาแล้ว…”
หยวนชิงหลิงพูดขัดจังหวะนาง “กู้ซือไม่ได้เกิดมาในตระกูลคนธรรมดา เจ้าก็รู้กระมัง? บิดาของกู้ซือคือเจิ้นเป่ยโหว มารดาของเขาก็เป็นถึงท่านหญิง”
หยวนชิงผิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ดวงตาของนางค่อยๆ หม่นแสงลง “ท่าน… ท่านพี่ ข้าคิดว่าเขาคงหยอกข้าเล่น คนที่ชาติตระกูลเช่นเขา อยากแต่งงานกับสตรีเช่นใดจะหาไม่ได้หรือ? บิดามารดาของเขาไม่ชอบข้า เขาก็ไม่มีทางชอบข้าเช่นกัน”
หยวนชิงหลิงไม่แกล้งนางแล้ว นางกล่าวอย่าจริงจัง “กู้ซือชอบเจ้าจริงๆ ต่อหน้าข้าและพี่เขยของเจ้าก็ไม่พูดเพียงแค่ครั้งเดียว คราวที่แล้วที่พี่เขยของเจ้าช่วยเจ้าหาสามี พอถูกกู้ซือรู้เข้า เขาก็มาต่อยตีกับพี่เขยเจ้าทันที”
หยวนชิงผิงจับจ้องนางอย่างไม่วางตา “จริงหรือ?”
“จริงๆ” หยวนชิงหลิงแม้ไม่ค่อยอยากจะกล่าวคำพูดต่อไปนัก แต่นางคิดว่าน้องสาวของนางควรจะเตรียมใจไว้ก่อนจึงจะดี ดังนั้นนางจึงกล่าวต่อไปว่า “แต่ว่าในยุคนี้ เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องที่บิดามารดาเป็นผู้จัดการ หากเจ้าสามารถแต่งให้แก่กู้ซือ ท่านพ่อย่อมไม่คัดค้าน แม้กระทั่งจะสนับสนุนด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างที่เจ้าว่ามา บิดามารดาของกู้ซืออาจคัดค้านอย่างหนัก หากพวกเขาไม่เห็นด้วย แม้กู้ซือจะชอบเจ้าเพียงใดก็คงไม่อาจขัดคำสั่งของบุพการี แน่นอนว่าข้าเห็นว่าเขาไม่มีทางชวนเจ้าหนีไปด้วยกันแน่”
คำว่าหนีไปด้วยกันนั้นทำให้หยวนชิงผิงตกใจจนหน้าซีดและพูดไม่ออกอยู่นาน
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็ยิ้มออกมาอย่างน่าเวทนา “ดังนั้นข้าจึงไม่ควรมีความหวังหรือคิดว่าตนจะได้ตกถังข้าวสารงั้นหรือ?”
แท้จริงแล้วหยวนชิงหลิงคิดอยากสนับสนุนให้นางพยายามเพื่อความรักดู แต่ว่าเรื่องต่างไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิด
หากบิดามารดาของกู้ซือคัดค้าน นางเองก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้ที่สามารถทำได้ก็มีเพียงกู้ซือเท่านั้น แต่นางจสามารถไปขอร้องให้กู้ซือขัดขืนต่อคำสั่งของบุพการีได้หรือ? นางทำอะไรไม่ได้เลย เรื่องแต่งงานของนางนั้น นางก็เป็นคนหนึ่งที่ไร้ซึ่งปากเสียงมากที่สุด กู้ซือก็ไม่มีเช่นกัน ดังนั้นนี่ก็คือเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดของเรื่องนี้
และคนที่จะทำให้หยวนชิงผิงต้องเสียใจที่สุดก็คือพี่สาวคนนี้ นางไม่อาจปลอบใจอะไรได้ แล้วยังจะให้นางบอกหยวนชิงผิงปล่อยวางหรือยืนหยัดเพื่อเรื่องนี้ได้อีกหรือ?
ทั้งสองตัวเลือกล้วนไม่เหมาะสม เหลือเพียงสายตาสองคู่ที่สบกัน ต่างคนต่างก็จนปัญญา
MANGA DISCUSSION